Super God Gene – ตอนที่ 3058 เรื่องราวของยีนเวอร์ชั่นเก่าแก่

เรื่องราวของยีนนี้แตกต่างไปจากเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึก เรื่องราวของยีนที่อยู่บนกำแพงนั้นดูสั้นๆได้ใจความ มันไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ค่อนข้างลึกซึ้ง มันเหมือนกับในอดีตตอนที่หานเซิ่นจำเป็นต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณระดับสูงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ตงเสวียน

 

ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ฝึกเรื่องราวของยีนอยู่ก่อนแล้ว เขาก็คงจะไม่เข้าใจว่าข้อความบนกำแพงนั้นหมายถึงอะไร ถ้าให้พูดเปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับว่าเรื่องราวของยีนของที่นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกเขียนเอาไว้ในภาษาโบราณ ส่วนเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึกนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่เขียนในภาษาสมัยใหม่

 

ถึงการบรรยายจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหานั้นคล้ายคลึงกัน มันไม่มีข้อแตกต่างอะไรมากนัก

 

“แปลกจริงๆ เรื่องราวของยีนถูกคิดค้นขึ้นโดยฉินซิวและหานหยี่เฟยไม่ใช่หรอ? ทำไมมันถึงมีเวอร์ชั่นที่เก่ากว่าอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นคิดว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลกมากๆ

 

“เจ้าเข้าใจสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” โกสต์คิลล์ถาม

 

“ข้าพอจะคาดเดาได้ว่ามันเป็นวิชาประหลาดบางอย่าง” หานเซิ่นตอบ

 

โกสต์คิลล์ส่ายหัว “ข้อความส่วนใหญ่นั้นถูกเขียนโดยภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์ของมันเก่าแก่มากๆ มันคงจะถูกเขียนเอาไว้ในยุคออริจินอลสตาร์”

 

“ยุคออริจินอลสตาร์คืออะไร?” หานเซิ่นถาม

 

โกสต์คิลล์มองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ “เจ้าไม่รู้จักยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”

 

“ข้าไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องในประวัติศาสตร์” หานเซิ่นพูด

 

โกสต์คิลล์ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น

“โลหิตชีพจรของทั้งเจ็ดอาณาจักรมีต้นกำเนิดมาจากดวงดาวเดียวกัน ดาวดวงนั้นถูกเรียกว่าออริจินอลสตาร์ ด้วยเหตุนั้นยุคสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่ายุคออริจินอลสตาร์ แต่ออริจินอลสตาร์นั้นถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามันผ่านมากี่พันล้านปีแล้ว”

 

ขณะที่มองไปที่ตัวอักษรบนกำแพง โกสต์คิลล์พูดต่อไปว่า

“ข้าเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับยุคออริจินอลสตาร์ ข้อความที่ถูกใช้ในที่แห่งนี้นั้นคล้ายคลึงกับข้อความในยุคสมัยนั้น”

 

หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าจะบอกว่าข้อความพวกนี้ถูกทิ้งเอาไว้จากยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”

 

โกสต์คิลล์ส่ายหัว “มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะในยุคออริจินอลสตาร์ยังไม่มีการเดินทางในอวกาศด้วยซ้ำ ถ้าแบบนั้นมันจะมาอยู่บนภูเขาแอนเชี่ยนท์ก็อตที่อยู่บนดาวดวงอื่นได้ยังไง? บางทีข้อความพวกนี้อาจจะมาจากยุคออริจินอลสตาร์ แต่มีใครบางคนมาเขียนมันเอาไว้ที่นี่ในภายหลัง”

 

“เจ้าของที่แห่งนี้คือใครกัน? ทำไมเขาถึงได้มาสร้างปราสาทหินเอาไว้ในที่แบบนี้?” โกสต์คิลล์หันไปมองที่โครงกระดูก

 

พวกเขาทั้งคู่สำรวจภายในปราสาทหินจนทั่วแล้ว แต่มันไม่มีอะไรพิเศษ มันเหลือเพียงแค่โครงกระดูกและเตาหินที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางห้องโถงเท่านั้นที่พวกเขายังไม่ได้ตรวจเช็ค

 

“ถ้าเจ้าสนใจ ทำไมเจ้าไม่ลองไปตรวจเช็คมันดู?” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

 

หานเซิ่นอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าของปราสาทหินแห่งนี้มากกว่าโกสต์คิลล์ซะอีก แต่เขาไม่แสดงมันออกมา

 

“แน่นอน ข้าจะลองดู” โกสต์คิลล์ไม่ลอช้า เธอเดินเข้าไปเพื่อจะตรวจเช็คโครงกระดูก

 

แต่ทันใดนั้นมีเงาแสงสีม่วงเว็บขึ้นมา มันเหมือนกับปีศาจที่ทำการโจมตีโกสต์คิลล์จากด้านหลัง เงาสีม่วงนั้นรวดเร็วเกินไป ซึ่งทำให้โกสต์คิลล์ตอบสนองไม่ทัน

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะตอบสนองได้ทัน แต่ร่างกายของเขาถูกจำกัดพลังโดยโลกใบนี้ ยิ่งเขาเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่ แรงกดดันที่เขารู้สึกก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะช่วยโกสต์คิลล์ได้ทัน

 

ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็เห็นมันอย่างชัดเจน เงาสีม่วงนั้นก็คือเจ้าลิงขนม่วง ร่างกายของมันกำลังเปล่งแสงสีม่วงออกมา มันเคลื่อนที่เข้าไปด้านหลังของโกสต์คิลล์เพื่อจับตัวเธอเอาไว้ ก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงไปที่หัวของเธอเหมือนกับที่มันทำกับโอหยางชิวซาน

 

ในตอนที่เขี้ยวของมันถูกกับร่างกายของโกสต์คิลล์ ร่างกายของเธอก็กลายเป็นควันสีดำ ซึ่งทำให้เจ้าลิงขนม่วงกัดถูกแต่ความว่างเปล่า ควันสีดำนั้นลอยหนีออกมาก่อนที่จะกลับกลายเป็นร่างกายของโกสต์คิลล์อีกครั้ง

 

ลิงขนม่วงส่งเสียงร้องออกมา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเงาสีม่วงและเคลื่อนที่เข้าไปหาโกสต์คิลล์อีกครั้ง ทั้งสองต่อสู้กัน และมันบอกได้ยากว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ

 

หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าโกสต์คิลล์นั้นแข็งแกร่งกว่าโอหยางชิวซานมาก เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานทั้งประสบการณ์และความสามารถในการต่อสู้ เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานแทบจะทุกด้าน และแม้แต่เจ้าลิงขนม่วงที่มีพลังที่ประหลาดก็ไม่สามารถทำร้ายเธอได้

 

แต่โกสต์คิลล์เองก็ทำอะไรเจ้าลิงขนม่วงไม่ได้เช่นเดียว เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง มันพยายามจะควบคุมพลังของตัวเองเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเสียหายกับสิ่งต่างๆภายในห้องโถง

 

เมื่อเห็นว่าโกสต์คิลล์ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย หานเซิ่นก็เริ่มเดินเข้าไปหาโครงกระดูก เขายื่นมือออกไปค้นตามชุดเกราะด้วยความหวังว่าจะพบอะไรบางสิ่ง

 

เมื่อเจ้าลิงขนม่วงเห็นหานเซิ่นแตะต้องชุดเกราะ มันก็ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่จะเลิกสนใจโกสต์คิลล์และเข้าโจมตีใส่หานเซิ่น

 

หานเซิ่นยังคงค้นตามชุดเกราะต่อไปขณะที่ใช้มืออีกข้างหนึ่งแกว่งเสาโลหะใส่ลิงขนม่วง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าลิงนั้นสามารถเลื้อยรอบๆเสาโลหะเหมือนกับงูเพื่อตรงเข้าไปหาหานเซิ่น

 

หานเซิ่นค้นพบบางสิ่ง แต่เขาไม่มีเวลาดูว่ามันคืออะไร เขาเก็บมันมาและรีบถอยออกไปได้หลัง

 

ตอนนี้มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินผ่านน้ำที่สูงเหนือเอวอยู่ตลอดเวลา แรงต้านทานที่เขาต้องเผชิญนั้นมันสูงเกินไป มันไม่สำคัญว่าเขาจะพยายามออกแรงมากแค่ไหน เขาไม่สามารถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วได้ดั่งใจ ถึงแม้เขาจะถอยหนีออกมาอย่างเร็วที่สุด แต่เขาก็ถูกข่วนโดยกรงเล็บของเจ้าลิงขนม่วงอยู่ดี

 

ชุดที่เขาสวมใส่ฉีกขาด แต่กรงเล็บที่แหลมคมของเจ้าลิงนั้นไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในผิวหนังของเขา มันแค่ทิ้งรอยแดงบางๆเอาไว้บนผิวหนังของเขาเท่านั้น

 

โกสต์คิลล์รู้สึกแปลกใจแต่มันก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เธอรีบบินเข้าไปเพื่อต่อสู้กับเจ้าลิงขนม่วงอีกครั้ง

 

ความเร็วของหานเซิ่นนั้นไม่สูงพอ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปร่วมการต่อสู้นี้ เขาถอยออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะก้มมองสิ่งที่หยิบเอามาจากภายในชุดเกราะ

 

มันเป็นสมุดบันทึกที่ทำจากหนังทั้งเล่ม แม้แต่หน้าของสมุดบันทึกก็ไม่ได้ทำจากกระดาษขาว

 

หานเซิ่นพลิกเปิดมันและเห็นว่าข้อความที่อยู่ภายในเป็นภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์เป็นแบบสมัยเก่าเหมือนกับเรื่องราวของยีนที่สลักเอาไว้บนกำแพง

 

หานเซิ่นลองอ่านมันดูและพบว่ามันยากที่จะเข้าใจได้ เขาเข้าใจแค่ส่วนง่ายๆเท่านั้น

 

“คนๆนี้คือเจ้าหน้าระดับสูงของอาณาจักรฉินที่รับหน้าที่จากราชาฉินเพื่อค้นหาวิธีที่จะชุบชีวิตคนขึ้นมา” หานเซิ่นเข้าใจส่วนหนึ่งของมัน ซึ่งทำให้เขาได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้เป็นคนของฉินซิว

 

ข้อความส่วนใหญ่ของสมุดบันทึกนั้นยากเกินกว่าที่หานเซิ่นจะเข้าใจ และภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีเวลามัวมาศึกษาเกี่ยวกับมัน ดังนั้นเขาจึงเก็บสมุดบันทึกไปและหันมาให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น เขาเตรียมตัวจะเข้าไปช่วยโกสต์คิลล์กำจัดลิงขนม่วง

 

เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามันกำลังเผชิญกับวิกฤต มันส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่ขนสีม่วงของมันจะตั้งตรงและมีเปลวไฟสีม่วงที่น่ากลัวลุกโชนจากร่างกายของมัน ภายใต้เปลวไฟสีม่วง ร่างกายของมันกลายเป็นคริสตัลที่โปร่งใสเหมือนกับผี ขณะเดียวกันก็มีออร่าประหลาดเปล่งรัศมีออกมาจากร่างกายของมัน

 

โกสต์คิลล์พูดขึ้นว่า “มันคือบลัดโกสต์สปิริตจริงๆด้วย…”

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset