Supreme Magus – ตอนที่ 1 อารัมภบท

บางคนอาจจะเคยอ่านเรื่องนี้มาบ้างแล้วก็ฝากติดตามด้วยน้า แอดเป็นคนใหม่มาแปล โดยแอดจะเริ่มแปลใหม่ตั้งแต่ตอนที่หนึ่ง และไปกันยาวๆเลย เห็นล่าสุดอิ้งก็ไปหลายพันละ อ่านกันยาวๆ //ตอนที่ 1 อารัมภบท

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน

พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ

นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ

ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด

โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

….

ด้วยเหตุนี้เองเดเร็ค และคาร์ลจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดแล้วมันไม่มีใครจะสามารถช่วยพวกเขาได้เลย นอกจากตัวพวกเขาเอง ในส่วนของผู้ที่พวกเขาเรียกว่า “แม่” นั้น เธอก็แทบจะลืมพวกเขาไปทันทีหลังจากที่เธอคลอดพวกเขาออกมา เธอได้อุทิศชีวิตทั้งหมดของตัวเองไปให้กับการแสวงหาความสงบสุข และการพยายามอยู่ให้ไกลจากอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของคู่สมรส

โดยเดเร็คนั้นก็มีอายุมากกว่าคาร์ลสองปี และแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักที่จะดูแลน้องชายของเขา แต่มันก็ไม่เป็นประโยชน์เลย ….

พวกเขาเติบโตขึ้นมากับการฟัง และอ่านเรื่องราวของฮีโร่ที่ปกป้องผู้อ่อนแอ และผดุงความยุติธรรม แต่มันกับไม่เคยมีฮีโร่ที่ไหนโผล่มาช่วยพวกเขาเลย
นอกเหนือจากนี้แล้วทุกสัปดาห์พวกเขาก็ยังเข้าไปที่โบสถ์เพื่อสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะสวดอ้อนวอนมากแค่ไหน มันก็ไม่เคยจะมีอะไรที่ดีขึ้นเลย ….

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงได้เลิกจะเชื่อในเรื่องฮีโร่ และพระเจ้าไปทั้งหมด

ขณะที่โรงเรียน ซึ่งเป็นเหมือนโอเอซิสแห่งเดียวของพวกเขานั้น …. พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นั่นได้แค่ถึงตอนเกรด 6 เท่านั้น

พอเข้าเกรด 7 โรงเรียนก็กลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาไม่อยากจะไป ….

เสื้อผ้าราคาถูก และสกปรกของพวกเขานั้นมันทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าในการถูกรังแกได้ง่าย ซึ่งพวกเขานั้นก็ถูกซ้อม และถูกดูถูกสารพัด โดยที่ไม่สามารถจะโต้ตอบได้เลย

และพอเขาพยายามจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ และครูของเขา คำตอบที่เขาได้รับกลับมามันกับทำให้เขาพูดแทบไม่ออก โดยเฉพาะคำตอบของผู้เป็นพ่อ เพราะเขาไม่ได้สนใจใดๆเลย แถมเขายังตราหน้าเดเร็คด้วยว่าไม่มีความเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะจัดการปัญหาแบบนี้ด้วยตัวเอง

ซึ่งนี่มันก็ได้ทำให้เดเร็ครู้สึกหมดหนทาง และสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด โดยในคืนนั้นเขาก็จมอยู่กับความรู้สึกนี้จนกระทั่งเขาหลับไป และนั่นมันก็นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเขา ….

ในวันรุ่งขึ้นที่เดเร็คตื่นขึ้นมานั้น เขาก็รู้สึกว่าหัวสมองของเขาปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเขาก็คิดว่านี่มันไม่ใช่ช่วงเวลาสำหรับความสิ้นหวังอีกต่อไป ตอนนี้เขาต้องการแผน ….

เขาต้องใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียวกว่าที่จะรู้ว่าบางอย่างในตัวเขามันได้ตายไปแล้ว เขาไม่สามารถจะไว้วางใจ ตั้งความหวัง หรือพัฒนาความรู้สึกดีใดๆต่อเครือญาติของตัวเองได้อีกแล้ว เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยศัตรู และเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เดเร็คจำเป็นที่จะต้องสู้กลับ

เดเร็คได้ขอให้พ่อของเขาอนุญาติให้เขาเข้าร่วมกับโรงฝึกเพื่อไปฝึกศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้เดเร็คอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กๆ เพราะชายผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อยอดแย่ผู้นี้นั้น อนุญาติทันทีโดยไม่ได้ลังเลใดๆเลย เพียงแต่ว่ามันมีเงื่อนไขเดียวคือเดเร็คจะต้องอยู่ฝึกให้ได้อย่างน้อยหนึ่งปี ไม่งั้นเดเร็คจะต้องจ่ายค่าเรียนทั้งหมดเอง

เมื่อมาถึงตรงนี้ …. ไม่เพียงแต่เดเร็คจะฝึกไอคิโดทุกวัน แต่เขายังเลือกจะตื่นนอนเร็วขึ้นอีกสองชั่วโมงเพื่อที่จะได้มาออกกำลังกาย และสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มเติมด้วย

และในเวลาไม่กี่เดือนเดเร็คก็สามารถจะตื่นขึ้นมาวิดพื้น ซิทอัพ และสคอวชได้หนึ่งร้อยครั้ง พร้อมกับวิ่งอีกราวสิบกิโลเมตรก่อนที่จะไปโรงเรียนทุกวันได้ ….

สำหรับไอคิโด ในไม่ช้ามันก็ได้ทำให้เขาเห็นว่านี่เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับสถานการณ์ของเขา ในขั้นพื้นฐานไอคิโดนั้นดูเหมือนจะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ไว้ป้องกันตัวเป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากเรียนรู้ไปถึงระดับหนึ่งแล้ว คนที่เรียนรู้ก็จะรู้ว่ามันเหมาะมากเลยทีเดียวที่จะใช้ในการโจมตี และต่อสู้แบบสกปรก

ด้วยการฝึกฝนไอคิโดนี้เองมันทำให้เขาได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่เขาถนัด เขาไม่ได้ว่องไวเป็นพิเศษ หรือสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเขามีดวงตา และสายตาที่ดีมากๆ โดยเมื่อเขามองเพียงแค่ปราดเดียวนั้นเขาก็สามารถจะหาช่องว่างของคู่ต่อสู้ และโจมตีจุดตายได้ในทันที

อย่างไรก็ตามนี่มันก็นับเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้น และน่าผิดหวังในเวลาเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วไอคิโดนั้นเป็นกีฬาที่ค่อนข้างจะมีระเบียบแบบแผน และวินัยที่เข้มงวดมากๆ การโจมตีจุดตายในทันทีมันจึงนับเป็นข้อห้ามที่รู้ๆกันโดยทั่วไป

มันเป็นเวลาหลายเดือนที่เดเร็คได้พยายามฝึกฝนอย่างหนัก และพยายามคงโปรไฟล์ของตัวเองให้ต่ำไว้ในโรงเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนขั้นต่อไปของเขา

ในช่วงท้ายของภาคการศึกษาแรก เดเร็คได้หยุดปกปิดความสามารถของเขา และเริ่มทำการโต้กลับทุกอย่างที่พวกที่ชอบรังแกเขาทำ

ซึ่งการกระทำของเขานั้นมันก็ทำให้พวกเขาที่ชอบรังแกเขามีท่าทีเดือดดาลขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ไอ้โง่นี่ !!! แกคิดว่าแกเก่งนักใช้ไหม ?!! ไปเจอกันที่ตรอกหลังร้านขายของชำที่อยู่บริเวณถนนลินคอร์นในอีกหนึ่งชั่วโมงดีกว่า !!! ถ้าแกไม่ไปฉันจะถือว่าแกเป็นแค่ไอ้หมาขี้แพ้ ที่ทำได้แค่ลอบกัดเท่านั้น !!!! ฉันและเพื่อนของฉันสองคนจะไปรอแกที่นั่น !!! ….”

เดเร็คพยักหน้าอย่างเอือมระอา และพูดกันตามตรงเขาก็ไม่ได้รู้สึกเชื่อคำพูดของคนเหล่านี้เลย

และเมื่อเดเร็คไปที่ตรอกด้านหลังนั้น ทุกๆอย่างมันก็เป็นแบบที่เขาคิดจริงๆ เพราะมันมีอีกสองคนเพิ่มขึ้นมา

“หวังว่าแกจะไม่รังเกียจนะที่ฉันจะพาเพื่อนมาร่วมปาร์ตี้นี้เพิ่มด้วยน่ะ ?” หนึ่งในสี่คนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะ

เมื่อได้ยินดังนี้เดเร็คก็ยักไหล่ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ขยะไม่ว่ามันจะมีมากขนาดไหน มันก็ยังคงเป็นแค่ขยะนั่นแหละ ….”

เมื่อได้ยินคำพูดล่าสุดของเดเร็ค มันก็ทำให้ทั้งสี่คนโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด และพุ่งเข้าใส่เขาทันที

“กระทืบหมอนี่ให้เละ !!! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้ !!! ทำให้รู้กันหน่อยว่าใครกันแน่ที่คือขยะ !!!”

เดเร็คยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นท่าทีของทั้งสี่คน ความจริงเขาได้มาที่นี่ก่อนหน้านี้เพื่อเตรียมกับดักไว้รอทั้งสี่คนแล้ว โดยเขาได้ทำท่าทีถอยหนีเข้าไปยังท้ายซอยที่ซึ่งเขาเซ็ทเส้นลวดรอเอาไว้ และเนื่องจากบริเวณท้ายซอยนั้นมันมีแสงที่สลัวมากๆ ดังนั้นหากไม่สังเกตดีๆ มันจึงจะไม่มีทางมองเห็นเส้นลวดได้เลย

สองคนแรกนั้นถูกเส้นลวดขัดขา และล้มลงบนพื้นอย่างแรง ขณะที่สองคนหลังที่ตามมานั้นก็มัวแต่กังวลที่จะเหยียบเพื่อนของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตเห็นท่อเหล็กที่กำลังเข้ามาเลย

พวกเขาอาจจะมีจำนวนมากกว่า แต่เดเร็คนั้นมีอาวุธครบมือ และเขาก็ได้เตรียมการทุกอย่างมาอย่างดี โดยเดเร็คก็ได้ใช้ท่อเหล็กตีเข้าไปที่บริเวณหัวเข่าของสองคนที่ยังไม่ล้มทันที จากนั้นเขาก็ได้หันมาตีอีกสองคนที่พยายามจะลุกขึ้นยืน

โดยในขณะที่ทั้งสี่กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดนั้นเดเร็คก็ได้ใช้มีดพกขนาดเล็กของเขาทำการตัดลวดที่เขาเซ็ทไว้ทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้ตัวเองทำการใช้ท่อเหล็กฟาดศัตรูทั้งสี่ของเขาได้สะดวกขึ้น

ลึกๆแล้วนั้นแม้ว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจใดๆ ในเมื่อโลกมันถูกสร้างขึ้นมาให้ไม่ยุติธรรม เขาก็พร้อมแล้วที่จะเป็นตัวร้ายใช้ทุกวิธีการเพื่อปกป้องตัวเอง และผลประโยชน์ของตัวเอง

หลังจากนั้นไม่นานศัตรูของเดเร็คก็สลบไปด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามเดเร็คก็ยังคงไม่พอใจ เขาได้จัดการถอดเสื้อผ้าศัตรูของเขาออกทั้งหมด ก่อนที่จะจัดการใช้กล้องถ่ายรูปที่เขาได้ยืมมาจากพ่อของเขาถ่ายรูปสภาพน่าสังเวชของศัตรูของเขาไว้ทั้งหมด

และเมื่อเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้จัดการสาดน้ำเย็นที่เขาเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อปลุกทั้งหมดขึ้นมา

“ขอโทษที่ทำลายโมเม้นต์ที่กำลังหลับสบายนะสาวๆ …. แต่ตอนนี้ฉันต้องการจะทำข้อตกลงด้วยสักหน่อยน่ะ ….”

เมื่อทั้งสี่ตื่นขึ้น พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดมากๆจนแทบไม่สังเกตเห็นเลยว่าพวกเขานั้นเปลือยเปล่า และอยู่ในท่าสวมกอดกันอยู่ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะรู้ตัว …. แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเดเร็คยังคงถือท่อเหล็กอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรอยู่ดี นอกเหนือจากเงียบ และฟัง

“ฉันได้จัดการถ่ายสภาพน่าสังเวชนี้ของพวกคุณไว้หมดแล้ว และมันก็คงจะแย่น่าดูเลย …. ถ้าอยู่ๆฉันมือลั่นไปอัพภาพพวกนี้ลงในเว็บไซต์ใหญ่ๆให้คนอื่นดูน่ะ ….” เดเร็คกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

เมื่อได้ยินคำพูดของเดเร็ค พวกอันธพาลทั้งสี่ก็มีสีหน้ามืดมน และทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้

“แล้วลองนึกดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นน้า …. ถ้าพ่อ แม่ แฟนสาว หรือญาติๆ และทางวิทยาลัยในอนาคตที่พวกคุณไปสมัครได้เห็นภาพนี้ของพวกคุณ …” เมื่อเห็นท่าทีของทั้งสี่นั้นเดเร็คก็ยังคงกล่าวต่อไปด้วยความสนุกสนาน

“เฮ้เพื่อน ! ไม่นะ !! อย่าทำแบบนั้นเลย ฉันกับนายไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ !!!”

“มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ !!! เพื่อนของฉันมันชวนฉันมา ถ้านายจะทำแบบนั้นจริงๆ ทำแค่กับพวกนั้นเถอะ !!!!”

ท่าทีล่าสุดของคนเหล่านี้ทำให้เดเร็ครู้สึกอยากจะอ้วกอย่างถึงที่สุด สุดท้ายแล้วคนเหล่านี้มันก็เป็นแค่ขยะอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ ….

“ฉันไม่สนคำแก้ตัวน่าสมเพชของพวกคุณ !!! แต่ฉันจะขอสั่งไว้อย่างนึงว่าตั้งแต่นี้ไปอย่ามายุ่งกับฉันอีก !!! ไม่งั้นภาพพวกนี้จะไปโชว์หราอยู่บนอินเตอร์เน็ตแน่นอน !!!”

โดยไม่รอคำตอบ เดเร็คได้หันหลัง และเตรียมจะเดินจากไป

“โอ้เกือบลืม ! เสื้อผ้าของพวกคุณ ฉันโยนกระจัดกระจายไว้ในตรอกนี้แหละ ถ้าไม่อยากกลับบ้านสภาพนี้ก็ไปหากันเอาเองแล้วกัน …”

เมื่อพูดจบเดเร็คก็เดินจากไปทันที โดยในตอนนี้นั้นเดเร็คเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ และภูมิใจในตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกเหนือจากนี้เขาก็มีความมั่นใจอย่างมากว่า …. นับจากนี้เขาจะไม่ต้องถูกวอแวจากไอ้ขยะเหล่านี้อีกต่อไป

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset