Super God Gene – ตอนที่ 2455

“ท่านจะบอกว่าข้าควรใช้รูบิคว่านเจียเพื่อปล่อยข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของตัวเองออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสแยกสมบัติกำลังจะบอกอะไร

 

ผู้อาวุโสแยกสมบัติพยักหน้าและพูด “ใช่ ทางเอ็กซ์ตรีมคิงตามล่าตัวเจ้า ไม่ใช่พวกพ้องของเจ้า ถ้าเจ้าปล่อยให้พวกเขารู้ถึงที่อยู่ของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำการค้นหาในวงกว้าง ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชิงอวี่และคนอื่นๆ”

 

“ข้าจะลองคิดดู” หานเซิ่นปิดรูบิคว่านเจีย

 

การใช้รูบิคว่านเจียในตอนนี้ไปมีประโยชน์อะไร เขาอยู่ภายในดวงตาของเดม่อนสปิริต ถ้าเขาเริ่มถ่ายวิดีโอในตอนนี้ ผู้คนก็จะเห็นแค่ภาพในรถม้าหินเท่านั้น นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครคนไหน

 

หานเซิ่นจำเป็นต้องรอคอยจังหวะ เพราะเมื่อเขาถ่ายวิดีโอ ทางเอ็กซ์ตรีมจะสามารถบอกได้ในทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน แบบนั้นถึงเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะเปิดใช้งานรูบิคว่านเจีย

 

‘หวังว่าเดม่อนสปิริตจะออกไปจากรถม้าปีศาจทะเลในเร็วๆนี้ ถ้าเขาอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี นั่นจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ’ หานเซิ่นคิด

 

โชคดีที่ความกังวลของหานเซิ่นไม่เป็นความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากผ่านไปครึ่งวัน รถม้าปีศาจทะเลก็มาหยุดอยู่ในที่แห่งหนึ่ง

 

ในที่สุดเดม่อนสปิริตก็หันสายตาออกจากผนังของรถม้า เขาดันประตูให้เปิดและออกไปข้างนอก

 

“ในที่สุดเขาก็ออกไปข้างนอก!” หานเซิ่นรู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ในตอนที่เขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกรถม้า เขาก็แข็งทื่อไป

 

ก่อนที่จะเข้ามาในระบบเทียนเซีย หานเซิ่นได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด เขาได้รู้ว่าภายในระบบเทียนเซียนั้นเต็มไปด้วยเมฆหมอกทุกหนทุกแห่งและไม่มีดวงดาวดวงไหนอยู่ภายในระบบเทียนเซีย

 

แต่เมื่อเดม่อนสปิริตออกไปจากรถม้า หานเซิ่นก็ได้เห็นเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ในหมู่เมฆ หมู่เมฆที่ล้อมห้อมพวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างไปจากเมฆสีฟ้าที่หานเซิ่นเคยเห็นก่อนหน้านี้ เมฆสีขาวที่นุ่มนิ่มพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆที่เห็นได้บนท้องฟ้าทั่วๆไป

 

เดม่อนสปิริตก้าวลงไปเหยียบพื้นหญ้าของเกาะ หญ้าที่เขียวสดชื่นนั้นกลายเป็นฝุ่นควันในทันทีที่เดม่อนสปิริตสัมผัสกับพวกมัน ฝุ่นควันลอยขึ้นและหมุนวนรอบเท้าของเดม่อนสปิริตราวกับเถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาศพ

 

ในตอนที่เขาต่อสู้ เดม่อนสปิริตนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต แต่ในที่แห่งนี้เขาเดินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับที่คนปกติทำ

 

ภูเขานั้นไม่ได้สูงอะไรมาก ยอดของมันสูงแค่ราวๆ 400 เมตรเท่านั้น หานเซิ่นสามารถกระโดดข้ามภูเขาเล็กแบบนั้นได้สบาย ด้วยเหตุนั้นเดม่อนสปิริตก็คงจะทำได้เหมือนกัน

 

แต่เดม่อนสปิริตกลับค่อยๆเดินขึ้นภูเขาไปอย่างช้าๆแทน

 

“นี่เขากำลังทำอะไร?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย

 

ถึงแม้เขาต้องการจะหนีไป แต่มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่เข้ามาอยู่ในสานตาของเดม่อนสปิริตเลย เกาะแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและดอกไม้ประหลาดเพียงเท่านั้น มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นเลย

 

เดม่อนสปิริตทิ้งรถม้าปีศาจทะเลเอาไว้ด้านหลังและไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเหล่ามังกรเมฆ เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถกระโดดเข้าไปในดวงตาของหนึ่งในมังกรเมฆได้

 

เนื่องจากหานเซิ่นไม่สามารถจะหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกับการพยายามจะคาดเดาสิ่งที่เดม่อนสปิริตจะทำบนยอดเขา แต่เขามีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสันนิษฐานอะไรได้

 

เมื่อเดม่อนสปิริตไปถึงยอดภูเขา หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ายอดภูเขานั้นแบนเรียบ มันมีขนาดพอๆกับสนามบาสและมันก็มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างนั้นมี 2 ชั้นและดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยไม้งามหลายชนิด

 

สิ่งก่อสร้างนั้นห้อมล้อมไปด้วยสวนที่มีรั้วกั้นที่หรูหรา ภายในสวนเต็มไปด้วยพืชสีเขียว แต่พวกมันไม่ได้งดงามหรือถูกดูแลเป็นอย่างดี พวกมันไม่น่าดูเลยสักนิดเดียวและมีเพียงแค่รั้วที่ห้อมล้อมพวกมันเท่านั้นที่ยังดูดี

 

ประตูไม้บานหนึ่งเป็นทางเข้าไปภายในรั้วกั้น ขณะที่เดม่อนสปิริตเดินเข้าไปหาประตู หานเซิ่นก็เห็นไม้กระดานปักอยู่ที่พื้น มีคำสามคำเขียนเอาไว้บนไม้กระดานนั้น “บ้านไร้รัก”

 

“บ้านไร้รัก? นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นสงสัย

 

เดม่อนสปิริตเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกรั้วของสวน ประตูไม้ไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะเข้าไปข้างใน เขายืนอยู่ด้านนอกรั้วและมองไปยังหน้าต่างบนชั้นที่ 2

 

หานเซิ่นคิดว่าเดม่อนสปิริตจะทำบางสิ่งที่น่าสนใจ แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงและไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว

 

“เพอเพิลไฟต์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า!” เสียงของผู้หญิงดังลงมาจากชั้นที่ 2 โทนเสียงของเธอฟังดูแข็งกร้าวและห่างเหิน

 

เดม่อนสปิริตยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับไปไหน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างบนชั้น 2

 

ผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านไม้ดันหน้าต่างออกมาและมองมาที่เดม่อนสปิริตด้วยความโกรธ เธอกัดฟันและพูด

“ไสหัวไปซะ! ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก ทำให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ”

 

เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อเพอเพิลไฟต์ เขาก็คิดว่ามันฟังดูคุ้นๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาและปากของเขาก็เบิกกว้างด้วยตกกใจ

“เขาคือหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด ขุนพลเพอเพิลไฟต์ผู้ไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือเนี่ย?”

 

หลังจากที่จบการต่อสู้กับผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเซเคร็ดเท่าที่จะทำได้ เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับขุนพลทั้งสิบอย่างละเอียด แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก แต่จากข้อมูลอันน้อยนิดที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ ขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นคนที่สร้างความประทับใจกับเขามากที่สุด

 

เขาไร้เทียมทานแม้ในตอนที่ต่อสู้ตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาได้รับสมญานาม‘Invincible Solo’ ชื่อนั้นบอกถึงความน่าสะพรึงกลัวของขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นอย่างดี

 

มันมีตำนานที่บอกเอาไว้ว่าก่อนที่เพอเพิลไฟต์จะกลายเป็นขุนพลนั้น เขาเป็นศัตรูคนหนึ่งของผู้นำเซเคร็ด ในตอนนั้นผู้นำเซเคร็ดเองก็ฝ่ายแพ้ให้กับเพอเพิลไฟต์ในการต่อสู้ตัวต่อตัว นั่นเป็นเหตุผลที่เพอเพิลไฟต์ได้รับสมญานามInvincible Solo

 

หลังจากนั้นผู้นำเซเคร็ดก็ใช้กลลวงบางอย่างเพื่อเอาชนะเพอเพิลไฟต์และครอบครองความเป็นเจ้าของตัวของเขา หลังจากนั้นเพอเพิลไฟต์ก็กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบขุนพลของเซเคร็ด

 

“เดม่อนสปิริตนี้คือขุนพลเพอเพิลไฟต์จริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพบว่ามันยากที่จะเชื่อได้

 

จากขุนพลทั้งสิบ ขุนพลโกสต์โบนเก่งกาจที่สุดในเรื่องการนำทัพ ส่วนผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหัวหน้าฝ่ายเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ในการต่อสู้ตามลำพังนั้น เพอเพิลไฟต์คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ผู้นำของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 เผ่าของจักรวาลก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้

 

เดม่อนสปิริตเห็นผู้หญิงคนนั้นมองลงมาที่เขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองกลับไปที่เธอ

 

หานเซิ่นรู้สึกลังเลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริตต่อหรือกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นดี

 

ผู้หญิงคนนั้นยังคงตะโกนคำหยาบคายใส่เพอเพิลไฟต์ แต่เดม่อนสปิริตเพียงแค่มองไปที่เธออย่างไม่เคลื่อนไหว มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ถูกต่อว่าเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเดม่อนสปิริตคนนี้ใช่เพอเพิลไฟต์ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงแน่หรือเปล่า

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นตะโกนจนเบื่อแล้ว เดม่อนสปิริตก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา จู่ๆมันก็มาปรากฏขึ้นในมือของเดม่อนสปิริต และเขาก็นำมันไปวางเอาไว้หน้าประตู

 

เมื่อหานเซิ่นเห็นสิ่งที่เดม่อนสปิริตวางลงบนพื้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย มันคือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นทำขึ้นจากก้อนหินและมันมีตัวอักษรเขียนเอาไว้บนปกว่า “ช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง”

 

‘โว้ว! นั่นมันวิชาจีโนเฉพาะของเอ็กซ์ตรีมคิงหนิ เดม่อนสปิริตไปได้มันมาจากไหนกัน? ใช่แล้วเขาคงจะต้องได้มันมาจากเป่าฉิน เป่าฉินคงจะต้องผกมันเอาไว้กับตัวขณะที่เขาต่อสู้กับเดม่อนสปิริต’ หานเซิ่นคิด

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง เธอก็ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม

“เพอเพิลไฟต์ มันมีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะนำวิชาจีโนทั้งโลกนี้มาให้กับข้า? พวกมันไร้ความหมายสำหรับข้า ปล่อยข้าไปหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ!”

“ท่านจะบอกว่าข้าควรใช้รูบิคว่านเจียเพื่อปล่อยข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของตัวเองออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสแยกสมบัติกำลังจะบอกอะไร

 

ผู้อาวุโสแยกสมบัติพยักหน้าและพูด “ใช่ ทางเอ็กซ์ตรีมคิงตามล่าตัวเจ้า ไม่ใช่พวกพ้องของเจ้า ถ้าเจ้าปล่อยให้พวกเขารู้ถึงที่อยู่ของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำการค้นหาในวงกว้าง ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชิงอวี่และคนอื่นๆ”

 

“ข้าจะลองคิดดู” หานเซิ่นปิดรูบิคว่านเจีย

 

การใช้รูบิคว่านเจียในตอนนี้ไปมีประโยชน์อะไร เขาอยู่ภายในดวงตาของเดม่อนสปิริต ถ้าเขาเริ่มถ่ายวิดีโอในตอนนี้ ผู้คนก็จะเห็นแค่ภาพในรถม้าหินเท่านั้น นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครคนไหน

 

หานเซิ่นจำเป็นต้องรอคอยจังหวะ เพราะเมื่อเขาถ่ายวิดีโอ ทางเอ็กซ์ตรีมจะสามารถบอกได้ในทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน แบบนั้นถึงเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะเปิดใช้งานรูบิคว่านเจีย

 

‘หวังว่าเดม่อนสปิริตจะออกไปจากรถม้าปีศาจทะเลในเร็วๆนี้ ถ้าเขาอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี นั่นจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ’ หานเซิ่นคิด

 

โชคดีที่ความกังวลของหานเซิ่นไม่เป็นความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากผ่านไปครึ่งวัน รถม้าปีศาจทะเลก็มาหยุดอยู่ในที่แห่งหนึ่ง

 

ในที่สุดเดม่อนสปิริตก็หันสายตาออกจากผนังของรถม้า เขาดันประตูให้เปิดและออกไปข้างนอก

 

“ในที่สุดเขาก็ออกไปข้างนอก!” หานเซิ่นรู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ในตอนที่เขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกรถม้า เขาก็แข็งทื่อไป

 

ก่อนที่จะเข้ามาในระบบเทียนเซีย หานเซิ่นได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด เขาได้รู้ว่าภายในระบบเทียนเซียนั้นเต็มไปด้วยเมฆหมอกทุกหนทุกแห่งและไม่มีดวงดาวดวงไหนอยู่ภายในระบบเทียนเซีย

 

แต่เมื่อเดม่อนสปิริตออกไปจากรถม้า หานเซิ่นก็ได้เห็นเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ในหมู่เมฆ หมู่เมฆที่ล้อมห้อมพวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างไปจากเมฆสีฟ้าที่หานเซิ่นเคยเห็นก่อนหน้านี้ เมฆสีขาวที่นุ่มนิ่มพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆที่เห็นได้บนท้องฟ้าทั่วๆไป

 

เดม่อนสปิริตก้าวลงไปเหยียบพื้นหญ้าของเกาะ หญ้าที่เขียวสดชื่นนั้นกลายเป็นฝุ่นควันในทันทีที่เดม่อนสปิริตสัมผัสกับพวกมัน ฝุ่นควันลอยขึ้นและหมุนวนรอบเท้าของเดม่อนสปิริตราวกับเถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาศพ

 

ในตอนที่เขาต่อสู้ เดม่อนสปิริตนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต แต่ในที่แห่งนี้เขาเดินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับที่คนปกติทำ

 

ภูเขานั้นไม่ได้สูงอะไรมาก ยอดของมันสูงแค่ราวๆ 400 เมตรเท่านั้น หานเซิ่นสามารถกระโดดข้ามภูเขาเล็กแบบนั้นได้สบาย ด้วยเหตุนั้นเดม่อนสปิริตก็คงจะทำได้เหมือนกัน

 

แต่เดม่อนสปิริตกลับค่อยๆเดินขึ้นภูเขาไปอย่างช้าๆแทน

 

“นี่เขากำลังทำอะไร?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย

 

ถึงแม้เขาต้องการจะหนีไป แต่มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่เข้ามาอยู่ในสานตาของเดม่อนสปิริตเลย เกาะแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและดอกไม้ประหลาดเพียงเท่านั้น มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นเลย

 

เดม่อนสปิริตทิ้งรถม้าปีศาจทะเลเอาไว้ด้านหลังและไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเหล่ามังกรเมฆ เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถกระโดดเข้าไปในดวงตาของหนึ่งในมังกรเมฆได้

 

เนื่องจากหานเซิ่นไม่สามารถจะหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกับการพยายามจะคาดเดาสิ่งที่เดม่อนสปิริตจะทำบนยอดเขา แต่เขามีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสันนิษฐานอะไรได้

 

เมื่อเดม่อนสปิริตไปถึงยอดภูเขา หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ายอดภูเขานั้นแบนเรียบ มันมีขนาดพอๆกับสนามบาสและมันก็มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างนั้นมี 2 ชั้นและดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยไม้งามหลายชนิด

 

สิ่งก่อสร้างนั้นห้อมล้อมไปด้วยสวนที่มีรั้วกั้นที่หรูหรา ภายในสวนเต็มไปด้วยพืชสีเขียว แต่พวกมันไม่ได้งดงามหรือถูกดูแลเป็นอย่างดี พวกมันไม่น่าดูเลยสักนิดเดียวและมีเพียงแค่รั้วที่ห้อมล้อมพวกมันเท่านั้นที่ยังดูดี

 

ประตูไม้บานหนึ่งเป็นทางเข้าไปภายในรั้วกั้น ขณะที่เดม่อนสปิริตเดินเข้าไปหาประตู หานเซิ่นก็เห็นไม้กระดานปักอยู่ที่พื้น มีคำสามคำเขียนเอาไว้บนไม้กระดานนั้น “บ้านไร้รัก”

 

“บ้านไร้รัก? นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นสงสัย

 

เดม่อนสปิริตเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกรั้วของสวน ประตูไม้ไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะเข้าไปข้างใน เขายืนอยู่ด้านนอกรั้วและมองไปยังหน้าต่างบนชั้นที่ 2

 

หานเซิ่นคิดว่าเดม่อนสปิริตจะทำบางสิ่งที่น่าสนใจ แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงและไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว

 

“เพอเพิลไฟต์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า!” เสียงของผู้หญิงดังลงมาจากชั้นที่ 2 โทนเสียงของเธอฟังดูแข็งกร้าวและห่างเหิน

 

เดม่อนสปิริตยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับไปไหน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างบนชั้น 2

 

ผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านไม้ดันหน้าต่างออกมาและมองมาที่เดม่อนสปิริตด้วยความโกรธ เธอกัดฟันและพูด

“ไสหัวไปซะ! ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก ทำให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ”

 

เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อเพอเพิลไฟต์ เขาก็คิดว่ามันฟังดูคุ้นๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาและปากของเขาก็เบิกกว้างด้วยตกกใจ

“เขาคือหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด ขุนพลเพอเพิลไฟต์ผู้ไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือเนี่ย?”

 

หลังจากที่จบการต่อสู้กับผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเซเคร็ดเท่าที่จะทำได้ เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับขุนพลทั้งสิบอย่างละเอียด แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก แต่จากข้อมูลอันน้อยนิดที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ ขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นคนที่สร้างความประทับใจกับเขามากที่สุด

 

เขาไร้เทียมทานแม้ในตอนที่ต่อสู้ตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาได้รับสมญานาม‘Invincible Solo’ ชื่อนั้นบอกถึงความน่าสะพรึงกลัวของขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นอย่างดี

 

มันมีตำนานที่บอกเอาไว้ว่าก่อนที่เพอเพิลไฟต์จะกลายเป็นขุนพลนั้น เขาเป็นศัตรูคนหนึ่งของผู้นำเซเคร็ด ในตอนนั้นผู้นำเซเคร็ดเองก็ฝ่ายแพ้ให้กับเพอเพิลไฟต์ในการต่อสู้ตัวต่อตัว นั่นเป็นเหตุผลที่เพอเพิลไฟต์ได้รับสมญานามInvincible Solo

 

หลังจากนั้นผู้นำเซเคร็ดก็ใช้กลลวงบางอย่างเพื่อเอาชนะเพอเพิลไฟต์และครอบครองความเป็นเจ้าของตัวของเขา หลังจากนั้นเพอเพิลไฟต์ก็กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบขุนพลของเซเคร็ด

 

“เดม่อนสปิริตนี้คือขุนพลเพอเพิลไฟต์จริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพบว่ามันยากที่จะเชื่อได้

 

จากขุนพลทั้งสิบ ขุนพลโกสต์โบนเก่งกาจที่สุดในเรื่องการนำทัพ ส่วนผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหัวหน้าฝ่ายเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ในการต่อสู้ตามลำพังนั้น เพอเพิลไฟต์คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ผู้นำของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 เผ่าของจักรวาลก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้

 

เดม่อนสปิริตเห็นผู้หญิงคนนั้นมองลงมาที่เขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองกลับไปที่เธอ

 

หานเซิ่นรู้สึกลังเลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริตต่อหรือกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นดี

 

ผู้หญิงคนนั้นยังคงตะโกนคำหยาบคายใส่เพอเพิลไฟต์ แต่เดม่อนสปิริตเพียงแค่มองไปที่เธออย่างไม่เคลื่อนไหว มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ถูกต่อว่าเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเดม่อนสปิริตคนนี้ใช่เพอเพิลไฟต์ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงแน่หรือเปล่า

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นตะโกนจนเบื่อแล้ว เดม่อนสปิริตก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา จู่ๆมันก็มาปรากฏขึ้นในมือของเดม่อนสปิริต และเขาก็นำมันไปวางเอาไว้หน้าประตู

 

เมื่อหานเซิ่นเห็นสิ่งที่เดม่อนสปิริตวางลงบนพื้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย มันคือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นทำขึ้นจากก้อนหินและมันมีตัวอักษรเขียนเอาไว้บนปกว่า “ช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง”

 

‘โว้ว! นั่นมันวิชาจีโนเฉพาะของเอ็กซ์ตรีมคิงหนิ เดม่อนสปิริตไปได้มันมาจากไหนกัน? ใช่แล้วเขาคงจะต้องได้มันมาจากเป่าฉิน เป่าฉินคงจะต้องผกมันเอาไว้กับตัวขณะที่เขาต่อสู้กับเดม่อนสปิริต’ หานเซิ่นคิด

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง เธอก็ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม

“เพอเพิลไฟต์ มันมีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะนำวิชาจีโนทั้งโลกนี้มาให้กับข้า? พวกมันไร้ความหมายสำหรับข้า ปล่อยข้าไปหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ!”

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset