Super God Gene – ตอนที่ 2442

มือของหว่านเอ๋อรวดเร็วเกินไป แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของหานเซิ่นก็ไม่สามารถหลบมือของเธอได้ทัน

 

นิ้วมือของเธอเฉี่ยวและทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้บนใบหน้าของหานเซิ่น รอยแผลนั้นลึกจนกะโหลกเผยออกมาให้เห็น

 

หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ เขายังอยู่ในโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดอยู่ แต่นิ้วมือของหว่านเอ๋อกับสร้างความเสียหายให้กับเขาได้อยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้น

 

โชคดีที่เขาหลบหลีกฝ่ามือของเธอได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ทั้งหัวของเขาก็คงจะถูกตัดเปิดออกเหมือนกับลูกแตงโม

 

หานเซิ่นเริ่มใช้วิชาโลหิตชีพจรเพื่อกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดนั้นไม่สามารถป้องกันพลังของหว่านเอ๋อได้ ถ้าเธอเลือกที่จะโจมตีเขา

 

แต่หว่านเอ๋อไม่ได้โจมตีเขาอีกครั้ง เธอยืนอยู่ที่เดิมและแข็งทื่อไป เธอมองไปที่นิ้วของตัวเอง ซึ่งมีเลือดของหานเซิ่นอยู่

 

ดวงตาของเธอค่อยๆกลับมามีชีวิตชีวาและพลังสีทองของเธอก็เริ่มจางหายไป

 

‘นี่พวกเราส่งผลกระทับซึ่งกันและกันอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดอย่างดีใจ เขากัดฟันและเอื้อมมือไปจับแขนของหว่านเอ๋อ เขาต้องการจะยืนยันข้อสันนิษฐานนี้

 

เมื่อร่างกายของหว่านเอ๋อถูกหานเซิ่นสัมผัส พลังสีทองของเธอก็จางหายไปเร็วยิ่งกว่าเดิม

 

เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าหว่านเอ๋อไม่ได้ขัดขืน เขาก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน เมื่อร่างกายของพวกเขาสัมผัสกัน พลังสีทองของหว่านเอ๋อก็หายไปจนหมด ดวงตาของเธอกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

 

“พี่ชายแสนดี มันดีจริงๆที่มีพี่อยู่ที่นี่” หว่านเอ๋อพึมพำ เธอเอนตัวพิงหานเซิ่นและค่อยหลับตาลงอย่างช้าๆ

 

หลังจากที่เธอพูดอย่างนั้น ร่างกายของหว่านเอ๋อก็อ่อนไป เธอหมดสติไปเหมือนกับก่อนหน้านี้

 

หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองเด็กสาวในอ้อมแขน พลังชีวิตของเธออ่อนแอลงยิ่งกว่าตอนที่เธอหมดสติไปครั้งก่อนซะอีก ตอนนี้พลังชีวิตของเธอเหมือนกับหญิงชราที่ใกล้จะตาย

 

“นี่หมายความว่าการใช้พลังสีทองนั้นจะทำให้เธอสูญเสียพลังชีวิตของตัวเองอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองไปที่เด็กสาวอย่างครุ่นคิด

 

เด็กสาวคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่หานเซิ่นเคยเจอว่าสามารถสร้างความเสียหายกับเขาในตอนที่อยู่ในโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดได้ มันอาจจะเป็นความคิดที่ดีที่จะกำจัดเธอซะตอนนี้ แต่มันมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้ และเธอก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเขา

 

‘ตราบใดที่เธออยู่ข้างกายเรา เธอก็จะใช้พลังน่ากลัวนั้นไม่ได้ แบบนั้นเราก็คงไม่ต้องกลัวอะไรมากนัก เราจำเป็นที่ต้องหาความจริงเกี่ยวกับเธอก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร’ หานเซิ่นถอนหายใจออกมาและวางเด็กสาวลงบนพื้น หลังจากนั้นเขาก็มองไปรอบๆห้องโถง

 

หลังจากที่มองดูรอบๆอยู่สักพัก หานเซิ่นก็ไม่ได้พบอะไรพิเศษ เขาพบแค่ว่าวัสดุที่ใช้ทำห้องโถงนั้นแข็งแรงเกินกว่าที่จะทำลายได้

 

แต่หานเซิ่นพบชิ้นส่วนของคริสตัลสีแดงที่มีขนาดพอๆกับมือคน มันอยู่ภายในลูกตาสีแดงของรูปปั้น เขาเก็บมันใส่กระเป๋าก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิม

 

‘ตอนนี้เมื่อรูปปั้นนั่นถูกทำลายไปแล้ว อากาศตาแดงนั่นจะยังส่งผลอย่ไหมนะ?’ หานเซิ่นคิดขณะที่เดินกลับออกไป

 

แต่เมื่อเขาไปถึงสถานที่ที่ทิ้งคุณหญิงมิร์เรอร์เอาไว้ เขาก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว

 

“นี่เธอกลับไปที่ค่ายแล้วอย่างนั้นหรอ? นั่นไม่สมกับเป็นเธอเลย” หานเซิ่นขมวดคิ้วและเริ่มเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม

 

ถึงแม้อาการตาแดงของคุณหญิงมิร์เรอร์จะหายไปแล้ว เธอก็ไม่ควรจะกลับไปที่ค่ายเพียงคนเดียว เธอควรจะอยู่ต่อและรอให้หานเซิ่นกลับมาเพื่อถามเขาอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

แถมชิ้นส่วนของไข่ต้นเรเควี่ยมก็ยังคงกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ถ้าคุณหญิงมิร์เรอร์ตัดสินใจกลับไปที่ค่ายจริงๆ อย่างน้อยเธอก็ควรจะเก็บชิ้นส่วนของไข่ติดตัวกลับไปด้วย เพราะยังไงซะพวกมันก็เป็นสมบัติที่มีค่า

 

“ช่างเถอะ เธอกลับไปก็ดีแล้ว นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนของไข่ต้นเรเควี่ยมทั้งหมดจะตกเป็นของเรา”
หานเซิ่นเริ่มเก็บชิ้นส่วนไข่ที่กระจัดกระจายอยู่ แต่ขณะที่ทำแบบนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าชิ้นส่วนของไข่ดูเหมือนจะไม่มีพลังชีวิตอะไรอยู่เลย นี่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นคาดคิดเอาไว้

 

“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านหญิงมิร์เรอร์ทิ้งพวกมันเอาไว้ พวกมันกลายเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ไปเรียบร้อยแล้ว นี่หว่านเอ๋อดูดซับพลังของไข่ต้นเรเควี่ยมไปจนหมดขณะที่เธออยู่ข้างในอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นคาดเดา เขาไม่สามารถคิดถึงคำอธิบายอื่นได้

 

หานเซิ่นเดินกลับไปในทิศทางเดิมที่เข้ามา หว่านเอ๋อยังคงหมดสติและร่างกายของเธอก็ดูอ่อนแอจนเหมือนกับว่าเธอกำลังจะหมดลมหายใจ

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ เธอก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

 

ในระหว่างทางกลับ หานเซิ่นยังพบอีกว่าฉากกั้นที่มีรูปภาพที่ทำนายอนาคตได้หายไปแล้ว มันไม่เหลือร่องรอยอะไรอยู่เลยราวกับว่ามันสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

 

หานเซิ่นเดินทางกลับไปที่ค่าย และเมื่อเขาไปถึงจุดที่มีรูปปั้นรูปแรกตั้งอยู่ เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น คุณหญิงมิร์เรอร์กำลังนอนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นและมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆเธอ ผู้หญิงคนนั้นกำลังสวดภาวนาต่อรูปปั้น ซึ่งคนคนนั้นก็คือเรดคลาวด์

 

ภาพตรงหน้านั้นเป็นเหมือนกับภาพที่ 6 บนฉากกั้น มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขามองไปที่เรดคลาวด์และคุณหญิงมิร์เรอร์อย่างไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

คุณหญิงมิร์เรอร์ยังมีพลังชีวิตอยู่ ดังนั้นเธอยังไม่ตาย แต่เธอดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เธอนอนอยู่บนพื้น มันเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่นัก

 

เรดคลาวด์กำลังคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นราวกับผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง ดวงตาของเธอปิดอยู่และมือของเธอก็ประกบกันขณะที่เธอสวดภาวนา

 

“ไม่มีทาง! เรดคลาวด์ไม่เคยเห็นรูปปั้นมาก่อน และท่านหญิงมิร์เรอร์ก็บอกให้เธอคอยเฝ้าค่ายเอาไว้ไม่ใช่หรอ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? นี่อาการตาแดงกลายเป็นโรคติดต่อจริงๆอย่างนั้นหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นนั่นก็จะหมายความว่าเป่าเอ๋อและหนิงเยวี่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย” หานเซิ่นรู้สึกกังวลขึ้นมา เขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า

 

ก่อนที่หานเซิ่นจะไปถึงรูปปั้น เรดคลาวด์ก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเธอเป็นสีเลือดและพวกมันก็ 2 ม่านตาในแต่ละข้าง นั่นคืออาการของคนที่ถูกพลังของบลัดอายอีวิลก็อตเข้า

 

ทันทีที่เห็นหานเซิ่น เรดคลาวด์ก็หยิบดาบหักขึ้นมา แต่แทนที่จะฟันใส่หานเซิ่น เธอกลับหันไปแทงใส่คุณหญิงมิร์เรอร์ด้วยดาบหักนั้น

 

หานเซิ่นรู้สึกตกใจ เขารีบใช้อาณาเขตกายหยกเพื่อแช่แข็งเรดคลาวด์

 

ในตอนนี้เรดคลาวด์เป็นเพียงแค่ระดับราชันเท่านั้น ดังนั้นเธอไม่สามารถเอาชนะหานเซิ่นได้ แถมอาการตาแดงก็กระตุ้นร่างกายของเธออย่างรุนแรงเกินกว่าที่เธอจะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบได้ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงถูกหานเซิ่นแช่แข็งอย่างง่ายดาย

 

หานเซิ่นเดินไปหาคุณหญิงมิร์เรอร์ เขาย่อตัวลงและมองเธอด้วยรอยยิ้ม
“ท่านหญิงมิร์เรอร์ ทำไมท่านถึงมามัวนอนพักในเวลาแบบนี้?”

 

“ใช้ดาบหักทำลายรูปปั้นนั่นซะ” คุณหญิงมิร์เรอร์กัดฟันพูดออกมา ดวงตาของเธอยังคงเป็นสีแดง

 

หานเซิ่นรู้สึกว่ารูปปั้นยังคงทำให้ดวงตาของทุกคนกลายเป็นสีแดง แต่มันไม่ได้รุนแรงเหมือนอย่างรูปปั้นที่หว่านเอ๋อทำลายก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าถึงแม้บลัดอายอีวิลก็อตจะถูกฆ่าไปแล้ว แต่รูปปั้นนี้ก็ยังมีพลังของบลัดอายอีวิลก็อตอยู่บางส่วน

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset