Supreme Magus – ตอนที่ 20 แตกหัก

ตอนที่ 20 แตกหัก

ตามแผนเดิมแล้ว เขาอยากจะฆ่าเด็กพวกนี้ทั้งหมด แล้วค่อยทําลายหลักฐาน จากนั้นก็ทําให้ออพัล ต้องประสบกับ “อุบัติเหตุร้ายแรง” แต่เมื่อลิธสงบลง เขาก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นแผนงี่เง่าที่เต็มไปด้วยช่องโหว่อันมากมาย

“ถ้าเด็กทั้งห้าคนหายไปในหมู่บ้านลู เที่ยที่เงียบสงบจะต้องเกิดความวุ่นวาย โกลาหลเป็นแน่ อีกทั้งออฟัลก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ ถ้าหากหาตัวไม่พบ ก็อาจจะรู้ความจริงขึ้นมาได้ ดังนั้นแล้ว เพื่อความสบายใจ ฉันไม่อยากให้เขามีอํานาจใดๆเหนือฉันอีก”

“ยังมีความเป็นไปได้ว่าเด็กโง่ทั้งห ลายจะบอกเล่าแผนการให้คนอื่นๆอีกเป็นแน่ การฆ่าพวกเขายังไม่ใช่คําตอบที่ถูกต้องนัก มีตัวแปรมากมายที่ไม่อาจควบคุมได้

“แย่ไปกว่านั้น ถ้าฉันทําให้ออพัลหายตัวไปด้วย ทั้งครอบครัวจะต้องกังวลและเสียใจเป็นแน่ มันจะต้องไม่ใช่ผู้พลีชีพ ฉันยอมไม่ได้เด็ดขาด! มันจะต้องทนทุกข์ไปตลอดทั้งชีวิตถึงจะสาสม!”

ขณะใคร่ครวญคิดอยู่ภายในใจ ลิธก็ปล่อยไฟฟ้าออกมาจากมือขวา ประมาณสองถึงสามวินาทีแล้วหยุด ปล่อยให้พวกมันได้หายใจหายคอ จากนั้นจึงโจมตีอีกครั้ง พวกมันล้วนไม่อาจควบคุมปัสสาวะและอุจจาระได้ ทั้งร้องขอความเมตตาให้หยุดการทรมานนี้

“ฉันจะไม่ปล่อยพวกขยะไปง่ายๆ ช่วงเวลาที่หยุดปล่อยพลังจะเป็นช่วงที่มันรู้สึกถึงความหวัง จากนั้นก็โจมตีอีกเพื่อให้มันเจ็บปวดกว่าเดิม ลงโทษเพียงแค่นี้ก็ยังไม่สาสม ฉันอยากจะทําลายมันด้วยซ้ําไป!”

เนื่องจากมีตัวแปรมากเกินไป ลิธเบื่อกับการวิ่งวุ่นกับปัญหามากมายไม่รู้จบ เขาจึงดัดแปลงแผนการที่เคยทําเมื่อโลกก่อนแล้วเอามาใช้กับโลกนี้

“พวกนั้นมันก็เป็นขยะเหมือนกัน หลังจากที่ฉันตายไป พวกมันจะทํายังไงนะ เมื่อรู้ว่ารูปพวกนั้นหลุดและถูกเผยแพร่ตามอินเตอร์เน็ตพร้อมทั้งแท็กชื่อด้วย”

ลิธแสยะยิ้มด้วยความโหดเหี้ยมเมื่อคิดถึงฝีมือการแก้แค้น การหักหลังของเขาเอง ทั้งที่มันผ่านไปนานหลายปีแล้ว

เมื่อคาถาสุดท้ายจบลง ลิธทําให้เด็กทั้งห้าคนหมดสติ จากนั้นก็เริ่มทําการจัดวางร่างกายของเด็กเหล่านั้นด้วยเวทย์วิญญาณ

“ต้องเก็บเรื่องเวทย์ผสมผสานและเวทย์วิญญาณไว้เป็นความลับ ดังนั้นต้องจัดฉากให้เหมือนว่าฉันสามารถเอาชนะพวกมันได้ด้วยเวทย์ธรรมดาเท่านั้น การรวมกลุ่มพวกมันดูจะมากไปสําหรับเด็กห้าขวบ ฉันต้องกระจายพวกมันออกไป”

เขานําไม้เท้าไว้ในมือเจ้าของเดิม และตรวจดูให้แน่ใจว่ามีคราบเลือดเกาะอยู่

ลิธกําลังเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอยู่ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเขาจากไกลๆ

“บ้าจริง! ฉันมัวแต่เสียเวลาคิด ตอนนี้ครอบครัวคงกําลังส่งคนมาตามหาแล้วแน่ๆ ทําเอาแผนดีๆของฉันทั้งหมด คงต้องเล่นไปตามน้ําซะแล้ว หวังว่าจะไม่ส่งออพัลมานะ ไม่งั้นคงแย่แน่”

ลิธมองไปยังหน้าต่าง เห็นเอลิน่ากําลังก้าวยาวๆเข้ามาในตัวบ้านเซเลียด้วย ความเร่งรีบ

“นั่นแม่นี่นา ถ้าเป็นเรน่าหรือพ่อคงจะดีกว่า แต่ไม่เป็นไร ฉันจัดการได้อยู่แล้ว”

เมื่อเธอเข้ามาใกล้พอ ลิธก็ตอบรับ เสียงเรียกของเธอพร้อมกับร้องโอดโอยออกมา ค่อยๆเปิดประตูแล้วร้องขอความช่วยเหลือทันที

เอลิน่ารีบพุ่งพรวดเข้ามาอย่างเต็มกําลัง แต่กลับหยุดชะงักเมื่อเจอกับสิ่งที่เห็น เธอรู้สึกร่างกายเย็นเฉียบ พบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว ฟันเกลื่อนพื้น ส่วนลิธนั้น เธอแทบจะจําเขาไม่ได้เลย

เขาบาดเจ็บหลายที่จึงเสียเลือดไปมาก ใบหน้าบวมเป่งจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ลิธจับแขนซ้ายของตนเองไว้ราวกับว่ามันเจ็บมาก และแค่เพียงเอ่ยคําพูดออกมา เธอก็เห็นฟันที่หลุดหายไปกับเลือดในปากอีกมากมาย

“แม่! ขอบคุณพระเจ้าที่แม่มาแล้ว” เสียงของลิธออกจะแปร่งๆ ฟังไม่ชัด เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ “ผมกลัวว่า พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันได้ ร้องขอความช่วยเหลือ พวกเขาพยายามจะฆ่าผม แม่ ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะสู้อีกแล้วครับ”

เอลิน่ารีบเข้าไปกอดเขา รู้สึกได้ว่าเขากําลังร้องไห้และตัวสั่นจากความเจ็บ ปวดแม้จะสัมผัสด้วยความอ่อนโยนแล้วก็ตาม

“โอ๋ๆ ลูก เด็กน้อยที่น่าสงสาร บอกแม่ มาสิว่าใครทําลูก?” จากนั้นทั้งคู่ก็ร้องไห้ ขึ้นมาพร้อมกัน เอลิน่าร้องไห้เพราะความกลัว ส่วนลิธร้องไห้ เพราะขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่ เขายอมปลดปล่อยตัวเอง ให้ระบายความโกรธและความหวาดกลัวออกมาในที่สุด

“ออพัล! ทั้งหมดเป็นความผิดของออพัล! คนพวกนี้เป็นเพื่อนของเขา พวกมันบอกแผนการตอนที่คิดว่าผมกําลังจะตายแล้ว!”

เอลิน่าถึงกับตะลึงงันเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้ เธอไม่อยากเชื่อเรื่องเลวร้ายนี้ แต่เด็กทั้งห้าคนนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทของออพัลจริงๆ หนึ่งในนั้นคือไรเซล กําลังถือไม้เท้าของอยู่ และมันก็เต็มไปด้วยเลือดอีกด้วย

เอลิน่ามองไปที่หัวของลิธ สามารถมองเห็นรอยฟกช้ําและรอยตีเป็นรอยของไม้เท้าได้อย่างชัดเจน

“ทําไมพวกเขาถึงทําร้ายลูกล่ะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เซเลียจะออกไปนอกเมือง” เอลิน่าคิดในใจ

ท่ามกลางเสียงสะอื้นและร้องไห้โฮลิธกลับแสยะยิ้มอยู่ในใจ การบอกความจริงกับเธอเป็นทางเลือกสุดท้าย มันจะส่งผลกระทบมากกว่าหากเธอสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ด้วยตนเอง

“ลูกรักษาตัวเองไม่ได้หรอ? ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว?” น้ําเสียงของเอลิน่าเต็มไปด้วยความห่วงใย ลูกชายของเธอดูแย่มากจริงๆ ลิธเองก็คาดไว้แล้วว่าจะต้องเจอกับคําถามนี้

“ตอนนี้ผมมีรักษาตัวเองได้แล้ว แต่ผมจะไม่ทํา”

“ทําไมล่ะ?” นั่นเป็นคําตอบที่ไม่สมเหตุสมผลสําหรับเธอเลย เอลิน่าเริ่มกังวลว่าอาการบาดเจ็บจะส่งผลต่อจิตใจของลูกชายแล้ว

“เพราะเมื่อแม่กับพ่อจะตัดสินใจทําอะไรกับออพล ผมอยากให้ดูสิ่งที่เขาทํากับผมไว้!”

ลิธกรีดร้องกระอักเลือดออกมา เพราะแผลที่เปิดขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตั้งใจ

“ออพัลเกลียดผมมาตลอด! และจะตลอดไป! ต่อให้ผมจะช่วยงานบ้าน หรือฟื้นฟูสุขภาพของแม่ได้ เขาก็ยังคงเกลียดผม เขาไม่สนใจว่าผมจะเอาเหยื่อมาวางบนโต๊ะมากเท่าไหร่ หรือหาเงินเข้าบ้านได้เท่าไหร่ เพราะมันไม่เคยพอสําหรับเขา!” ลิธยังคงกรีดร้องและร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ผมมันเป็นลูกชายที่แย่ เป็นน้องชายที่ห่วยแตกจนสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้หรอ?” ลิธกอดเธอด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แล้วมองออกไป

เอลิน่าจนคําพูด แต่แล้วทันใดนั้น เธอก็กอดลูกชายแน่นขึ้น อุ้มขึ้นมาแล้วพากลับบ้าน จากนั้นเธอก็พาทั้งครอบครัวตรงไปยังบ้านเซเลีย เพื่อให้พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตนเอง ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินไป เธอไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับลูกๆได้ เมื่อออพัลเห็นลิธ เขาก็ตกใจหน้าซีดราวกับเห็นผี เอลิน่าจงใจไม่เรียกชื่อเขา และถ้าหากดวงตาสามารถฆ่าคนได้ เขามั่นใจมากว่าเธอคงจะฆ่าเขาไปตั้งแต่เดินออกจากบ้านแล้ว

“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? ไอ้พวกโง่นั่นก็รู้แผนกันดีนี่! แค่ให้ลงมือสั่งสอนมัน ให้รู้จักเคารพและนอบน้อมลงสักหน่อยเท่านั้น และที่สําคัญที่สุดคือต้องบังคับให้มันหุบปากซะ! ตอนนี้พ่อแม่ที่โง่เง่าของฉันจะไม่ปล่อยให้ฉันได้ฟังเรื่องไร้สาระของมันจนจบแน่”

แต่เมื่อมองเห็นเลือดทั้งหมดที่อยู่บนพื้น พร้อมกับเพื่อนๆที่ยังอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกราวกับชีวิตกําลังพังทลายลง

ทันทีที่เอลิน่าปล่อยลิธ ราซก็เข้าไป กอดเขาก่อนจะดูสภาพร่างกายอย่างคร่าวๆ หลังจากนั้นก็หันไปมองทั่วทั้งห้อง และจําเด็กทั้งห้าคนนี้ได้อย่างง่ายดาย

“เรน่า ไปเรียกพ่อแม่ของเด็กทั้งห้าคนนี้มาพาทิสต้าไปด้วยนะ พ่อไม่อยากให้เธอมาได้ยินสิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้” สีหน้าของราซกลับดูซีดขาวยิ่งกว่าออพัลอีก เขากําหมัดแน่นจนเลือดไหลออกมา

เอลิน่ากระซิบเขาเพียงสามคําเท่านั้นหลังจากที่กลับมากับลิธ “ออพัลทํา”

ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อว่าหนึ่งในลูกๆที่ เขารักจะทําอะไรแบบนี้ได้ แต่ความจริงก็ปรากฏแล้ว มันช่างเลวร้ายและสยดสยองเหลือเกินในสายตาเขา ไม่มีใครอื่นนอกจากคนในครอบครัวที่รู้ว่าลิธ ทํางานให้เซเลีย และไม่มีใครอื่นแล้วที่รู้วันเวลาที่ลิธจะอยู่คนเดียวในบ้านเซเลีย อีกทั้งยังมีความจริงที่เจ็บปวดและไม่อาจโต้แย้งได้เลย ก็คือไม่มีใครอื่นแล้ว นอกจากออฟัลที่ไม่พอใจลธได้มากถึงขนาดนี้

ลิธแทบไม่รู้จักใครเลยนอกจากคนใน ครอบครัวและเพื่อนสนิทของพี่ๆ ลิธทํางานหนักมาตลอดก็เพื่อช่วยเหลือครอบครัว โดยเฉพาะทิสต้า ทําให้เขาไม่มีเวลาไปเล่นกับเพื่อนหรือมีศัตรูเลย
ความคิดเหล่านี้แทบกระชากหัวใจออกจากอกเขา แต่เขาต้องรู้จากปากให้ได้

“แกทําหรือเปล่า?” ราซจ้องตาออพัล

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง เผยให้เห็นว่าราซพยายามปฏิเสธความจริงอย่างหนัก พร้อมๆกับพยายามหาคําอธิบายอื่นๆที่เป็นไปได้ แต่กลับไม่มีเลย

“แก แกทําอย่างงี้กับน้องชายตัวเองได้ยังไง?” น้ําตาของผู้เป็นพ่อกําลังหลั่งไหล

“พ่อ ผมสาบานได้ มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะ! ผมอธิบายได้?” ออพัลพยายามจะหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผล

“ยังมีอะไรให้อธิบายอีก?!?” ราซคํารามด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เด็กพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนแกหรอไง?”

“ก็ใช่ แต่…”

“ไม่ใช่แกหรอ ที่บอกให้พวกเขาทําอะไร ไม่ใช่แกหรอ ที่เป็นคนวางแผนเรื่องเวลากับสถานที่เพื่อทําร้ายลิธ ทําให้น้องถูกทุบตีจนเกือบตาย ในนามของพระเจ้า แกจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้มายังไง?”

“ก็เพราะว่านั่นไม่ใช่แผนไงพ่อ! พวกเขาไม่ฟังผมเหมือนกับพ่อไง! พ่อไม่เคยฟังสิ่งที่ผมพูด! พ่อไม่เคยปล่อยให้ผมมีทางเลือก เอาแต่เข้าข้างไอ้ปลิงดูดเลือดกับไอ้ง่อยนั่น พ่อไม่เคยเข้าข้างผมเลย! ไม่เคยเลย!”

“แกจะบอกว่าเด็กพวกนั้นลักพาตัวลิธไปงั้นเรอะ? นี่คือคําอธิบายของแกใช่ไหม?!?” ราซไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“หรือแกหมายความว่าการลอบทําร้าย และทุบตีน้องชายของแก ซึ่งเป็นลูกชายของพ่อ ยังไงก็ไม่เป็นไรใช่ไหม ตราบใดที่เด็กพวกนั้นลงมือแค่พอประมาณน่ะ?” เขายกหมัดขึ้นมา อยากจะให้ออพัลได้ลิ้มรสความเจ็บปวดนี้ดูบ้าง แต่เอลิน่าก็มาห้ามไว้

“พอเถอะ วันนี้มีเลือดมากเกินไปแล้ว อย่าทําเลยนะ จะเป็นการทําร้ายตัวคุณเองเปล่าๆ เขามันเกินเยียวยาแล้ว” เอลน่าเองก็ร้องไห้เช่นกัน แต่สีหน้ากับน้ําเสียงของเธอช่างเย็นชานัก เธอตัดสินใจแล้ว

ราซไม่อาจยืนต่อไปได้อีกแล้ว เขาทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้และร้องไห้

“คุณพูดถูก ที่รัก ผมนับได้ไม่ถ้วนเลย

กับการพยายามสอนให้เขาเข้าใจว่า ความเคารพเป็นสิ่งที่ลูกต้องให้ก่อนที่จะ รับจากผู้อื่น สอนว่าเราสองคนเป็นพ่อแม่เขา ไม่ใช่เพื่อนเขา เราสองคนหวังว่าเด็กๆจะเข้าใจความผิดพลาดของตนเอง ไม่ใช่ยิ่งได้ใจ ผมพยายามสอนเขาให้รู้ว่าพี่น้องไม่ใช่ทาสรับใช้อํานาจของคนอยู่ในความรับผิดชอบที่แบกรับอยู่ ไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่เป็นอยู่ ผมรู้ว่าผมไม่ใช่พ่อที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทําดีที่สุด เท่าที่จะทําได้แล้ว ผมไม่รู้จะทํายังไงกับเขาแล้ว เอลิน่า…” ราซปาดน้ําตา และรอคําพูดสนับสนุนจากภรรยา

“ฉันเห็นด้วยค่ะ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังดูไม่สํานึกผิดเลย เขาไม่เคยรักน้องชาย เอาแต่ขโมยอาหาร และเรียกชื่อปลิง(Leech)ตั้งแต่ก่อนที่ลิธจะเดินได้เสียอีก เขาไม่เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ในสิ่งที่ลิธทําได้ ฉันเชื่อว่าถ้าเรายังปล่อยเขาไป สักวันมันก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นลิธ ก็ต้องเป็นทิสต้า และฉันจะไม่ปล่อยให้เขาทําร้ายครอบครัวของเราอีกต่อไปแล้ว”

เธอจับมือราซไว้แน่น เพื่อควาน หาความแข็งแกร่งที่ต้องการ

“ฉันคิดว่าเราควรตัดขาดจากเขานะคะ เอาชื่อเขาออกแล้วรายงานไปยังทหารก องหนุนของหมู่บ้าน พร้อมๆกับผู้สมรู้ร่วมคิด ด้วยข้อหาพยายามฆ่า”

“ขอบคุณนะที่รัก” ราซไม่ร้องไห้อีก เขาตัดสินใจได้แล้ว

“ไม่คิดเลยว่าจะมีแรงพูดมันออกมา”

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset