Super God Gene – ตอนที่ 2456

 

หานเซิ่นรู้สึกลังเล เขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริตต่อหรือกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนี้ดี

 

จากสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูด เขาสามารถคาดเดาได้ว่าเธอถูกขังอยู่ในบ้านหลังนี้โดยเดม่อนสปิริต ถ้าหานเซิ่นกระโดดเข้าไปในดวงตาของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา แต่มันก็มีโอกาสสูงที่เขาอาจจะไม่มีวันได้ออกไปจากที่นั่น

 

แต่ถ้าเขาอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริต ใครจะรู้ว่าเขาจะต้องอยู่ภายในรถม้าปีศาจทะเลเป็นเวลานานแค่ไหน การต้องอยู่ในรถม้าปีศาจทะเลเป็นเวลาหลายร้อยปีนั้นเป็นชะตากรรมที่เลวร้าย

 

“ผู้หญิงคนนั้นควรจะรับมือได้ง่ายกว่าเดม่อนสปิริต ถ้าการมีอยู่ของเราถูกค้นพบเข้าจริง มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่จะหนีไป”

หานเซิ่นรู้สึกได้ว่าเดม่อนสปิริตกำลังจะจากไปแล้ว ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงเลิกลังเลและกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป

 

ขณะที่เสียงสาปแช่งของผู้หญิงยังคงดังก้อง เดม่อนสปิริตก็เดินลงจากภูเขาไป ขณะที่หานเซิ่นมองดูเดม่อนสปิริตเดินจากไป เขาก็รู้สึกค่อนข้างทุกข์ใจ

 

“ในที่สุดการมองเห็นของเราก็กลับมาเป็นปกติ”

ด้วยสายของผู้หญิงคนนี้ ทำให้หานเซิ่นกลับมามองเห็นสีสันอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นอะไรที่โล่งใจที่ได้กลับมามองเห็นสีสันอีกครั้ง หลังจากที่ติดแหง็กอยู่ในดวงตาขาวดำของเดม่อนสปิริต

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเดม่อนสปิริตก็จากไปแล้ว เธอก็หยุดบ่นและปิดหน้าต่าง

 

เธอมองไปรอบๆ และขณะที่เธอทำอย่างนั้น หานเซิ่นก็มองตามสายตาของเธอ ภายในบ้านนั้นเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่มีหนังสืออยู่เต็มไปหมด

 

แต่ทว่าดวงตาของผู้หญิงคนนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเกินไป ซึ่งทำให้หานเซิ่นไม่สามารถอ่านชื่อหนังสือแต่ละเล่มได้

 

เธอเดินลงบันไดและออกจากบ้านไป ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอจะโกรธ แต่เธอก็เดินไปหยิบเอาหนังสือที่เดม่อนสปิริตทิ้งเอาไว้ขึ้นมา

 

เมื่อเธอกลับเข้ามาในบ้าน เธอก็โยนช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิงลงกับพื้นและเหยียบใส่มันหลายต่อหลายครั้งเพื่อละบายความโกรธของเธอ

 

หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็หยิบช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิงขึ้นมา เธอใช้ผ้าเช็ดมันจนสะอาดก่อนที่จะนำมันไปวางไว้บนชั้นหนังสือ

 

หลังจากนั้นเธอก็ยังดูร้อนใจ เธอยืนขึ้นและเดินกลับไปหาชั้นหนังสือเดิมเพื่อจัดตำแหน่งของช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดเล็กน้อย

 

“ผู้หญิงคนนี้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือยังไง?” หานเซิ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้แปลกประหลาด เธออาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่งตามลำพัง หานเซิ่นต้องการจะหนีอออกไปจากดวงตาของเธอ แต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

‘เราไม่รู้ถึงฝีมือของผู้หญิงคนนี้ ถ้าฝีมือของเธอไม่เท่าไหร่ เราก็แค่ต้องรอจนกระทั่งแน่ใจว่าเดม่อนสปิริตจากไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็ออกมาจากดวงตาของเธอและหนีไป’ หานเซิ่นคิด

 

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่แปลกประหลาด เมื่อเธอจัดหนังสือเสร็จแล้ว เธอก็ไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าก้อนเมฆด้านนอกไม่ได้เป็นสีขาวอีกต่อไปแล้ว พวกมันเป็นสีเหลืองอ่อนเหมือนกับเนย

 

หานเซิ่นรู้สึกดีใจที่เห็นแบบนั้น เขานำรูบิคว่านเจียออกมาและถ่ายสิ่งที่มองเห็นนอกหน้าต่าง หลังจากนั้นเขาก็ส่งมันไปให้กับผู้อาวุโสแยกสมบัติ

 

“พวกเจ้าต้องการจะจับตัวข้าไม่ใช่หรอ? แน่จริงก็เข้ามาจับตัวข้าให้ได้สิ” หานเซิ่นพูดกับรูบิคว่านเจียขณะที่ถ่ายภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสแยกสมบัติได้รับวิดีโอจากหานเซิ่น เขาก็ตัดต่อมันและเริ่มถ่ายทอดออกไป

 

หานเซิ่นไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำแบบนี้ แต่ตอนนี้มันคือทั้งหมดที่เขาจะทำได้

 

ต้องขอบคุณที่ในบ้านไม้ไม่มีกระจกหรืออะไรที่สะท้อนแสง ไม่อย่างนั้นถ้าเธอมองเข้าไปในกระจกและสังเกตเห็นว่าดวงตาข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอก็จะรู้สึกตัวว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ

 

ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ริมหน้าต่างเป็นเวลานาน หานเซิ่นไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และเขาก็เริ่มเชื่อว่าเธอจะไม่เคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

เธอถอนหายใจและเดินไปที่ห้องของเธอ ในห้องนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยกองหนังสืออยู่ ภายในบ้านหานเซิ่นไม่เห็นเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่เลย บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะพายุแม่เหล็กในระบบเทียนเซีย เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่สามารถใช้งานที่นี่ได้

 

ห้องของผู้หญิงคนนี้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของบ้าน สิ่งของทุกอย่างบนโต๊ะถูกจัดเอาไว้ และหนังสือของเธอก็เรียงต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ ปากกาทุกด้ามก็ปิดฝาเอาไว้

 

ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำอย่างร้ายแรง เธอนั่งลงตรงหน้าโต๊ะและหยิบเอาสมุดบันทึกที่อยู่บนสุดขึ้นมา เธอเปิดสมุดบันทึกและพลิกไปหน้าที่ว่างเปล่า

 

หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็เขียนบางสิ่งลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า เธอเขียนอักษร ตัวเลขและเครื่องหมายในหลากหลายรูปแบบที่หานเซิ่นไม่สามารถเข้าใจได้

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรกันแน่ ผู้หญิงคนนั้นหยุดเขียนเพื่อครุ่นคิดเป็นระยะๆ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือ เธอพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็วราวกับว่าเธอกำลังหาอะไรบางอย่าง

 

‘ฟีโนมีนอน? นั่นเป็นวิชาที่คล้ายคลึงกับตำราไร้อักษรของปราสาทนภาไม่ใช่หรอ?’ หานเซิ่นคิดอย่างประหลาดใจ ฟีโนมีนอนถือเป็นวิชาลับของปราสาทนภา

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้หานเซิ่นประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ผู้หญิงคนนั้นหยิบเอาหนังสือต่างๆออกมาเรื่อยๆ และพวกมันต่างก็เป็นวิชาจีโนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ซึ่งหลายวิชาถือเป็นความลับสุดยอดของเผ่าพันธุ์

 

หนังสือหลายเล่มเป็นวิชาจีโนที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งจักรวาลจีโน ในขณะที่อีกหลายเล่มเป็นวิชาจีโนที่หานเซิ่นไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

 

‘ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมถึงได้มีวิชาจีโนลับมากมายอยู่ที่นี่? เดม่อนสปิริตคงจะไม่ได้ขโมยพวกมันทั้งหมดมาเพื่อเธอหรอกใช่ไหม? นั่นควรจะเป็นไปไม่ได้! ทุกเผ่าพันธุ์จะไม่มอบความลับของตัวเองให้กับคนอื่นง่ายๆ มันมียอดฝีมือมากแค่ไหนกันที่นำวิชาจีโนลับของเผ่าตัวเองมาที่ระบบเทียนเซีย?’ หานเซิ่นคิด

 

ขณะที่มองดูต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าเธอกำลังทำอะไร เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังวิจัยเกี่ยวกับวิชาจีโนอยู่ แต่เนื่องจากเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอเขียน เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเธอกำลังวิจัยวิชาจีโนแบบไหนอยู่กันแน่

 

มันเหมือนกับตอนที่ผู้คนใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ถึงแม้ผู้คนจะใช้โปรแกรมๆหนึ่งอยู่ทุกวัน แต่ถ้าพวกเขาได้เห็นโค้ดการทำงานของโปรแกรมเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจว่ากำลังได้เห็นอะไร

 

นอกซะจากหานเซิ่นจะเห็นวิชาจีโนที่เธอกำลังวิจัย เขาก็ไม่ทีทางรู้เลยว่ากำลังได้เห็นอะไร สัญลักษณ์และสูตรต่างๆไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบอกได้ว่าเธอกำลังวิจัยอะไรอยู่

 

“ไม่ นี่มันใช้ไม่ได้… ถ้าเราคงความสมบูรณ์ของมันไว้ มันก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่มีคุณสมบัติพอที่จะฝึกมันได้ แต่การลดคุณสมบัติที่จำเป็นจะลดประสิทธิภาพของวิชาลงไป นั่นจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์… แต่เราจะคงความสมบูรณ์ของวิชาและลดคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการฝึกได้ยังไงกัน?” ผู้หญิงคนนั้นพึมพำกับตัวเอง

 

เธอพยายามคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่นาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถคิดหาทางแก้ไขได้ เธอเดินไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหยิบเอาช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดมาและเริ่มอ่านมัน

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset