Super God Gene – ตอนที่ 2437

เป่าเอ๋อมองไปที่ชายผมขาว เธอกระพริบตาและพูด “นี่คิดจะรังแกเด็กคนหนึ่งกับสัตว์เลี้ยงของเธออย่างนั้นหรอ?”

 

เมื่อชายผมขาวได้ยินเป่าเอ๋อ เขาก็หันมายิ้มให้กับเธอ เขายกมือขึ้นและปล่อยนกแดงน้อยไป เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว นกแดงน้อยก็รีบบินไปหลบหลังเป่าเอ๋อ

 

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ชายผมขาวถามเป่าเอ๋อ

 

“เป่าเอ๋อ หานเป่าเอ๋อ” เป่าเอ๋อตอบอย่างจริงจัง นอกจากเวลาที่เธออยู่กับหานเซิ่นและจีเหยียนหรันแล้ว เธอแทบไม่เคยจริงจังแบบนี้

 

“ไม่เลว ฝากทักทายพ่อของเจ้าแทนข้าด้วย” ชายผมขาวพยักหน้าให้กับเป่าเอ๋อก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป

 

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เป่าเอ๋อถามขณะที่มองแผ่นหลังของชายผมขาว

 

“ไท่อี” ชายผมขาวไม่ได้หันกลับมามอง เขายังเดินต่อไป และหลังจากผ่านไปไม่กี่ก้าว ร่างกายของเขาก็หายไปในช่องว่างของมิติ

 

“เจ้ากำลังทำอะไร?” เป่าเอ๋อถาม

 

“ทวงหนี้ มันถึงเวลาที่ข้าจะเอาบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพวกเขากลับคืนมา”
เสียงของชายผมขาวยังคงดังก้องและค่อยๆเลือนหายไปจากระยะที่ไกลขึ้น

 

ฟอลลิ่งลีฟถูกทิ้งให้สั่นกลัว เธอไม่เคยเห็นใครบางคนที่สามารถใช้วิชาเทเลพอร์ต ขณะที่ยังคงส่งเสียงกลับมาได้ แม้แต่ราชาไป๋ก็ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้น

 

ในขณะที่ฟอลลิ่งลีฟยังคงตกใจก็มีใครบางคนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

 

“ช่วยด้วย!”

 

พวกเขาหันไปมองและเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูกำลังวิ่งผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด เธอวิ่งมาทางพวกเขาพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตา

 

คนงานซีโน่เจเนอิคระดับดยุกคนหนึ่งกำลังไล่ล่าเธอ มันไม่มีอาวุธอะไรและมันพยายามโจมตีใส่หญิงสาวคนนั้นด้วยมือเปล่า

 

เมื่อดูจากการเคลื่อนไหวของหญิงสาวคนนั้นแล้ว เธอดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนงานดยุกคนนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูหวาดกลัวและเอาแต่วิ่งหนี

 

เป่าเอ๋อมองหนิงเยวี่ยที่กำลังวิ่งเข้ามา เธอจำหนิงเยวี่ยได้ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไง เธอก็ไม่สามารถเชื่อมโยงหนิงเยวี่ยคนนี้กับคนที่เข้มแข็งที่เธอเคยรู้จักได้

 

“ช่วยฉันด้วย! เป่าเอ๋อช่วยฉันด้วย!” หนิงเยวี่ยร้องตะโกนขณะที่วิ่งหนีหางจุกตูด

 

ฟอลลิ่งลีฟกำลังจะหยุดหนิงเยวี่ยเอาไว้ แต่เป่าเอ๋อรีบพูด “ให้เขาเข้ามา”

 

หนิงเยวี่ยวิ่งเข้ามาในห้องที่พังทลาย และเมื่อเธอเข้ามาแล้ว เธอก็หนีไปหลบด้านหลังของเป่าเอ๋อขณะที่สั่นกลัว “ช่วยฉันด้วยเป่าเอ๋อ!”

 

“ฮ่า! สาวน้อยหนิงเยวี่ย เธอควรจะแข็งแกร่งกว่าดยุกห่วยๆคนนั้นมาก อะไรกันที่ทำให้เธอหวาดกลัวนัก?” เป่าเอ๋อหัวเราะขณะที่มองไปที่หนิงเยวี่ยราวกับว่าเธอพบของเล่นใหม่ที่น่าสนุก

 

ร่างกายของหนิงเยวี่ยยังคงสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวและเธอก็ดูหวาดกลัวมากจริงๆ

 

“การต่อสู้มันเป็นอะไรที่ผิด! และการฆ่าฟันนั้นก็เป็นอะไรที่ผิดยิ่งกว่า… แถมฉันยังเป็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้…”

 

“ฮ่า!” เป่าเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอลูบผมของหนิงเยวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรต้องกลัว เธอจะไม่เป็นอะไร ผู้หญิงที่งดงามและน่ารักอย่างพวกเราไม่ควรไปต่อสู้และฆ่าฟัน”

 

“ฉันพูดถูกใช่ไหม?” หนิงเยวี่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับเป่าเอ๋อ เธอยังคงดูวิตกกังวลอย่างมาก

 

ฟอลลิ่งลีฟไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกวัดแกว่งมีดและตัดหัวคนงานดยุกคนนั้นอย่างรวดเร็ว

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมทุกคนในค่ายถึงได้พยายามฆ่าฟันกันแบบนี้? นี่มันเกี่ยวข้องกับชายผมขาวคนนั้นอย่างนั้นหรอ?”
ฟอลลิ่งลีฟมองไปรอบๆ ผู้คนฆ่าฟันกันทุกหนทุกแห่งไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหน

 

คนงานหลายคนวิ่งมาทางพวกเธอ ฟอลลิ่งลีฟพยายามเตือนไม่ให้พวกเขาเข้ามาใกล้ แต่พวกเขาไม่ฟังคำพูดของเธอ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องตัดหัวของพวกเขา

 

หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงยืนคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายไหนเริ่มเคลื่อนไหวก่อน

 

“ข้าหรือนาง เจ้าเป็นคนเลือก” คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปหานเซิ่น มือของเธอยังคงจับดาบหักเอาไว้แน่น

 

“พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ที่นี่น่ากลัว มันจะปลอดภัยกว่าถ้าพวกเราไปในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ” หานเซิ่นยิ้ม

 

“ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ข้างตัว ข้าไม่ต้องการเก็บระเบิดเวลาเอาไว้ข้างตัว” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ล่วงหน้าไปก่อนคนเดียว และข้าจะกลับไปพร้อมกับเด็กคนนี้ นั่นโอเคใช่ไหม?” หานเซิ่นพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่

 

“ไม่ เจ้าต้องการให้นางนำภัยมาสู่สปริงเรนของข้าอย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอยู่กับเด็กคนนี้ที่นี่” หานเซิ่นพูด

 

“ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ทำมัน แบบนั้นข้าก็จะทำมันแทนเจ้าเอง” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด เธอแกว่งดาบหักใส่เด็กสาวในอ้อมแขนของหานเซิ่น

 

คุณหญิงมิร์เรอร์กลายเป็นระดับราชัน แต่จิตใจและสติปัญญาของเธอยังเป็นระดับเทพเจ้า การฟันของเธอดูเหมือนกับสายรุ้ง มันโค้งอย่างน่าพิศวง มันอยากที่จะบอกได้ว่าดาบนั้นฟันไปที่ตำแหน่งไหน

 

การเคลื่อนไหวของหานเซิ่นเองก็ยากจะคาดเดาเช่นเดียวกัน แต่หลังจากพยายามที่หลบหลีกการโจมตีอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังไม่สามารถหลบดาบของคุณหญิงมิร์เรอร์ได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงยื่นฝ่ามือออกมาเพื่อจะหยุดดาบหักเอาไว้ แต่เขาเล็งที่ด้ามของมันแทนที่จะเป็นใบมีด

 

ดาบหักนั้นสามารถตัดเปลือกของต้นเรเควี่ยมได้ ด้วยเหตุนั้นมันเป็นอะไรที่คมเกินกว่าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ และหานเซิ่นก็ไม่มีอาวุธของตัวเองที่จะใช้รับดาบนั้นเช่นกัน แม้แต่อาวุธระดับเทพเจ้าก็อาจจะถูกทำลายได้ง่ายๆโดยดาบหักนั่น

 

แต่เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับด้ามของดาบหัก อกของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และคลื่นพลังของมันก็ส่งเขากระเด็นออกไป

 

‘เกิดอะไรขึ้น? บางสิ่งทำให้อกของเรารู้สึกเจ็บ นี่คือพลังของเราเองอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่ดาบหักของคุณหญิงมิร์เรอร์ฟันเข้าใส่เขาอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว

 

คุณหญิงมิร์เรอร์แสดงให้เห็นว่าทำไมเธอถึงเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่ง วิชาดาบของเธออยู่เหนือความสามารถของหานเซิ่น และมันก็เป็นวิชาดาบที่ประหลาดมากๆ ไม่ว่าหานเซิ่นจะเคลื่อนไหวยังไง เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีได้พ้น มันคล้ายคลึงกับการโจมตีของวิชาจำลองนภา แต่การโจมตีนี้ขาดพลังเหตุและผล

 

ปัง!

 

หานเซิ่นยื่นมือออกไปเพื่อโจมตีกลับ แต่เหมือนกับครั้งก่อนเมื่อมือของเขาสัมผัสกับด้ามของดาบหัก อกของเขาก็ได้รับแรงกระแทกและส่งให้เขากระเด็นออกไปอีกครั้ง

 

คุณหญิงมิร์เรอร์ตามติดเขาเหมือนกับเงา เธอพยายามจะฟันใส่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา

 

“นี่คือร่างมิร์เรอร์สปิริตของท่านอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่ถอยออกไป

 

“ใช่ ถึงแม้จะเป็นระดับราชัน ข้าก็ฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ อย่าได้ทำให้ข้าหมดความอดทน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด

 

“ร่างมิร์เรอร์สปิริตของท่านทำได้แค่สะท้อนการโจมตีกลับมาอย่างนั้นหรอ? นั่นไม่น่าประทับใจเท่าไหร่เลย” หานเซิ่นพูด

 

“บางทีมันอาจจะไม่ดูมหัศจรรย์ แต่มันก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้า” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด

 

“คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว และเขาก็โจมตีกลับไปใส่คุณหญิงมิร์เรอร์หรือดาบหักไม่ได้ เขาหันหลังและใช้ร่างกายเป็นโล่ให้กับเด็กสาวจากดาบหักที่ฟันเข้ามา

 

“อย่าคิดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดด้วยความรำคาญ ขณะที่เธอหยุดดาบเอาไว้

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset