Super God Gene – ตอนที่ 2608

ผู้นำปราสาทนภาปล่อยให้หานเซิ่นกลับไปคิด เขาสามารถไปแจ้งให้กับผู้นำปราสาทนภาทราบเมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว

 

‘ถ้าไป มันก็ช่วยประหยัดเวลาการรักษาตัว 3 ปี และเรายังจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเวรี่ไฮ นี่ถือเป็นข้อเสนอที่ดีมากๆ แต่มันก็เสี่ยงจะถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง ถ้าไม่ไป มันก็จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น แต่มันจะใช้เวลานานกว่าที่เราจะฟื้นตัว และถึงเราจะฟื้นตัวแล้ว เราก็ต้องหาทรัพยากรของตัวเอง’ หานเซิ่นครุ่นคิดตลอดทางไปที่เกาะและสงสัยว่าควรจะทำยังไงดี

 

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจจะอยู่ที่ปราสาทนภาต่อ ยังไงซะไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะหายดี และเขาก็สามารถหาทรัพยากรได้เรื่อยๆเพียงแค่ว่ามันจะเป็นกระบวนการที่ช้ากว่าเท่านั้น

 

แต่ถ้าตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยออกมา นั่นจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ มันจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์

 

เมื่อหานเซิ่นกลับมาที่เกาะหยกน้อย ไผ่เดียวดายก็กำลังรอเขาอยู่ที่นั่น

 

“ข้าจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮ” ไผ่เดียวดายพูดขึ้นมา นั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ

 

“ทำไมจู่ๆเจ้าถึงเปลี่ยนใจ?” หานเซิ่นถามไผ่เดียวดายด้วยความสับสน ไผ่เดียวดายยืนกรานที่จะไม่ไปจนถูกจับขัง แต่ตอนนี้เมื่อเขาเป็นอิสระแล้ว เขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

 

“ข้าไม่อยากไป แต่ถ้าข้าไม่ไป เจ้าจะต้องไปแทนข้า จากสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องไป” ไผ่เดียวดายพูด

 

“ผู้นำปราสาทนภาบอกว่าเขาจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้ บางทีมันจะมีหนทางที่พวกเราทั้งคู่ไม่ต้องไป” หานเซิ่นพูด

 

ไผ่เดียวดายส่ายหัว “มันไม่มีหนทางอื่น พวกเราจะต้องส่งใครสักคนไป อย่างนั้นแล้วข้าก็ตัดสินใจจะเป็นคนไปที่เผ่าเวรี่ไฮ”

 

“เจ้าจะใช้วิถีเอ็กซ์ตรีมอีวิลของมิสเตอร์อวี้อย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้ ไผ่เดียวดายไม่ใช่คนจะถูกสั่นคลอนง่ายๆ หานเซิ่นมั่นใจว่าอวี้ซ่านซินคงจะเสนอให้กับไผ่เดียวดายตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ถ้าไผ่เดียวดายต้องการจะเลือกเส้นทางนี้ เขาก็ควรจะเลือกตั้งแต่แรก

 

ไผ่เดียวดายส่ายหัวอีกครั้ง “การใช้วิถีเอ็กซ์ตรีมอีวิลนั้นหลีกเลี่ยงสายตาของเวรี่ไฮได้ก็จริง แต่มันจะมอบจิตใจที่ชั่วร้ายให้กับผู้ใช้ จิตใจที่ชั่วร้ายจะเป็นคนจับตาดูเจ้าแทน ดังนั้นมันไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไร”

 

ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าอวี้ซ่านซินจงใจไม่พูดถึงส่วนที่สำคัญที่สุด

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีแผนจะทำอะไร?” หานเซิ่นถามเบาๆ

 

ไผ่เดียวดายมองข้ามหมู่เมฆไปและพูด “เผ่าเวรี่ไฮจะสัมผัสได้ทุกสิ่งที่ข้ารู้สึก ดังนั้นทั้งหมดที่ข้าต้องทำก็คือไม่คิดหรือรู้สึกอะไรทั้งนั้น ข้าจะทำแค่สิ่งที่พวกเขาต้องการให้ทำ อย่างนั้นเอ็กซ์ควิสิทก็จะเห็นข้าอย่างที่นางต้องการจะเห็น”

 

“นั่นเป็นอะไรที่ยากมากๆ” หานเซิ่นรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากขนาดไหน

 

มันมีหนทางมากมายที่จะควบคุมใครสักคน แต่การควบคุมตัวเองเป็นอะไรที่ยากกว่า ศัตรูที่เป็นอันตรายมากที่สุดของคนๆหนึ่งนั้นมักจะเป็นตัวเอง

 

ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงรู้สึกนับถือหนิงเยวี่ยอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้วิญญาณอสูรปรสิตเพื่อจับตาดูหนิงเยวี่ย และหนิงเยวี่ยก็ใช้เวลาหลายปีกับการฝึกทำสมาธิ หานเซิ่นไม่สามารถเก็บข้อมูลใดๆจากหนิงเยวี่ยได้ หานเซิ่นไม่ได้คิดว่าหนิงเยวี่ยจะมีความอดทนมากถึงขนาดนั้น

 

ไผ่เดียวดายมีแผนที่จะทำแบบเดียวกัน เขาจะใช้พลังเพื่อควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง เขาจะไม่ปล่อยให้เอ็กซ์ควิสิทเห็นความลับทั้งหมดของเขา

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะรู้ว่าไผ่เดียวดายทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เขาไปแทน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก

 

ถ้าเขาอยู่ตามลำพัง เขาก็คงจะทำการตัดสินใจแบบเดียวกับไผ่เดียวดาย เขาไม่รังเกียจที่จะต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง

 

แต่หานเซิ่นแบกรับอะไรเอาไว้มากเกินไป เขาต้องรับผิดชอบชีวิตนับไม่ถ้วนภายในก็อตแซงชัวรี่ ถ้าเขาไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองเอาไว้ได้ เอ็กซ์ควิสิทก็จะได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถเสี่ยงทำแบบนั้นได้

 

“ก่อนที่ข้าจะไป ข้าอยากให้เจ้าช่วยอะไรสักหน่อย” ไผ่เดียวดายพูด นี่เป็นเหตุผลที่เขามาที่นี่

 

“มันคืออะไร?” หานเซิ่นถาม

 

“ช่วยข้าดูแลเด็กคนหนึ่ง ชื่อของนางคือฟลาวเวอร์” ไผ่เดียวดายพูด

 

“นางเป็นศิษย์ของปราสาทนภาอย่างนั้นหรอ? นางเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้า?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้

 

ไผ่เดียวดายส่ายหัว เขาคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูด
“นางและผีเสื้อเนตรม่วงเคยอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ข้ารวมกับยีนของผีเสื้อเนตรม่วง นางก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า นางต้องการจะฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้กับผีเสื้อเนตรม่วง มันอาจจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญเล็กน้อย แต่หลังจากที่ข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ เจ้าช่วยดูแลนางต่อที”

 

“นั่นฟังดูยุ่งยากนิดหน่อย แต่อย่าได้กังวล ถ้าเจ้าอยากให้นางมีชีวิตต่อ ข้าก็จะดูแลให้” หานเซิ่นตอบตกลง

 

“ขอบคุณเจ้ามาก” ไผ่เดียวดายถอนหายใจ

 

สำหรับคนอื่นแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงได้เป็นห่วงใครบางคนที่ต้องการจะฆ่าเขามากขนาดนั้น แต่หานเซิ่นเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เขาถามเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่ชื่อฟลาวเวอร์แทน

 

เมื่อไผ่เดียวดายจากไป หานเซิ่นก็รู้สึกแน่นในอก เขาหวังว่าตัวเองจะเป็นเหมือนอย่างไผ่เดียวดาย เขาไม่รังเกียจที่จะไปเผ่าเวรี่ไฮเพราะมันแค่เป็นการต่อสู้กับจิตใจ หนิงเยวี่ยทำได้และไผ่เดียวกายก็กล้าที่จะทำ แบบนั้นทำไมหานเซิ่นถึงจะทำไม่ได้?

 

แต่หลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมด หานเซิ่นก็ยิ้มแห้งออกมาและส่ายหัวเพื่อขจัดความคิดที่โง่เขลาทิ้งไป

 

หานเซิ่นคิดว่าเรื่องนี้จะถูกแก้ไข แต่หลังจากนั้นบางสิ่งที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก็เกิดขึ้น

 

ตอนนี้เอ็กซ์ควิสิทปฏิเสธที่จะพาไผ่เดียวดายไปกับเธอ และเธอก็สนใจหานเซิ่นเพียงคนเดียว

 

นั่นทำให้หานเซิ่นอึ้งไป เมื่อเขารู้สึกตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเอง

 

“เราไม่ควรไปที่การประชุมนั้น ถึงแม้จะไป ทำไมเราถึงได้ไปทดสอบพรสวรรค์ต่อหน้าทุกคน? และถึงแม้จะทำการทดสอบ ทำไมเราถึงไปช่วยก็อตสปิริตทัชวิวัฒนาการ? นั่นเป็นการหาเรื่องใส่ตัว” หานเซิ่นผิดหวังในความโง่เขลาของตัวเอง

 

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเวรี่ไฮจะยินดีเปลี่ยนคนแบบนั้น หานเซิ่นควรจะเป็นคนนอกในเรื่องนี้ แต่เขากลายเป็นปมของเรื่องทั้งหมดไป

 

ถ้าหานเซิ่นรู้แบบนี้ เขาก็คงจะอยู่บ้านเล่นเกมส์ เขาจะไม่ไปเข้าร่วมกับประชุมนั่น

 

“สมควรแล้ว” หานเซิ่นถอนหายใจ

 

“หานเซิ่น! เจ้าคิดได้หรือยัง?” ขณะที่หานเซิ่นกำลังจะไปพบกับผู้นำของปราสาทนภา อวี้ซ่านซินก็ปรากฏตัวข้างๆเขาด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้าจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮ” หานเซิ่นพูดอย่างไร้ความรู้สึก

 

“เจ้ายังจำเป็นต้องใช้วิถีเอ็กซ์ตรีมอีวิลของข้าไหม?” อวี้ซ่านซินถามด้วยรอยยิ้ม

 

“มิสเตอร์อวี้ ไม่ได้บอกข้าว่าจิตใจที่ชั่วร้ายจะจับตาดูข้าแทน” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“การให้ข้าจับตาดูเจ้านั้นดีกว่า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นมันไม่เป็นไร มันไม่เป็นไร…” อวี้ซ่านซินพูดด้วยรอยยิ้ม

 

หานเซิ่นกรอกตาและไม่เสียเวลาตอบกลับไป เขาและอวี้ซ่านซินมุ่งหน้าไปพบกับผู้นำปราสาทนภา เขาตัดสินใจจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮ ถ้าเขาไม่ไป มันก็คงจะจบลงไม่สวย

 

แถมหานเซิ่นพบหนทางที่จะต่อสู้กับการจับตามองของเผ่าเวรี่ไฮ

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset