Super God Gene – ตอนที่ 3016 พระเจ้าและความเป็นอมตะ

หานเซิ่นมองไปที่หานหยี่เฟยขณะที่พูด “ถ้าเจ้ายินดีจะอธิบาย ข้าก็ควรจะเข้าใจ”

 

หานหยี่เฟยไม่ได้แสดงความเห็น เธอพูดขึ้นว่า “นอกจากแอนเชี่ยนท์ก็อตและเทพสปิริตแล้ว สิ่งมีชีวิตของจักรวาลจะต้องตายสักวันหนึ่ง เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่กำหนดอายุขัยของพวกเขา?”

 

หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่และพูด “สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันจะมีอายุขัยที่ต่างกัน โดยปกติแล้วมันจะถูกกำหนดโดยยีนของพวกเขา”

 

หานหยี่เฟยพยักหน้า “ถูกต้อง นอกซะจากพวกเขาจะตายโดยอุบัติเหตุ ไม่อย่างนั้นอายุขัยของพวกเขาก็จะขึ้นอยู่กับยีน สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันจะมียีนที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้อายุขัยของพวกเขาแตกต่างกันไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ในความจริงแล้วมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่ออายุขัย ยกตัวอย่างเช่นเครื่องแช่แข็งที่พบเห็นได้บ่อยๆ มันจะชะลอการชราภาพของยีนและยืดชีวิตของคนๆนั้น”

 

“เทคโนโลยีเครื่องแช่แข็งนั้นเป็นไอเดียที่โง่เขลา ในตอนที่คนๆนั้นหลับไป เขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนตาย เวลาที่ถูกแช่แข็งนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เมื่อเทียบกันแล้ว วิชาจีโนธาตุกาลเวลาขั้นสูงที่จะทำให้นาฬิกาของร่างกายถูกหยุด มันทำให้ยีนของร่างกายไม่ชราภาพ โดยหลักการแล้วมันจะทำให้คนๆนั้นเป็นอมตะและคงวัยหนุ่มสาวเอาไว้ได้ตลอดกาล เหมือนอย่างเจ้า” หานเซิ่นมองไปที่หานหยี่เฟยขณะที่พูด

 

หานหยี่เฟยถูกขังอยู่ในภูเขาสองโลกมาอย่างยาวนานไม่รู้กี่พันล้านปี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ตายและคงรูปลักษณ์วัยสาวเอาไว้ได้ นั่นจะต้องเป็นผลลัพธ์ของพลังกาลเวลา

 

หานหยี่เฟยไม่แสดงความเห็น เธอพูดต่อไปว่า “ตามทฤษฎีแล้วมันควรจะมีสิ่งมีชีวิตอีกมายที่มีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่ความจริงแล้วมันไม่เป็นแบบนั้น ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาหรือเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อตที่มีพลังธาตุกาลเวลา ถ้าพวกเขามีชีวิตเกินกว่าอายุขัยของยีน พวกเขาก็จะตายโดยอุบัติเหตุ ก่อนที่ผู้นำเซเคร็ดจะปรากฏตัว เรื่องแบบนั้นเป็นอะไรที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างมังกรหรือฟีนิกซ์ขั้นทรูก็อตที่มีร่างกายที่แข็งแรงดีก็ตายอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ”

 

“เจ้าจะบอกว่าเทพสปิริตชิงเอาอายุขัยของสิ่งมีชีวิตไปอย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นคิดเรื่องที่เทพสปิริตจะให้สิ่งมีชีวิตอื่นทำการอธิษฐานเพื่อขโมยอายุขัยของพวกเขา

 

หานหยี่เฟยพยักหน้าและพูด “ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้น ในตอนที่ผู้นำเซเคร็ดปรากฏตัว เขาบังคับให้บาเรียอวกาศเปิดออกและทำให้ปราสาทพระเจ้าเผยตัวออกมา ภายใต้การนำของเขา เซเคร็ดได้ฆ่าเทพสปิริตที่จุติลงมาไปไม่รู้เท่าไหร่ และทำให้ปราสาทพระเจ้าได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย มันมีหลายคนที่ยังมีชีวิตรอด ด้วยอายุขัยของพวกเขา พวกเขาควรจะไม่มีชีวิตอยู่ได้นานนัก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาหลายคนก็ใช้วิธีการต่างๆเพื่อมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือการควบคุมของเทพสปิริตนั้นเกิดความบกพร่องขึ้น เนื่องจากการต่อสู้”

 

“นั่นหมายความว่าที่เซเคร็ดต้องการจะฆ่าเทพสปิริตก็เพื่อความเป็นอมตะอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว

 

ถึงแม้สิ่งที่หานหยี่เฟยพูดจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่หานเซิ่นก็ยังคิดว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป

 

“สำหรับข้าแล้วความเป็นอมตะไม่ใช่สิ่งที่ข้าแสวงหา แต่ข้าไม่ชอบความรู้สึกที่ว่าชีวิตของตัวเองนั้นถูกจำกัด ข้าจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหนควรจะเป็นสิ่งที่ข้าเป็นคนกำหนด เพราะยังไงซะนี่ก็เป็นชีวิตของข้า เทพสปิริตพยายามจะช่วงชิงสิทธิของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำได้สำเร็จ ข้าต้องการทำให้พวกเขารู้ว่ามันรู้สึกยังไง เมื่อชีวิตของพวกเขานั้นอยู่ในกำมือของคนอื่น” หานหยี่เฟยพูด

 

“ผู้หญิงคนนี้…” หานเซิ่นจำเป็นต้องยอมรับว่าหานหยี่เฟยเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ

 

หานเซิ่นเริ่มจะนึกถึงไปถึงสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้บนม้วนกระดาษได้ ความผิดของหานหยี่เฟยคือการดูหมิ่นต่อพระเจ้า ตอนแรกเขาคิดว่ามันแปลกที่โทษของเธอนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าพระเจ้า แต่ตอนนี้มันเริ่มจะสมเหตุสมผล

 

หานเซิ่นเชื่อว่าในยุคสมัยของเซเคร็ด เธอคงจะทำการทดลองกับเทพสปิริต นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ความผิดของเธอเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเทพสปิริต

 

หานเซิ่นจ้องไปที่หานหยี่เฟยขณะที่ถามขึ้นว่า “แล้วผู้นำเซเคร็ดล่ะ? เขาต้องการฆ่าพระเจ้าด้วยเหตุผลนั้นด้วยอย่างนั้นหรอ?”

 

“นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับข้า แต่ข้าไม่คิดว่านั่นคือเหตุผลที่แท้จริง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว เขาคงจะทำมันเพื่อคนอื่น”

 

“หว่านเอ๋อร์สินะ?” หานเซิ่นพูดชื่อนั้นออกไปพร้อมกับมองดูปฏิกิริยาของหานหยี่เฟย

 

หานหยี่เฟยดูตกใจ เธอถาม “เจ้ารู้จักหว่านเอ๋อร์อย่างนั้นหรอ?”

 

หานเซิ่นคิด ‘มากกว่าแค่รู้จัก’

 

หานหยี่เฟยไม่ได้รอฟังคำตอบของหานเซิ่น เธอพูดต่อไปว่า

“ใช่แล้ว นางคือคนที่ผู้นำเซเคร็ดรักมากที่สุด เหตุผลที่ผู้นำเซเคร็ดฆ่าพระเจ้าคงจะเป็นเพราะนาง ไม่อย่างนั้นด้วยพลังของเขาการจะหลีกเลี่ยงเทพสปิริตเพื่อมีชีวิตต่อไปนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

 

หานเซิ่นสังเกตได้ว่าโทนเสียงของเธอแปลกไปจากเดิม เขารีบถามขึ้น

“หว่านเอ๋อร์เป็นน้องสาวของผู้นำเซเคร็ดจริงๆอย่างนั้นหรอ?”

 

“ถึงแม้ผู้นำเซเคร็ดจะบอกว่าหว่านเอ๋อร์เป็นน้องสาวจริงๆของเขา แต่ข้าแน่ใจว่าหว่านเอ๋อร์นั้นไม่ใช่น้องสาวจริงๆของเขา นั่นเป็นเพราะว่าหว่านเอ๋อร์ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขา” หานหยี่เฟยพูดอย่างมั่นใจ

 

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน?” หานเซิ่นถาม

 

“นั่นเป็นเพราะหว่านเอ๋อร์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับข้า” หานหยี่เฟยพูด

“ตามลำดับความอาวุโส นางควรจะเรียกข้าว่าป้า ข้าได้เห็นนางเติบโตขึ้น แบบนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเข้าใจผิดอย่างนั้นหรอ?”

 

“อะไรนะ? หว่านเอ๋อร์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า? เผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าคืออะไร?”

หานเซิ่นเบิกตากว้างขณะที่มองไปที่หานหยี่เฟย จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าหานหยี่เฟยมาจากเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่

 

“วิทช์” หานหยี่เฟยพูดพร้อมกับถอนหายใจ

“เผ่าพันธุ์ของพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ควรจะสูญพันธุ์ไปนานแล้ว ข้าไม่คิดว่ามันจะมีใครในยุคสมัยนี้ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา นอกจากข้าแล้ว ข้าไม่คิดว่ามันจะยังมีคนอื่นอีกที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อก่อนนั้นมีไท่อี ราชาจุนและเพอเพิลไฟต์ แต่ตอนนี้พวกเขา…”

 

“ไท่อี? ราชาจุน? เพอเพิลไฟต์? พวกเขาเองก็เป็นเผ่าวิทช์เหมือนกันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

 

หานหยี่เฟยยิ้มแห้งๆ “ไม่ใช่อีกแล้ว ราชาจุนได้กลายเป็นเทพนภา เขาไม่ใช่เผ่าวิทช์อีกแล้ว เพอเพิลไฟต์ได้ตายไป เพอเพิลไฟต์ที่อยู่บนภูเขาสองโลกนั้นเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณของเขา ส่วนไท่อีนั้น เขาหายสาบสูญไป ข้ากลัวว่าเขาคงจะถูกฆ่าตายในการต่อสู้”

 

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกแปลกๆ เขาไม่ได้คาดคิดว่าหว่านเอ๋อร์และหานหยี่เฟยจะมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน และเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าราชาจุนกับไท่อีนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าวิทช์

 

หลังจากที่ปราสาทพระเจ้าปรากฏ หานเซิ่นเคยพยายามมองหาวิหารพระเจ้าของราชาจุน เขาต้องการจะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้น แต่หลังจากที่มองหาอยู่นาน เขาก็หาธงของราชาจุนไม่เจอ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นซ่อนตัวอยู่ในวิหารพระเจ้าไหนกันแน่

 

ส่วนไท่อีและวิหารโลหะ หานเซิ่นก็หาไม่เจอเช่นเดียวกัน นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆ

 

หานเซิ่นบอกหานหยี่เฟยเกี่ยวกับการพบกันของเขากับไท่อีและเรื่องที่อีกฝ่ายซ่อมแซมวิหารโลหิตก่อนที่จะเทเลพอร์ตหายไป เขาต้องการรู้ว่าเธอจะคิดยังไงกับเรื่องนั้น

 

หลังจากที่หานหยี่เฟยได้ยิน เธอก็ดูตกใจอย่างมาก “ไท่อียังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้ว แต่เขาซ่อมแซมวิหารโลหะและเทเลพอร์ตหายไป และข้าก็ไม่เห็นวิหารโลหะในหมู่วิหารภายในปราสาทพระเจ้า เรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่?” หานเซิ่นพูด

 

หานหยี่เฟยหัวเราะ “แน่นอนว่าเจ้าหามันไม่เจอ วิหารโลหะนั้นเป็นวิหารพระเจ้าจำลองที่เซเคร็ดสร้างขึ้นมาเพื่อดูว่าพวกเขาจะมาแทนที่วิหารพระเจ้าดั้งเดิมและกลายเป็นผู้นำของจักรวาลได้ไหม พวกเขาต้องการจะสร้างปราสาทของพระเจ้าขึ้นมาทั้งปราสาท แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำได้สำเร็จ เซเคร็ดก็ถูกทำลายไปซะก่อน วิหารโลหะนั้นได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ ข้าไม่คิดว่าไท่อีจะซ่อมแซมมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

 

หานเซิ่นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขารู้สึกว่าทั้งห้องปฏิบัติการเริ่มจะสั่นไหว กำแพงและเพดานน้ำแข็งนั้นพังทลายลงมา เหมือนกับว่ามันกำลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้น

 

มีออร่าที่น่ากลัวเข้าปกคลุมห้องปฏิบัติการ ถึงตอนนี้หานเซิ่นจะใช้ศาสตร์ตงเสวียนไม่ได้ เขาก็สัมผัสได้ว่าออร่านั้นน่ากลัวขนาดไหน

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset