Super God Gene – ตอนที่ 2644

“มันเป็นเรื่องดีที่เจ้ารู้แบบนั้น อย่าได้คิดอะไรแบบนั้นอีก” เอ็กซ์ควิสิทแกล้งทำเป็นว่าเธอสงบสติจากสิ่งที่เห็นได้แล้ว

 

ตัวไหมของเผ่าพันธุ์อื่นอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาถูกจับตามองโดยเวรี่ไฮ แต่มันไม่ได้แปลกใจอะไรที่เผ่านภาจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยังไงซะครั้งหนึ่งเผ่านภาและเผ่าเวรี่ไฮก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน และเผ่าเวรี่ไฮก็ไม่เคยปิดบังความจริงที่ว่าพวกเขาจับตาดูตัวไหมของตัวเอง ดังนั้นเอ็กซ์ควิสิทไม่คิดว่ามันแปลกอะไรที่หานเซิ่นจะรู้เรื่องนี้

 

“ไปกันเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนภายในเอาท์เตอร์สกายแห่งนี้ ส่วนเรื่องทรัพยากรเจ้าจะได้รับมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า” เอ็กซ์ควิสิทหันกลับและเดินออกไปจากปราสาท

 

“แค่นี้เองหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย

 

“เจ้าคาดหวังอะไรอีกล่ะ?” เอ็กซ์ควิสิทถาม

 

“นี่พวกเราไม่จำเป็นต้องไปพบกับผู้นำหรือผ่านกระบวนการรับสมัครอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสับสน ตั้งแต่ที่พวกเขามาถึง คนของเวรี่ไฮคนเดียวที่เขาได้พบก็คือพี่สอง และพี่สองก็คงจะไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไรมากของเผ่าเวรี่ไฮ

 

“มันไม่มีความจำเป็นทำเรื่องพวกนั้น ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้ามาในเอาท์เตอร์สกาย การเคลื่อนไหวของเจ้าจะถูกจับตามองโดยผู้นำของพวกเรา ในเมื่อไม่มีใครมาที่นี่เพื่อหยุดเจ้า นั่นก็หมายความว่าผู้นำของพวกเรายอมรับเจ้า ตอนนี้เจ้ากลายเป็นตัวไหมอย่างเป็นทางการแล้ว”

 

“วิธีการทำสิ่งต่างๆของเผ่าเวรี่ไฮนี่แตกต่างจริงๆ…” เมื่อคำนึงว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่งในจักรวาล เผ่าเวรี่ไฮดูจะดำเนินการเรื่องภายในอย่างง่ายๆจนน่าแปลกใจ

 

แต่เมื่อหานเซิ่นคิดเกี่ยวกับท่าทีที่ดูง่ายๆของพวกเขาแล้ว เขาก็รู้สึกตัวว่ามันไม่ได้แปลกอะไร เผ่าเวรี่ไฮนั้นทรงพลังมากๆ แต่พวกเขามีกันอยู่ไม่มาก และพวกเขาก็ไม่ได้สนใจจะผสมสายเลือดกับเผ่าพันธุ์อื่น แถมพวกเขายังฝึกเวรี่ไฮเซ้นส์ พวกเขาสูญเสียความสามารถในการสนใจสิ่งต่างๆไป จากที่เขารู้เกี่ยวกับเผ่าเวรี่ไฮ กระบวนการรับคนแบบนี้ดูจะเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล

 

หลังจากที่หานเซิ่นออกจากห้องโถง เขาก็เห็นว่าเป่าเอ๋อและพี่สองที่ชื่อหลี่อวี้เจินกำลังพูดคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ

 

หลี่อวี้เจินอยากจะร่วมเดินทางไปกับเอ็กซ์ควิสิท แต่เธอปฏิเสธ เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นและยอมจากไปแต่โดยดี

 

พวกเขากลับขึ้นบนยานอวกาศลำเล็กของเอ็กซ์ควิสิทและเริ่มบินออกไปทางทิศตะวันออกที่ดูเหมือนสรวงสวรรค์

 

“เป่าเอ๋อ นี่หนูคุยอะไรกับหลี่อวี้เจินอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่เชื่อว่าเป่าเอ๋อจะพูดคุยกับหลี่อวี้เจินเฉยๆ นอกซะจากเธอต้องการอะไรบางอย่าง

 

“มันก็ไม่มีอะไรมาก เขาเป็นคนใจดี เขาสัญญาว่าจะให้ของเล่นสนุกๆกับหนู” เป่าเอ๋อพูดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ

 

“ทำไมจู่ๆเขาถึงจะมอบของเล่นให้หนู?” หานเซิ่นถาม

 

“เขาบอกว่าถ้าหนูยอมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของพี่เอ็กซ์ควิสิท เขาจะนำของเล่นมาให้กับหนู” เป่าเอ๋ออธิบายอย่างไร้เดียงสา

 

หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และคาดเดาไปว่า “ถ้าหลี่อวี้เจินเป็นหนึ่งในคนที่รับผิดชอบต่อการมีอยู่ของรุ่นต่อไปของเผ่าเวรี่ไฮ อย่างนั้นเขาคงจะต้องการ…”

 

เมื่อหานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ใบหน้าของเอ็กซ์ควิสิทก็แข็งกร้าวขึ้นมา
“อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับมัน เขาไม่มีโอกาส”

 

หานเซิ่นยักไหล่ เขารู้ว่าการสันนิษฐานของเขานั้นถูกต้อง

 

ยานอวกาศของพวกเขาเดินทางไปหนึ่งแสนไมล์ก่อนที่พวกเขาจะมาหยุดอยู่ที่ยอดภูเขาลูกหนึ่ง บนยอดภูเขามีสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้อยู่ มันดูค่อนข้างเรียบร้อย หานเซิ่นคิดว่ามันคงจะเป็นที่อยู่อาศัยของเอ็กซ์ควิสิท

 

แต่เอ็กซ์ควิสิทพาหานเซิ่นเข้าไปในบ้านไม้ หลังจากนั้นเธอก็จากไป

 

เมื่อเอ็กซ์ควิสิทจากไปแล้ว หานเซิ่นก็เอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า มันเป็นสิ่งที่ผู้นำปราสาทนภามอบให้กับเขา มันคือรูปปั้นหยกที่มีขนาดพอๆกับผ่ามือ

 

‘ผู้นำปราสาทนภาบอกว่าเมื่อเธอออกห่างจากเราระยะหนึ่ง ความสามารถในการจับตาดูของเอ็กซ์ควิสิทก็จะอ่อนลงหรือบางทีอาจจะหายไปจนหมด แต่ระยะต้องไกลพอสมควร นั่นคือสิ่งที่ผู้นำปราสาทนภาบอก ตอนนี้เธอคงจะอ่านสัมผัสทั้งเจ็ดของเราไม่ได้แล้วถูกไหม?’ หานเซิ่นพยายามจะไม่คิด ขณะที่ทำให้จิตใจของตัวเองว่างเปล่าเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายกรูปปั้นหยกขึ้นมา

 

รูปปั้นหยกขนาดเล็กนั้นเรืองแสงออกมา แต่จริงๆแล้วแสงนั่นไม่ได้มาจากรูปปั้น มันมาจากมือของหานเซิ่น

 

ตราประทับรูปสามเหลี่ยมบนมือของเขากำลังเรืองแสง และมันก็ค่อยๆบิดเบือนไป

 

“มันได้ผลจริงๆ!” หานเซิ่นมองไปที่ตราประทับที่เรืองแสงบนมือของเขา ตอนนี้มันกลายเป็นรูปของรูปปั้นหยก ภาพของมันทำให้หานเซิ่นดีใจ

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่ารูปปั้นหยกนั้นจริงๆแล้วคืออะไร ผู้นำปราสาทนภาบอกวิธีใช้มันกับหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้อธิบายว่ามันทำงานได้ยังไง

 

ความจริงแล้วรูปปั้นหยกนี่เป็นเครื่องมือที่ทำงานคล้ายกันกล้องวิดีโอ แต่ทว่าแทนที่จะอัดข้อมูลภาพ ข้อมูลที่มันเก็บคือสัมผัสทั้งเจ็ดของหานเซิ่น

 

เมื่อเขากดรูปปั้นหยกลงที่ตราประทับรูปสามเหลี่ยมบนมือ เอ็กซ์ควิสิทก็จะไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งที่หานเซิ่นกำลังรู้สึกได้อีกต่อไป ตอนนี้เธอกำลังประสบกับการวนลูปของความรู้สึกที่ถูกบันทึกเอาไว้

 

ข้อมูลที่เอ็กซ์ควิสิทได้รับในตอนนี้คือสิ่งที่หานเซิ่นไม่รังเกียจอะไรที่จะให้เธอได้รู้

 

หานเซิ่นได้บันทึกความรู้สึกต่างๆเอาไว้ในรูปปั้น พวกมันส่วนใหญ่คือความรู้สึกที่เขาประสบในตอนที่เขาฝึกวิชา ถ้าเอ็กซ์ควิสิทไม่ได้เห็นเขาด้วยตาตัวเอง เธอก็คงจะสันนิษฐานไปว่าเขากำลังฝึกวิชาอยู่

 

“มาดูสิว่ามันทำงานแบบนี้ได้ไหม” ขณะที่หานเซิ่นจับรูปปั้นหยกอยู่ เขาก็บันทึกความคิดและสัมผัสของตัวเองลงไปเพิ่ม

 

มันเป็นอะไรที่ยากมากๆที่มนุษย์คนหนึ่งจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หานเซิ่นมีประสบการณ์ในการทำแบบนั้น เขาคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำการบันทึกความรู้สึกใหม่ๆลงไป เขาคิดกับตัวเอง
‘เอ็กซ์ควิสิททั้งสวยและน่ารัก นอกจากนั้นเธอยังใจดี เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดที่เราเคยเจอ ถึงแม้เราจะเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้ แต่ตราบใดที่เราได้ปกป้องเธอ มันก็เพียงพอแล้ว…’

 

หลังจากที่บันทึกเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็เช็คซ้ำสองว่ามันออกมาถูกต้องหรือเปล่า เขาทำให้แน่ใจว่าผลการบันทึกเป็นทางบวก หลังจากนั้นเขาก็เก็บรูปปั้นหยกนั่นไป

 

ถ้าเอ็กซ์ควิสิทอ่านสัมผัสทั้งเจ็ดของเขาในตอนนี้ ทั้งหมดที่เธอจะเห็นก็คือสิ่งที่หานเซิ่นบันทึกเอาไว้ หานเซิ่นสามารถเลือกสิ่งที่เขาต้องการให้เอ็กซ์ควิสิทเห็นได้

 

แน่นอนว่าในตอนที่พวกเขาอยู่ต่อหน้ากัน หานเซิ่นสามารถตั้งรูปปั้นหยกให้ทำงานซิงค์กับประสาทสัมผัสทั้งเจ็ดของเขา แบบนั้นเขาก็จะสามารถป้องกันเอ็กซ์ควิสิทจากการเกิดสงสัยขึ้นมา

 

ในตอนนี้แผนการของผู้นำปราสาทนภาดูเหมือนจะได้ผล แต่หานเซิ่นไม่ได้วางใจอย่างเต็มที่ ถ้าเกิดเอ็กซ์ควิสิทรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังทำขึ้นมา เขาก็ต้องหาวิธีการอื่นเพื่อปกป้องจิตใจของตัวเอง

 

ขณะที่หานเซิ่นรอคอยให้เอ็กซ์ควิสิทกลับมาเพื่อดูว่าความพยายามในการปกป้องจิตใจตัวเองสำเร็จหรือไม่ จู่ๆบางสิ่งก็บินผ่านหน้าต่างเข้ามา

 

หานเซิ่นตกใจ ในตอนแรกเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นซีโน่เจเนอิคบางอย่าง ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงเข้ามาทางหน้าต่างแทนที่จะเป็นประตู?

 

เมื่อเขาหันไปเห็น เขาก็รู้สึกตัวว่ามันเป็นแมลงที่ดูเหมือนกับด้วง ซึ่งมันก็คือก็อตสปิริตทัชที่อยู่ในศาลาชะตากรรมครึ่งชีวิต เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขารู้ว่าก็อตสปิริตทัชโจมตีไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัว

 

“ทำไมมันถึงได้มาที่นี่?” หานเซิ่นสงสัย

 

ก็อตสปิริตทัชบินมาตรงหน้าหานเซิ่น และเขาก็ยื่นมือออกไปรับมันเอาไว้ ซึ่งมันไม่ได้พยายามจะหลบมือของเขา ดูเหมือนมันจะยอมรับเขา

 

ขณะที่อยู่บนฝ่ามือของหานเซิ่น มันกระพือปีกเพื่อสร้างเสียงแปลกๆ ดูเหมือนกับว่าเจ้าแมลงนั้นต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset