Super God Gene – ตอนที่ 2897 ปราสาทแดง

ในตอนที่สายตาพวกเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจ พวกเขาอยู่ในปากของซีโน่เจเนอิคขนาดยักษ์ แต่หลังจากที่มองดูดีๆ พวกเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นปากของซีโน่เจเนอิคที่ตายไปแล้ว

โครงกระดูกของซีโน่เจเนอิคยักษ์นั้นดูเหมือนกับโครงกระดูกของไดโนเสาร์ที่มีปีกอยู่บนหลัง แต่มันมีแค่กระดูกเท่านั้นที่เหลืออยู่

บนพื้นใต้โครงกระดูกของซีโน่เจเนอิค ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลายเป็นหิน พื้นผิวนั้นดูหยาบมากๆ มันมีรอยแกะสลักที่เป็นสัญลักษณ์และลวดลายต่างๆอยู่บนกระดูก มันมีคริสตัลประหลาดอยู่บนสัญลักษณ์และลวดลายพวกนั้น

“นี่คือมังกรปีศาจอวกาศ…” ไป๋ชางลังพูดขณะที่จ้องไปที่โครงกระดูก

“นี่จะต้องเป็นโครงกระดูกของมังกรปีศาจอวกาศขั้นทรูก็อต ตำนานกล่าวว่ามังกรปีศาจอวกาศนั้นมีพลังในการเทเลพอร์ต ท่านอัลฟ่าใช้กระดูกของมังกรปีศาจอวกาศขั้นทรูก็อตเพื่อสร้างเครื่องเทเลพอร์ตขึ้นมา มันเป็นอะไรที่แพงมากๆ” ไป๋ว่านเจี้ยพูด

องค์ชายและองค์หญิงทั้งหมดรู้สึกชื่นชมวิธีการของเอ็กซ์ตรีมคิงอัลฟ่า แต่หานเซิ่นไม่ได้คิดว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยเอ็กซ์ตรีมคิงอัลฟ่า

ขณะที่พวกเขาเดินออกไปจากโครงกระดูกของมังกรปีศาจอวกาศ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง มันมีทะเลล้อมรอบ แต่น้ำทะเลนั้นดำมืดราวกับหมึกและมันไม่มีคลื่น

หานเซิ่นมองไปที่ด้านซ้ายของเกาะและสังเกตเห็นสะพานไม้ มันเป็นเส้นทางที่ใช้ข้ามทะเล ถึงแม้ในทะเลจะเต็มไปด้วยเมฆหมอก แต่พวกเขาก็ยังเห็นว่าที่ปลายของสะพานไม้นั้นคือเกาะอีกเกาะหนึ่ง

เนื่องจากเมฆหมอกนั้นหนามากๆ พวกมันจึงขัดขวางแสงสว่างที่จะส่องลงมา ซึ่งทำให้การมองเห็นของพวกเขานั้นแย่ลงไป พวกเขาเห็นแค่เงาลางๆของเกาะเท่านั้น

องค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่พยายามใช้วิชาจีโนเพื่อมองไปที่เกาะ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิชาแบบไหน พวกเขาก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านเมฆหมอกสีเทาที่บดบังเกาะไปได้

องค์ชายดาบดาราพูดขึ้นมา “ดูเหมือนว่าเกาะนั่นจะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเรา พวกเราควรไปที่เกาะนั่นก่อน” เขาเริ่มบินออกไปที่เกาะนั่น

เขาบินขึ้นไปได้ประมาทเก้าฟุต ก่อนที่จะมีเสียงร้องดังขึ้นมา องค์ชายดาบดาราถูกกดลงกับพื้น มันเหมือนกับว่าตัวเขากำลังถูกแม่เหล็กดูด

เนื่องจากองค์ชายดาบดาราไม่ได้ทันตั้งตัว เขาจึงร่วงลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง

“อาณาเขตจำกัดการเคลื่อนไหวทางอากาศ” ไป๋ว่านเจี้ยพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

ความสูงแค่นั้นมากพอจะทำให้องค์ชายดาบดาราร่วงลงมาแบบนั้นได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอาณาเขตจำกัดการเคลื่อนไหวทางอากาศ

“เพราะแบบนี้นี่เองมันถึงได้มีสะพานไม้อยู่” ไป๋หลิงซวงพูดขณะที่มองไปที่สะพานไม้

เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ชายดาบดารา มันก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเสี่ยงๆอีก พวกเขาสังเกตการณ์อยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจว่าสะพานนั้นคือหนทางเดียวที่จะไปต่อ องค์ชายและองค์หญิงก้าวขึ้นไปบนสะพานเพื่อเดินไปยังเกาะที่อยู่ตรงหน้า

“ทะเลนี่มันคืออะไรกัน? น้ำนั้นดำมืดเหมือนกับหมึก ข้าไม่เห็นอะไรที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำเลย แถมมันยังไม่มีคลื่นราวกับว่ามันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในน้ำ” องค์ชายดาบดารามองลงไปในทะเล ขณะที่เดินข้ามสะพาน ดูเหมือนเขาจะกำลังรำคาญ

ความรู้สึกรำคาญนี้เป็นสิ่งที่มาจากความกังวลใจ ในตอนที่หานเซิ่นมองไปที่ทะเลสีดำ เขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่สามารถโทษองค์ชายดาบดาราที่รู้สึกแบบนั้นได้

องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาแค่ไม่ทำเหมือนอย่างองค์ชายดาบดาราและแสดงมันออกมาให้คนอื่นเห็น

“เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงคงจะไม่พาองค์ชายและองค์หญิงของพวกเขามาเจอกับอันตรายหรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นมองไปที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิง แต่สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ไป๋เวย

ไป๋เวยดูเป็นผู้หญิงกว่าก่อนหน้านี้ ถึงแม้เธอจะยังอายุน้อย แต่บรรยากาศรอบๆตัวเธอนั้นไม่เข้ากันกับอายุของเธอ

“ดูเหมือนว่าไป๋เวยจะเติบโตขึ้นมาก” หานเซิ่นถอนหายใจ เขาหันไปมองทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องไปที่เธอมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเธออาจจะผิดสังเกต

สะพานนั้นมีความยาวสามสิบถึงสี่สิบไมล์ ตลอดการเดินทางพวกเขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก แต่มันไม่ได้มีเหตุการณ์อันตรายอะไรเกิดขึ้น ในระยะที่ไกลออกไป พวกเขาเห็นเกาะที่ดูเหมือนกับเกาะภูเขาไฟ บริเวณรอบๆเกาะนั้นต่ำมากๆ ขณะที่จุดสูงกลางของเกาะสูงเหมือนกับภูเขาไฟ มันมีปราสาทโลหะสีแดงตั้งอยู่บนยอดของภูเขา

หานเซิ่นมองไปที่ปราสาทและเห็นป้ายเหนือปราสาทมีตัวอักษรสากลของจักรวาลเขียนเอาไว้ มันอ่านได้ว่า “วิหารแดง”

หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ คำว่า “วิหาร” นั้นมักจะไม่ได้ถูกใช้กันในจักรวาลจีโน วิหารที่หานเซิ่นรู้จักคือที่ที่เทพสปิริตอยู่อาศัย

ปราสาทโลหะนี้มีชื่อว่าวิหารแดง หานเซิ่นคิดว่ามันค่อนข้างแปลก

‘นี่คือวิหารของพระเจ้าที่มีเทพสปิริตอยู่ภายในสินะ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่มีคำว่าวิหารอยู่’
เมื่อหานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ทำให้เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม เขาสงสัยว่าข้างในวิหารแดงมีอะไรอยู่กันแน่

ก่อนที่องค์ชายและองค์หญิงทุกคนจะลงจากสะพานไม้ จู่ๆไป๋ว่านเจี้ยก็พูดขึ้นว่า “รอเดี๋ยวก่อน”

ทุกคนหันไปมองที่ไป๋ว่านเจี้ย พวกเขาไม่เข้าใจว่าไป๋ว่านเจี้ยหมายความว่ายังไง

“นี่องค์รัชทายาทรู้อะไรอย่างนั้นหรอ?” องค์ชายชิงเสียถาม

ไป๋ว่านเจี้ยชี้ไปที่ด้านข้างของสะพานไม้ มันมีป้ายไม้ที่เขียนเอาไว้ว่า
“กองทัพนับพันข้ามสะพานไม้ทีละคน วิหารแดงเหลือแค่อันเดด”

ก่อนหน้านี้ความสนใจของทุกคนถูกดึงไปที่วิหารแดง พวกเขาไม่ได้สังเกตสะพานเลย ตอนนี้ไป๋ว่านเจี้ยดึงความสนใจของพวกเขาไปที่ป้ายของสะพาน

ไป๋หลิงซวงไม่เข้าใจความหมายของมัน ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ไป๋ว่านเจี้ยและถาม
“องค์รัชทายาทรู้อย่างนั้นหรอว่ามันหมายความว่ายังไง?”

ไป๋ว่านเจี้ยส่ายหัว “ข้าไม่รู้”

องค์ชายชิงเสียพูด “กองทัพนับพันข้ามสะพานไม้ทีละคนนั้นเข้าใจไม่ยาก มันหมายความว่าผู้คนที่ข้ามสะพานนั้นจะข้ามได้แค่ทีละคนเท่านั้น ถ้ามันจะบอกว่ามีแค่หนึ่งในพวกเราที่จะข้ามสะพานนี้ไปได้ มันก็จะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย มันยังบอกอีกวิหารแดงเหลือเพียงแค่อันเดด อันเดดนั่นหมายถึงพวกเรา หรือผู้คนในวิหารแดง ไม่มีใครรู้ได้”

“ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว มันก็ไม่ประโยชน์อะไรที่จะถอยกลับ” ไป๋ชางลังพูด
“พวกเราควรไปที่วิหารแดงนั่นก่อน” เขาเดินออกข้างหน้าและก้าวลงจากสะพานไป

เมื่อเห็นว่าไป๋ชางลังทำตัวกล้าหาญ หานเซิ่นก็ยิ้มออกมา เขาสามารถคาดเดาถึงความคิดของไป๋ชางลังได้

กองทัพนับพันข้ามสะพานทีละคนนั้นจะต้องหมายถึงอะไรบางอย่าง บางทีคนแรกที่ข้ามสะพานไปอาจจะได้รับบางอย่าง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ไป๋ชางลังทำแบบนั้น มันไม่ใช่ว่าเขาเกิดมาเป็นคนกล้า แถมขณะที่เขาเดินไป เขาก็ระวังตัวอย่างที่สุด

เมื่อองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นเห็นว่าไป๋ชางลังลงจากสะพานไปโดยไม่มีอันตรายใดๆ พวกเขาก็รีบตามไป

เมื่อเห็นว่าองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นลงจากสะพานมาอย่างปลอดภัยกันทั้งหมด ไป๋ชางลังก็ดูผิดหวังเล็กน้อย

พวกเขาเดินขึ้นบันไดของวิหารแดงไป พวกเขาสังเกตเห็นว่าวิหารทั้งหลังนั้นถูกทำขึ้นมาจากโลหะ ถ้ามองจากระยะไกลมันจะดูเหมือนกับเปลวไฟ

ปัง!
ในตอนที่ทุกคนกำลังตรวจเช็ควิหารแดงอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ประตูของวิหารแดงกำลังเปิดออกด้วยตัวมันเอง

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset