Super God Gene – ตอนที่ 2961 หนึ่งหลักและสี่รอง

มีดแสงนับไม่ถ้วนบินออกไปจู่โจมแสงไฟจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้เปลวไฟของตะเกียงทั้งสามเล็กลงไปเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่าไฟพร้อมที่จะมอดได้ทุกเมื่อ

 

โล่แสงของตะเกียงก็ถูกกดดันด้วยสายธารมีดแสงและรัศมีการป้องกันของมันก็เล็กลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันไม่สามารถปกป้องทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์ได้ กำแพงบางส่วนของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกสายธารของมีดแสง และมีรอยมีดขึ้นมาทีละรอย

 

ไม่รู้ว่ากำแพงหินของปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นทำขึ้นมาจากอะไรกันแน่ แม้แต่มีดแสงของหานเซิ่นก็สามารถทิ้งเอาไว้ได้แค่รอยบางๆเท่านั้น

 

ถึงอย่างนั้นภายใต้สายธารของมีดแสงที่โจมตีเข้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รอยมีดบนกำแพงหินก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกมันตัดกันไปมาจนดูเหมือนกับว่ากำแพงหินนั้นจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

 

ปีศาจสาวและคนอื่นๆตกใจ เมื่อก่อนมันมีตะเกียงเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่ห้าอัน ดังนั้นในตอนที่เกิดการต่อสู้ขึ้น ปราสาทศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ถูกทำลาย

 

ตอนนี้ถึงมันจะมีตะเกียงเผ่าพันธุ์แค่สามอันที่กำลังปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่หานเซิ่น เขาไม่ใช่เทพสปิริต

 

หานเซิ่นโจมตีใส่โล่แสงของตะเกียงเผ่าพันธุ์ตามลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนว่าเขามีพลังพอที่จะเอาชนะพลังป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สามอันที่ถูกใช้ร่วมกันได้ นั่นเป็นอะไรที่น่าตกใจเกินไป

 

เมื่อเห็นว่าดวงไฟของตะเกียงหินทั้งสามกำลังจะดับลง ปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ

 

ในสายตาของพวกเขา สิ่งมีชีวิตในก็อตแซงชัวรี่นั้นเป็นเพียงแค่ตัวทดลองที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำเซเคร็ด นอกจากเสี่ยวฮวาที่มีร่างกายถึงเกณฑ์ที่กำหนดจนถือว่าเป็นตัวทดสองที่ประสมความสำเร็จแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นของก็อตแซงชัวรี่นั้นถูกมองว่าเป็นผลการทดลองที่ล้มเหลว

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะได้รับสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ในสายตาของพวกเขา หานเซิ่นก็แค่ได้มันไปเพราะโชคช่วยเท่านั้น เขาแค่บังเอิญมีวิญญาณที่หนักเป็นพิเศษ

 

ความหนักของวิญญาณนั้นไม่ได้ส่งผลต่อพรสวรรค์ในการฝึกวิชาและความเร็วในการวิวัฒนาการ มันจึงไม่มีความสำคัญพอที่จะทำให้ปีศาจสาวและคนอื่นๆให้ความสนใจ

 

หานเซิ่นไม่สามารถใช้สปิริตศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งนั่นพิสูจน์ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นผู้นำเซเคร็ดคนใหม่ เขาจึงถูกคำนึงว่าเป็นตัวทดลองที่ล้มเหลว

 

ใครจะไปรู้ว่าตัวทดลองที่ล้มเหลวจะสามารถเอาชนะพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามได้ด้วยมีดเล่มเดียว? เขากำลังจะทำลายการป้องกันด่านสุดท้ายของปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

ถ้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ความหวังในการสร้างเซเคร็ดขึ้นมาใหม่ก็จะจบสิ้น ถ้าไม่มีปราสาทศักดิ์สิทธิ์อยู่ ถึงแม้เสี่ยวฮวาจะมีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อตได้สำเร็จและแข็งแกร่งเหมือนอย่างผู้นำเซเคร็ดคนก่อน ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยเดิมอยู่ดี

 

ปีศาจสาวและคนอื่นๆรู้ว่าจำเป็นต้องมีปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แบบนั้นพวกเขาถึงจะต่อสู้กับเทพสปิริตและกอบกู้ชื่อเสียงของเซเคร็ดกลับคืนมาได้

 

“ถ้าข้ายอมพูดกับเขาดีๆ บางทีเรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น”

ปีศาจสาวรู้สึกเศร้าใจ แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าหานเซิ่นนั้นแน่วแน่ที่จะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ให้ได้

 

สายธารของมีดแสงเป็นเหมือนกับกาแล็กซี่ที่ตกลงมา มันเกือบจะทำให้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามดับลง รัศมีของแสงสว่างที่เหลืออยู่นั้นเล็กมากๆ มันส่องสว่างแค่บริเวณประตูของปราสาทศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น กำแพงรอบๆปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกสายธารของมีดแสงโจมตีใส่อย่างไม่หยุด พวกเขากำลังมองดูความหวังสุดท้ายของเซเคร็ดถูกทำลายโดยสายธารมีดแสงของหานเซิ่น

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา มันเป็นเสียงคำรามของเสือไม่ก็สิงโต มันกำลังเข้ามาหาพวกเขา เงาสีแดงปรากฏตัวออกมาจากความมืดด้วยความเร็วสูง

 

ปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาดีใจอย่างมากเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเข้ามา ซึ่งมันก็คือเรดโกสต์

 

“เรดโกสต์ เจ้ารีบใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเจ้าปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เร็วเข้า!”

 

เรดโกสต์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มันเห็นหานเซิ่นกำลังโจมตีใส่ปีศาจสาวและคนอื่นๆ แม้แต่กำแพงหินของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกฟันจนยับเยินและพร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ มันจึงอ้าปากขึ้นและคายตะเกียงหินออกมา ก่อนที่มันรีบเข้าไปอยู่ข้างหน้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อตะเกียงหินทั้งสี่มาอยู่ร่วมกัน ดวงไฟที่เกือบจะมอดไปแล้วก็ลุกโชนขึ้นมาเหมือนกับว่ามันได้รับเชื้อเพลิงอีกครั้ง ความสว่างไสวของพวกมันปกคลุมทั้งปราสาท

 

เมื่อหานเซิ่นใช้สายธารมีดแสงโจมตีใส่แสงสว่างนั่นอีกครั้ง แต่เขาไม่สามารถทำให้ดวงไฟของตะเกียงหินทั้งสี่สั่นคลอนได้ พลังของตะเกียงหินสี่ตะเกียงนั้นเหนือกว่าตะเกียงหินสามตะเกียงอย่างมาก ดูเหมือนกับว่าพวกมันได้รับพลังเสริมพิเศษบางอย่าง

 

อีแร้งแก่เห็นว่าหานเซิ่นไม่สามารถทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์ได้ มันจึงพูดเย้นหยันขึ้นมา

“หานเซิ่น มันไม่สำคัญว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ถ้าไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่มีทางจะใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์หรือตะเกียงเผ่าพันธุ์ได้ เจ้าไม่มีทางประสมความสำเร็จเหมือนอย่างผู้นำเซเคร็ด ยังไงซะเจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่มันเป็นอย่างที่อีแร้งแก่พูด พลังของเขาไม่พอที่จะทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สี่อัน

 

ถ้าแม้แต่สายธารมีดแสงของวิชามีดใต้นภายังทำไม่สำเร็จ วิชาจีโนอื่นก็ยิ่งไม่มีโอกาสสำเร็จเข้าไปใหญ่ เขาไม่สามารถเจาะทะลวงการป้องกันของโล่แสงได้

 

‘นี่เราจำเป็นต้องใช้โหมดซีโน่เจเนอิคจริงๆอย่างนั้นหรอ?’

ตอนนี้หานเซิ่นมีหนทางเดียวที่จะเพิ่มพลัง การใช้โหมดซีโน่เจเนอิคจะทำให้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมากพอที่จะทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สี่อันไหม

 

“หานเซิ่น เจ้ากำลังครอบครองตะเกียงหลักของเซเคร็ดอยู่ เจ้าน่าจะลองใช้มัน” เสียงของผู้อาวุโสหนึ่งดังขึ้นมาจากระยะที่ไม่ไกลออกมา เขาออกมาจากความมืดและมายืนอยู่ในลานกว้าง

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูด สีหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปทันที

 

หานเซิ่นหันไปมองผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาและถาม “เจ้าหมายความว่ายังไง?”

 

“เท่าที่ข้ารู้ เซเคร็ดมีตะเกียงเผ่าพันธุ์อยู่ห้าอัน อันหนึ่งเป็นตะเกียงหลัก ขณะที่อีกสี่อันเป็นตะเกียงรอง ในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย ผู้นำเซเคร็ดได้ใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งห้าเพื่อปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ มันทำให้เทพสปิริตทำอะไรไม่ได้ และมันก็ทำให้เซเคร็ดยังคงมีความหวังเหลืออยู่”

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองไปที่ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสี่และพูดต่อ “ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดนั้นแตกต่างไปจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเผ่าอื่นๆ เซเคร็ดนั้นมีตะเกียงเผ่าพันธุ์รองอยู่สี่อันและตะเกียงหลักหนึ่งอัน ตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่จะใช้เพื่อป้องกันเท่านั้น มีเพียงแค่ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักเท่านั้นที่จะเสริมพลังให้กับผู้ใช้ นอกจากนั้นมันยังใช้เพื่อควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่ได้ ตอนนี้ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดอยู่ในมือเจ้า ถ้าเจ้าควบคุมมันได้ เจ้าก็จะควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่ได้ด้วย แบบนั้นการจะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเจ้า”

 

สีหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจะรู้เกี่ยวกับตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดมากขนาดนั้น

 

“เจ้า… เจ้าจะต้องเป็นสุนัขรับใช้ของเทพสปิริต เมื่อก่อนนั้นนอกจากยอดฝีมือของเซเคร็ดอย่างข้าและคนอื่นๆแล้ว มีเพียงแค่เทพสปิริตที่ได้เห็นถึงพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์” อีแร้งแก่ตะโกนด้วยความโกรธ

 

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาไม่คิดจะโต้เถียงกับอีแร้งแก่หรือทำการอธิบายอะไร เขาแค่พูดกับหานเซิ่นต่อ

“ในตอนนี้เจ้าต้องลองดูว่าเจ้าควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดได้ไหม ถ้าเจ้าทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปได้”

 

หานเซิ่นมองไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาและถาม “เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อเจ้ายังไง?”

 

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาตอบ “ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าพวกเราปราสาทนภานั้นไม่ต้องการเห็นการกลับมาอีกครั้งของเซเคร็ด นี่เป็นความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องถามข้าว่าทำไม เพราะข้าจะไม่บอกเจ้า”

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset