Super God Gene – ตอนที่ 2945 ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา

ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงหิน พวกเขาเห็นสิ่งก่อสร้างที่พังทลายมากมาย สิ่งก่อสร้างกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเซเคร็ดนั้นถูกเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังจากการต่อสู้ มันมีเพียงแค่สถานที่พิเศษอย่างสวนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี

 

ขณะที่เดินทางไปบนซากปรักหักพังแห่งความมืดมิด หานเซิ่นก็ไปตามที่ฉินซิวบอก เขาเดินเป็นเส้นตรงจากประตูหลังของสวนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาผ่านสิ่งก่อสร้างหลังแล้วหลังเล่าที่เป็นเหมือนกับกองขยะ ตลอดการเดินทางเขาไม่เห็นแม้แต่วี่แววของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่ฉินซิวพูดถึง

 

ทันใดนั้นท่ามกลางซากปรักหักพัง หานเซิ่นก็เห็นรูปปั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพดี มันเป็นรูปปั้นของโกสต์คาร์

 

หานเซิ่นชี้ไปที่รูปปั้นและถาม “สิ่งนี้คือ… หนึ่งในอสูรศักดิ์สิทธิ์โกสต์คาร์หนิ?”

 

“เรียนมิสเตอร์หาน นี่คือรูปปั้นของโกสต์คาร์” ไนน์เทาซันด์คิงรีบตอบ

“รูปปั้นนี้ควรจะอยู่ที่ใจกลางของลานกว้างในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

ในความมืดมิด เสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง มันทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกขนลุกขึ้นมา

 

“หมายเลขเก้า เจ้ารู้ไหมว่าเสียงร้องไห้นี่มาจากที่ไหนกัน?”

หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ตั้งแต่มาที่นี่ เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงหลายต่อหลายครั้ง

 

“เรียนมิสเตอร์หาน เสียงร้องไห้นั้นมาจากสเปชชาร์ม” ไนน์เทาซันด์คิงตอบ

“มันเป็นเสียงที่สเปชชาร์มจะทำขึ้นมาในตอนที่นางกำลังหิว สเปชชาร์มนั้นกำลังหมายตาพวกเรา แต่เนื่องจากมิสเตอร์หานมีตะเกียงนี้อยู่ นางจึงไม่กล้าจะเข้ามาใกล้จนเกินไป”

 

“สเปชชาร์มนั่นเป็นซีโน่เจเนอิคแบบไหนกัน?” หานเซิ่นถาม

 

ไนน์เทาซันด์คิงยิ้มและพูด “เรื่องนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ สิ่งนั้นอาศัยอยู่ในความมืดของเซเคร็ดเท่านั้น นางไม่เคยเข้ามาใกล้แสงไฟจากตะเกียง ทั้งหมดที่จะเห็นได้ก็คือเงาของนาง นางเหมือนกับแฟรี่ที่บินได้”

 

“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตะเกียงหินของมิสเตอร์หานนี่สุดยอดจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบางสิ่งที่สว่างไสวในความมืด นอกจากตะเกียงพวกนั้นมาก่อนเลย” ไนน์เทาซันด์คิงพยายามเลียแข้งเลียขาหานเซิ่นเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าตะเกียงหินนั่นมาจากไหนกันแน่

 

แต่หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆขณะที่ถือตะเกียงหินเอาไว้ ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นแสงสว่างข้างหน้า มันเป็นเหมือนกับแสงของหิ่งห้อยตัวเล็กๆ มันยังคงมีระยะห่างไกลพอสมควรระหว่างเขากับแสงสว่างนั่น

 

หานเซิ่นรู้สึกดีใจและรีบเดินไปหาแสงสว่าง ไนน์เทาซันด์คิงติดตามเขามาอย่างใกล้ชิด

 

ในตอนที่พวกเขาเข้าไปใกล้แสงสว่าง หานเซิ่นก็เห็นศิลาจารึกขนาดยักษ์ที่สองข้างมีตะเกียงอยู่ ตะเกียงทั้งสองนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตะเกียงที่พวกเขาเคยเห็นก่อนหน้านี้มาก พวกมันส่องสว่างไปรอบๆศิลาจารึกหลายร้อยฟุต พวกมันเป็นเหมือนกับโล่แสงที่คอยป้องกันความมืด

 

ตรงหน้าศิลาจารึก หานเซิ่นเห็นคนหลายคนยืนอยู่ ราชครูกู่เยวียนและเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าอีกสามคนก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับ นอกจากนั้นมันยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ในตอนที่หานเซิ่นเห็นคนๆนั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เนื่องจากอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา ซึ่งเป็นคนที่เขาเคยเห็นที่ประตูของก็อตแซงชัวรี่”

 

เมื่อก่อนผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาต้องการจะรับตัวเสี่ยวฮวาไปเป็นศิษย์ แต่หานเซิ่นหนีมาได้ ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยได้เห็นคนๆนี้อีกเลย

 

หานเซิ่นเคยไปอาศัยอยู่ในปราสาทนภาหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยได้พบกับผู้อาวุโสหนึ่ง หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าจะได้มาเจอกับผู้อาวุโสหนึ่งที่นี่

 

หานเซิ่นต้องการจะปิดบังใบหน้าของตัวเอง แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะทำแบบนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆได้มองมาในทิศทางของเขาเรียบร้อยแล้ว

 

หานเซิ่นขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภานั้นรู้ว่าเขามาจากก็อตแซงชัวรี่ ถ้าตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย มันก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา

 

ในตอนที่ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆเห็นหานเซิ่น พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจ พวกเขาจ้องมองไปที่ตะเกียงหินของหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ ตะเกียงหินของหานเซิ่นนั้นคล้ายกับตะเกียงที่คอยส่องสว่างในเซเคร็ด แต่มันให้แสงสว่างมากกว่าตะเกียงอื่นๆมาก ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงรู้สึกตกใจ

 

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาเองก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุดนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น

 

หานเซิ่นเดินนำไนน์เทาซันด์คิงและปลาทองทั้งสองมาตรงหน้าศิลาจารึก เขาเก็บตะเกียงหินไปและกำลังจะพูดทักทายราชครูกู่เยวียน แต่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“น้องหาน เจ้าไม่ควรเข้ามาใกล้พวกเรา”

 

“ราชครูหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถามด้วยความประหลาดใจ

 

ราชครูกู่เยวียนพูด “ถึงแม้มันจะมีแสงสว่างของตะเกียง แต่ที่นี่เป็นกับดัก พวกเราทั้งหมดถูกขังอยู่ที่นี่”

 

หานเซิ่นคิด ‘ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมไม่บอกข้าให้มันเร็วกว่านี้? มาบอกในตอนที่ข้าเข้ามาแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร?’

 

ราชครูกู่เยวียนไม่ได้เป็นมิตรสหายของหานเซิ่น ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องพูดเตือนหานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่ได้คาดหวังว่าราชครูกู่เยวียนจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เขาแค่ถามขึ้นว่า

“ถ้ามันเป็นกับดักที่ขังราชครูได้ แบบนั้นมันก็ต้องเป็นกับดักน่ากลัวมากๆอย่างนั้นสินะ?”

 

ราชครูกู่เยวียนชี้ไปที่ศิลาจารึกและพูด “เมื่อเจ้าได้ดูศิลาจารึกนี่ เจ้าก็จะเข้าใจเอง”

 

หานเซิ่นหันหน้าไปมองศิลาจารึก ในตอนที่เขามองผ่านผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา เขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาจริงเอาจริง แต่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาไม่ได้พยายามทำอะไร

 

หานเซิ่นจ้องไปที่ศิลาจารึกและเห็นอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้บนศิลาจารึก

 

“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา” หานเซิ่นอ่านตัวอักษรบนศิลาจารึก แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงถูกขังอยู่ที่นี่

 

ในตอนที่ราชครูกู่เยวียนเห็นใบหน้าของหานเซิ่น เขาก็รู้ว่าหานเซิ่นไม่เข้าใจว่าศิลาจารึกแห่งโชคชะตาคืออะไร เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า

“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานี่คือสมบัติของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ด ศิลาจารึกนั้นตัดสินโชคชะตาของคนได้ ถ้ากิเลนศักดิ์สิทธิ์ใช้มัน มันก็ไม่มีใครในจักรวาลที่จะเอาชนะมันได้ ตอนนี้เมื่อศิลาจารึกมาอยู่ที่นี่ ถึงแม้กิเลนศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ควบคุมมัน แต่พลังแห่งโชคชะตาก็ยังคงอยู่ ถ้าเจ้าเกิดเข้ามาในรัศมีของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เจ้าก็จะได้รับผลกระทบจากมัน ชีวิตของเจ้าจะถูกล็อคเอาไว้ในที่แห่งนี้ ถ้าเจ้าหนีออกไปจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เจ้าก็จะต้องตาย”

 

“เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไง?” หานเซิ่นมองไปที่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาด้วยความแปลกใจ

 

“มันเป็นไปได้” ไนน์เทาซันด์คิงพูดอย่างมีมารยาทกับหานเซิ่น

“ถ้ามิสเตอร์หานมองที่ด้านหลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มิสเตอร์หานก็จะเห็นโชคชะตาของตัวเอง”

 

ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นตกใจ การที่ไนน์เทาซันด์คิงติดตามหานเซิ่นมานั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจพอแล้ว แต่หลังจากที่ได้ยินวิธีการพูดของไนน์เทาซันด์คิง มันเหมือนกับว่าเขาเป็นข้ารับใช้ของหานเซิ่นหรืออะไรทำนองนั้น

 

ไนน์เทาซันด์คิงนำทางหานเซิ่นไปที่ด้านหลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าคนหนึ่งพูดกับราชครูกู่เยวียน

“ดูเหมือนว่าไนน์เทาซันด์คิงจะร่วมเดินทางมากับหานเซิ่น นี่เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ หานเซิ่นทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าแบบนั้นยอมเชื่อฟังได้ยังไง?”

 

ราชครูกู่เยวียนส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไร ในตอนที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาได้ยิน เขาก็ขมวดคิ้ว

 

“เด็กคนนี้คือคนที่เราเห็นที่ประตูของก็อตแซงชัวรี่ ถึงแม้เขาจะมาจากก็อตแซงชัวรี่ แต่เขาก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งขึ้นเร็วขนาดนี้ มันเพิ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่ปีเอง แต่เขาก็เป็นระดับเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นเขายังทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างไนน์เทาซันด์คิงยอมเชื่อฟังได้อีก ในช่วงเวลาหลายปีที่เราถูกขังอยู่ที่นี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset