Supreme Magus – ตอนที่ 24 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

แจ้งข้อผิดพลาดในการอ่านนิยายเสียง

ตอนที่ 24 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

สําหรับลิธแล้วมันกลับกลายเป็นวันที่แย่ที่สุดของปี เขาถูกบังคับให้ต้องอยู่นอกบ้านตลอดช่วงบ่าย ซึ่งรายล้อมไปด้วยคนแปลกหน้า ไม่มีความเป็นส่วนตัวตลอดช่วงเทศกาล

ทุกครอบครัวในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่องานฉลอง โดยทิ้งปัญหาและความทุกข์ในแต่ละวันไป เพราะท่านเคาท์ลาร์คได้จ่ายเงินค่าของตกแต่งทุกอย่างรวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งเขาจะมีส่วนร่วมในงานทั้งหมดเพื่อรักษาสายสัมพันธ์กับชุมชนให้แน่นแฟ้นและเพื่อรักษาชื่อเสียงในฐานะลอร์ดผู้ทรงธรรมอีกด้วย เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของเขาเป็นแค่ชายไร้ตัวตนผู้เก็บภาษีและทําให้ชีวิตของผู้คนยากแค้นยิ่งขึ้น

งานเทศกาลจะแบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงเช้าจะเป็นเวลาทํางานเหมือนปกติ เพื่อให้พ่อค้าและคนจัดงานมีเวลาจัดเตรียมสิ่งของและสินค้าต่างๆ

ช่วงเย็น ครอบครัวต่างๆจะมารวมตัวกันรอบๆอัฒจันทร์ แล้วซื้อเครื่องประดับต่างๆ เพื่อเป็นสิ้นเดิมก่อนแต่งของลูกสาว

อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเรียกน้ําย่อยเช่น ผลไม้และผักสด บาร์บีคิวเนื้อต่างๆ รวมไปถึงอาหารแปลกๆหลายอย่างอีกด้วย เคาท์ดาร์คเองก็ใช้โอกาสนี้ซื้อปลาน้ําเค็มกับอาหารทะเลมาอีกด้วย เครื่องดื่มมีเพียงน้ําเปล่ากับไลท์เบียร์เท่านั้น

หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว จะมีการจุดเตาถ่านกับคบเพลิงทั่วทั้งหมู่บ้าน ใน ชณะที่คนงานของเคาท์ลาร์คเตรียมเวทีสําหรับงานหลักของเทศกาล นั่นก็คือการประกวดสาวงาม หญิงสาวที่มีอายุสิบห้าถึงสิบหกปีทุกคนสามารถเข้าร่วมการประกวดนี้ได้ ซึ่งเป็นเหมือนกับการเปิดตัวสาวๆมากกว่าประกวดสาวงามเสียอีก

เป็นโอกาสอันดีสําหรับสาวงามที่ถึงวัยแต่งงานทุกคนที่จะได้อวดโฉมงามของตน โดยหวังจะได้รับความสนใจจากคู่ครองให้ได้มากที่สุด ผู้ตัดสินการประกวดสาวงามก็มักจะเป็นคนเดิมๆ ก็คือ เคาท์ลาร์ค หัวหน้าหมู่บ้านและนานา

หลังจากการประกวด ก็จะมีการเสิร์ฟอาหารหลักออกมา โดยมีเนื้อย่างต่างๆ ซุป และผลไม้เคลือบคาราเมล มีทั้งไวน์บริสุทธิ์กับไวน์ผสมน้ําเพื่อยกระดับความสนุกสนานในตอนท้ายของงาน

ช่วงสุดท้ายของงาน จะมีการสนับสนุนให้เหล่าชายโสดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้ เข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสาวงามในเทศกาล

แต่ละช่วงของงานมีผลต่ออารมณ์ของลิธแตกต่างกันไป ช่วงแรกนั้นทําให้ลิธเกิดความเบื่อหน่ายอย่างสุดขีด ยังดีที่เขาได้รับอนุญาติให้อยู่คนเดียวได้ ช่วงที่สองเปรียบเหมือนโดนทรมานเลยล่ะ เขาโดนบังคับให้อยู่แต่บนบ่า มองดูเด็กสาวกลุ่มเล็กๆที่เขาไม่สนใจอยู่เป็นชั่วโมง ช่วงที่สามกลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ก็มีระยะเวลาสั้นที่สุดอีกด้วย หลังจากเต้นระบํากันไปสักพัก พ่อแม่ของเขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะอยู่จนจบงาน ท้ายที่สุดก็พากันกลับบ้าน เนื่องจากลูกๆของพวกเขายังไม่ถึงวัยแต่งงาน จึงไม่มีความจําเป็นต้องอยู่ในงานเทศกาลต่อไปอีก

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่ลิธมีเงินเก็บ เขาจึงไปดูเกมต่างๆที่มีรางวัลใหญ่ๆ(นึกภาพ เกมในงานวัด)

“ในเมื่อพวกมันโกง ฉันก็จะโกงด้วย มาเล่นกันแบบยุติธรรมเถอะ”

เขาเล่นเกมต่างๆแล้วเอาชนะมาได้ด้วยเวทย์วิญญาณ เกมโยนห่วงด้วยห่วงที่ไม่สมดุล ได้รางวัลเป็นตุ๊กตาหมีแสนสวยให้ทิสต้า เกมยิงหน้าไม่ได้หวีเคลือบเงินให้เรน่า ที่เขาต้องทําคือใช้เวทย์วิญญาณสองสาย หนึ่งคือนาลูกดอกไปยังเป้า อีกหนึ่งคือบังคับให้เป้าแตก สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เขาได้ริบบิ้นไหมสําหรับแม่ด้วยเกมกงล้อเสี่ยงโชค

เหล่าคนจัดงานต่างตกตะลึง แต่การจะรังแกเด็กต่อหน้าชาวบ้านเป็นจํานวนมากก็ไม่ใช่เรื่อง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเคาท์ลาร์คที่อาจจะทุบตีเขาไปทั้งชีวิตแล้วยังแบนการออกงานในประเทศลสเตรียอย่างถาวรอีกด้วย

พวกเขาเริ่มจับตาดูลิธ แต่เขาก็ไม่โลภเกิน หลังจากได้รับรางวัลมาสามอย่าง เขาก็อยากได้อะไรสักอย่างเพื่อให้ราซด้วย แต่ในงานล้วนมีแต่ของสําหรับผู้หญิง ซึ่งพวกคนจัดงานหวังจะหลอกล่อเด็กหนุ่มให้เสียเงินโดยพยายามสร้างความประทับใจให้เด็กสาวด้วยของขวัญราคาแพงที่ไม่อาจจ่ายได้หากไม่พนัน

หลังจากที่ลิธให้ของขวัญกันหมดแล้ว เขาก็เริ่มมองหานานา เขาอยากคุยเรื่องเวทมนตร์กับผู้เชี่ยวชาญสักหน่อย และพบว่าเธอกําลังนั่งเก้าอี้ใกล้ๆบ้านเธอเอง

สิ่งแรกที่เขาทําก็คือ ตามหาเธอด้วย Life Vision มานาที่กาลังไหลเวียนอยู่ของเธอมากมายกว่าลิธมาก แต่พลังชีวิตกลับอ่อนแอกว่าทิสต้า นานาเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าหกสิบปี แต่เธอกลับดูแก่ราวกับแม่เฒ่าอายุแปดสิบปีเสียอีก หลังค่อมจนต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตอนเดิน ดวงตาสีเทาคมกริบ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น จมูกกลมโต เธอมักจะสวมผ้าคลุมศีรษะเพื่อปกปิดและรวบผมหงอกยาวไว้ระหว่างทํางาน

เมื่อมองครั้งแรกเธอดูเหมือนหญิงชราที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่กลับสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเธอ

“เธอคงต้องมีชีวิตล่าบากยากเข็ญเป็นแน่” โซลัสออกความเห็น

“สวัสดีครับ นานา สบายดีไหมครับ?” ลิธเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ

“สวัสดี อิมป์ตัวน้อย เธอโตไวมากเลยนะ” นานาเห็นเหมือนกับที่เอลิน่าเห็นในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมาทิสต้ากับลิธโตขึ้นและผอมเพรียวกว่าคนอื่นๆ เรน่าเองก็เกิดกา รเปลี่ยนแปลงด้วย หลังจากที่ได้รับการรักษาของลิธ

ตอนนี้เขาสูงมากกว่า 1.1 เมตรแล้ว ไหล่กว้างอย่างกับนักเล่นโปโลน้ํา

ลิธพยักหน้าตอบกลับนานาแล้วเอ่ยถาม “ครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”

“ตราบใดที่ไม่ได้ถามเกี่ยวกับอายของฉัน ก็ถามได้เลย ตามสบาย” นานาหัวเราะ
เบาๆ

“นานา คุณเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งใช่ไหมครับ?”

เธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อเจอกับคาถามที่ไม่เหมือนเด็กถาม

“ใช่แล้วล่ะ เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก เคยได้รับทุนจากสถาบัน Lightning Griffon อันทรงเกียรติ และฉันก็จบการศึกษามาได้อย่างราบรื่น” นานายืดตัวขึ้นเอ่ยตอบด้วยความภูมิใจ ระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเธอ

“แล้วทําไมคุณถึงมาลงเอยเป็นผู้รักษาในเมืองลูเทียล่ะครับ?”

“ช่างมีมารยาทเหลือเกินนะ ลิธ!” โซลัสดุขึ้นมา

“เด็กๆมักจะทําตัวหยาบคายได้ มันคือสิทธิพิเศษ

จากนั้นอารมณ์ของนานาก็เริ่มมัวหม่น

“ลิธ เธอเองก็เห็นว่าในโลกนี้มีสามัญชน, ขุนนางและนักเวทย์ นักเวทย์ที่แข็งแกร่งจะมีสถานะเทียบเท่ากับขุนนางขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ของคนคนนั้น”

“ตอนนั้นฉันแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ใช่อัจฉริยะ น่าเศร้าที่ฉันเองก็โง่และไร้เดียงสาเกินไป ฉันเลยทําผิดพลาดและลงเอยด้วยการอยู่คนเดียว ไม่มีใครคอยหนุนหลัง ฉัน มีเพียงสองทางเลือก คือ ยอมจํานนต่อขุนนางผู้มีอํานาจ หรืออยู่อย่างอิสระด้วยสถานะของผู้รักษา เธอคิดว่าฉันเลือกอะไรล่ะ?”

ลิธเองก็เริ่มหดหูด้วยเช่นกัน การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหลังจากที่ทุ่มเทพยายามอย่างหนัก ท่าให้อนาคตของเขาดูน่ากลัวกว่าเดิมอีก

“เอาน่า เด็กน้อย!” นานาเอ่ยทักด้วยความสดใส

“อย่าให้เรื่องของฉันทําเสียบรรยากาศไปเลย ไปสนุกกับงานเทศกาลเถอะ”

หลังจากที่ปล่อยให้นานาอยู่คนเดียว ลิธก็นึกถึงคําพูดทักทายของเธอ ที่บอกว่าเขาโตขึ้น เขาหยุดอยู่หน้ากระจกมองดูเงาสะท้อนของตนเอง และทําได้เพียงถอนหายใจออกมา

“ไม่ว่าฉันจะขับสิ่งสกปรกออกไปมากแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนยนตัวเองได้ ฉันได้รับยีนมาจากพ่อมากไป ส่วนจากแม่ก็ได้มาน้อยไป”

“เมื่อมาเห็นตัวเองตอนกําลังครุ่นคิด แทนที่จะดูเท่ ดันเหมือนเด็กโรคจิตที่หนีออกจากสถานพินิจ ถ้ายิ้มขึ้นมาก็จะเห็นฟันที่หายไปหลายซี่ ฉันไม่มีความน่ารักเอาเสียเลย และถึงแม้ว่าจะแต่งตัวเต็มที่ ฉันก็ดูไม่ต่างจากเด็กข้างถนนจากนิยายของดิคเก้น
เลย”

โซลสพยายามให้กําลังใจเขา แต่กลับไม่เป็นผลเลย

ต่อมาในช่วงเย็น เคาท์ลาร์คได้แนะนําแขกผู้มีเกียรติให้กับผู้อาวุโสหมู่บ้าน

“หัวหน้ายูร็อค นักปราชญ์นานา ผมขอแนะนํา ริคเกอร์ เทรฮาน บุตรชายของเพื่อนรัก หนุ่มน้อยคนนี้ยังเป็นนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์อีกด้วย ในอนาคตเขาจะต้องนําาความรุ่งโรจน์มาสู่ประเทศของเราได้

เคาท์ลาร์คเป็นคนคลั่งไคล้เวทมนต์ พยายามสนับสนุนและอุปถัมภ์เด็กๆที่มีแววภายในดินแดนของเขาอยู่เสมอ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หัวหน้าหมู่บ้านคํานับเขาด้วยความสุภาพ และคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือมาหรืออย่างน้อยก็คํานับกลับบ้าง
แต่ริคเกอร์กลับมองไปรอบๆแทน แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก

“อืม ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา

“ริคเกอร์ มีมารยาทหน่อยสิ” เคาท์ลาร์คตาหนิเขาเล็กน้อย

“ปราชญ์นานาเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังและมีชื่อเสียงในอดีต ขอคําแนะนําจากเธอได้เลยนะ ประสบการณ์ของเธอมีค่ามาก และมีประโยชในระหว่างการเรียนของเธออีกด้วย”

“ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ท่านลอร์ด” ริคเกอร์โค้งคํานับแล้ว แต่กลับคํานับให้กับเคาท์ดาร์คเสียอย่างนั้น

นานาเคยเห็นขุนนางมามากพอจนรู้จักคนประเภทนี้ นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่และหยิ่งยโส ถูกปรนเปรอจนคิดว่ามีเพียงขุนนางเท่านั้นที่จะประสบความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ได้

ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็กัดฟันกรอดที่ได้เห็นผู้อาวุโสถูกดูหมิ่นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ทําได้เพียงซุบซิบกันด้วยความโกรธ

“โฮะๆๆ ท่านได้ตัวท่านที่กล้าหาญมาอีกคนหนึ่งแล้วนะคะ ท่านลาร์คที่รัก” นานาหัวเราะขึ้นมา แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเจือปนในนั้นเลย

ริคเกอร์ถึงกับตัวสั่น เมื่อไม่ได้รับความเคารพยายแก่นี่เรียกท่านเคาท์ด้วยชื่อแรกโดยไม่ให้เกียรติกันเลย แต่เขาเองก็รู้ว่าลาร์คเป็นไอ้โง่สําหรับเหล่านักเวทย์ และเมื่อพิจารณาเธอแล้วเขาก็ยอมให้ยายแก่ทําเช่นนั้นได้

“เขาควรได้รับความภูมิใจอยู่แล้ว นานาที่รัก ปีหน้าเขาก็จะอายุสิบสองและจะได้รับทุนจากสถาบันศึกษา Lightning Griffon ด้วยโชคเล็กๆน้อยๆ เขาจะลงเรียนเหมือนกับคุณในวันนั้นด้วย!”

ริคเกอร์ไม่อาจห้ามความประหลาดใจได้ เขาขมวดคิ้วมองไปยังนานาทันที

“บ้าน่า สามัญชนอย่างเธอจะเข้าเรียนได้ยังไงกัน?” เขาคิดในใจ “เธอต้องโกงแน่ๆ”

“จริงหรอ?” นานาตอบกลับด้วยความกระตือรือล้นเกินจริง

“ทําไมคุณไม่ขอให้เขาแสดงความสามารถออกมาให้ดูล่ะ?”
เคาท์ลาร์คตอบรับด้วยความยินดี จากนั้นเขาก็ขอให้ตั้งตอไม้สูงหนึ่งเมตรโดยมีหัวผักกาดตั้งอยู่ด้วยริคเกอร์ต้องอยู่ห่างจากมันอย่างน้อย 10 เมตร แล้วทําให้มันหล่นลงมาให้ได้

นี่ถือเป็นบททดสอบพื้นฐานมากๆสําหรับคนที่จะเป็นนักเวทย์ เป็นบททดสอบที่ใช้เพื่อกําจัดผู้สมัครที่ไม่คู่ควรได้อย่างรวดเร็ว

มีเพียงผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงถึงจะใช้เวทย์พื้นฐานในระยะห่างเช่นนั้นได้ สําหรับคนทั่วไป ระยะของเวทมนตร์จะอยู่ที่หนึ่งหรือสองเมตรเท่านั้น

หากต้องการเรียนเวทย์ที่อยู่นอกเหนือจากเวทย์พื้นฐาน ก็ต้องลงเรียนในสถาบัน ศึกษา หรือซื่อตาราที่มีราคาสูงมาก

“หนุ่มน้อย ทําให้เต็มที่เลย!” เสียงของเคาท์ลาร์คเต็มไปด้วยความกระตือรือล้น ริคเกอร์เคยทําแบบทดสอบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่เป็นตอนที่เขาอยู่คนเดียวเสมอ

ครั้งนี้มีสามัญชนมากมายรายล้อม หวังจะเห็นเขาทําพลาดจะได้เยาะเย้ยเขาได้เต็มที่

เคาท์ลาร์คกดดันเขาอย่างหนัก ในสายตาของริคเกอร์ นี่ไม่ใช่การทดสอบง่ายๆ แต่เป็นเรื่องความเป็นตายเลยทีเดียว

เมื่อมีสายตานับไม่ถ้วนกําลังจับจ้องมอง เขาถึงกับเสียสมาธิ มือไม้ปั่นป่วนและร่ายคาถาอย่างตะกุกตะกัก

เขาสร้างลูกไฟขนาดใหญ่เท่าผลเชสนัท ซึ่งมันเกือบจะไม่โดนหัวผักกาด แต่ด้วยการระเบิดเล็กๆหัวผักกาดนั้นก็ล้มลง ไม่มีใครปรบมือยกเว้นเคาท์ลาร์ค

“แค่นั้นเองหรอ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน

นานาค่อยๆเดินไปที่ผักแล้วหยิบมันขึ้นมาให้เคาท์ตรวจสอบ

“เขาทําท่าร่ายผิดไปสองสามท่า ร่ายคาถาตะกุกตะกัก แล้วยังยิงไม่โดนหัวผักกาดเลย แต่มันล้มลงได้ก็เพราะแรงระเบิดเท่านั้น” นานาพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงเย็นชา

“ฉันจะไม่คาดหวังอะไรอีก ลาร์ค ตอนฉันอายุเท่าเขา ฉันสามารถโจมตีเป้าหมายได้จริง โดยไม่ต้องทําสัญญาณมือหรือร่ายเวทย์เลย พวกเขายอมรับฉันเพราะเวทมนตร์ของฉันไร้เสียงอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ” นานาพูดกับลาร์คแต่กลับมองริคเกอร์ด้วยสายตาดูถูก

“เอาน่า เขาก็ยังเด็กอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพาเขามาหาคุณไง ยังเหลืออีกหนึ่งปีในการเตรียมตัวเพื่อทําการทดสอบ ยังมีเวลาอีกมากในการแก้ไขความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆนั่น ผมหวังว่าคุณจะสอนเขาได้นะครับ”

“ฉันยินดีที่จะสอนค่ะ แต่แค่ผู้คนในหมู่บ้านกับลูกศิษย์ของฉัน ก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว ฉันแก่เกินกว่าจะดูแลเด็กสองคนได้ และลูกศิษย์ของฉันก็มีความสําคัญมากกว่า อย่างที่คุณรู้ค่ะ คําพูดของนักเวทย์เปรียบได้กับคําสัญญาของเขาเอง

“เดี๋ยวนะ คุณมีลูกศิษย์แล้วหรอ?” เคาท์ลาร์คตกใจที่ไม่มีใครบอกเรื่องใหญ่นี้กับ
เขาเลย

“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับริคเกอร์

“เขาหัดอ่านเขียนได้ตั้งแต่อายุสามขวบ แถมตอนนั้นเขายังใช้เวทย์พื้นฐานได้โดยไม่มีใครสอนอีกด้วย”

“เยี่ยมไปเลย!” ความตื่นเต้นของเคาท์ดาร์คถือเป็นการตบหน้าร์คเกอร์

“ใช่ เขาเองก็เป็นลูกศิษย์ของฉันด้วยเหมือนกัน” เซเลี้ยก้าวออกมาข้างหน้า ช่วยเติมเชื้อเพลิงลงกองไฟ เธอกับนานาต่างก็ไม่ชอบหน้ากัน แต่ระหว่างเธอกับไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้า เธอยอมช่วยปีศาจที่เธอรู้จักดีกว่า

“เขาล่าสัตว์ในป่าทรอนตั้งแต่อายุสี่ขวบ ถึงแม้จะล่าได้แค่ตัวบลิงเกอร์กับคริตเตอร์ ก็ตาม แต่เขาไม่เคยยิงเป้าเคลื่อนที่พลาดเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับหัวผักกาดที่เป็นเป้านิ่ง”

จากนั้นเธอก็กระซิบข้างหูเคาท์ว่า

“จริงๆแล้วคุณก็รู้จัก เพราะเขาให้ของบางอย่างกับคุณไป”

“โอ้! เยี่ยม! เยี่ยมอะไรอย่างนี้! แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้พบกับเขาล่ะ?” แว่นตาเลนส์ เดียวแทบจะหลุดจากเบ้าเพราะความสุขเกินเหตุ แต่ริคเกอร์โกรธจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว

“เขาไม่เห็นหรือไงว่าตัวเองกําลังโดนจูงจมูกอยู่น่ะ ทําไมคนอย่างท่านเคาท์ที่มีฐานะสูงส่งกลับเชื่อว่าพูดคนอื่นอย่างสามัญชนง่ายๆอย่างนี้”

“พวกเขาทั้งขี้โกหกขี้โกงเป็นสันดาน ไม่ต่างอะไรกับขยะที่พยายามก้มหัวให้ เพียงเพื่อให้พวกมันรู้สึกดีกับชีวิตอันน่าสมเพชของมันเอง!”

“ถ้ายายแก่เป็นนักเวทย์ ฉันก็เป็นองค์ชายสวมมงกุฎ ทําไมฉันต้องมาทนกับเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นด้วย? แล้วทําไมไอ้นักล่าตัวเหม็นนี้มาคุยกับท่านเคาท์อย่างสนิทสนมได้? ค่าคืนนี้คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ทําไมฉันถึงปล่อยให้พ่อพามาเปิดตัวในคอกหมูด้วยวะ?”

“เขาอยู่นี่แล้ว!” โบรมานตะโกนขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ แล้วลากจูงลิธให้เดินออกไป

ลิธผู้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขากําลังกินแอปเปิ้ลเคลือบคาราเมลอยู่กับครอบครัว แต่อยู่ๆโบรมานก็ปรากฏตัวขึ้นมา พูดพล่ามอะไรไม่รู้เกี่ยวกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของหมู่บ้าน แล้วก็ลากเขาออกไปทันที

ตอนนี้มีสายตาจับจ้องเขามากเกินไป สัญชาตญาณของลิธบอกได้ว่ามีบางอย่างผิ ดปกติ จึงตัดสินใจเล่นไปตามน้ําก่อน

“ท่านเคาท์ลาร์ค เป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้พบท่าน” ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็เข้าใจได้ ว่าร่างผอมสูงที่ใส่ชุดเวอร์วังอลังการกับแว่นตาเลนส์เดียว คือลอร์ดแห่งแผ่นดินนี้

ลิธทักทายเขาด้วยการใช้มือซ้ายหุ้มกําปั้นขวา แล้วโค้งคํานับ จากนั้นเขาก็ทักทายหัวหน้าหมู่บ้าน นานา และเซเลีย โดยก้มมากก้มน้อยขึ้นอยู่กับความเคารพที่ ควรจะเป็น

สุดท้ายเขาก็หันไปหาเด็กที่ดูป่วยซึ่งยืนข้างเคาท์ ดูๆไปแล้วน่าจะอายุประมาณสิบขวบ สูง 1.4 เมตร สวมเสื้อเชิตผ้าไหมสีขาว กางเกงหนังระดับสูง ใบหน้าเขาแดงก่าและชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดหรือไม่ก็ถูกงูพิษกัดไปแล้ว

ลิธไม่เข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้เลย แต่ในเมื่อไม่มีใครกังวลกับเด็กคนนี้ ลิธจึงทําในสิ่งที่ควรท่า

“สวัสดีครับ แขกผู้มีเกียรติ ผมหวังว่าคุณจะเพลิดเพลินไปกับการเยี่ยมชมหมู่บ้านของเรา” ลิธคารวะและโค้งค่านับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร และริคเกอร์เองก็ไม่มีแรงพอจะแนะนําตัวเองได้

ท่านเคาท์ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ข้างๆ

“โฮะๆๆๆ” นานาหัวเราะอย่างเบิกบานใจ

“ลาร์ค เห็นมารยาทนี้ไหม? นี่คือสิ่งที่เด็กหลายคนในปัจจุบันไม่มีกันเลย” ลิธมอง ไปที่คนนั้นที่คนนี้ที่ เพื่อรอคําอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“อยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” ลิธเอ่ยถามทุกคน
ริคเกอร์ต้องใช้พลังใจที่มีทั้งหมดเพื่อกดอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา

“นี่เหรอ อัจฉริยะของพวกเขา ไอ้เด็กฟันหลอเนี่ยนะ? ฉันน่าจะขอให้ท่านเคาท์สั่งเฆี่ยนคนพวกนั้นให้ตาย โทษฐานบังอาจมาโกหกหลอกลวง!”

“ใช่แล้ว ลิธ” เซเลียก้าวเข้ามาอีกครั้ง

“ท่านเคาท์ลาร์คชอบเวทมนตร์ทุกรูปแบบ และฉันก็เพิ่งบอกท่านไปว่าเธอฆ่าบลิงเกอร์ได้โดยไม่ทําลายขนของมันสักเส้น แสดงให้ท่านดูหน่อยได้ไหม?”

จากนั้นเธอก็เอาแท่งไม้ออกมา ชูขึ้นมาให้ทุกคนดู

ลิธพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“อะไรกันทั้งหมดนี่ก็แค่เรื่องเวทย์พื้นฐานนี่เองหรอ แทบจะหัวใจวายแล้ว แต่ถ้าให้ความบันเทิงกับขุนนางแล้วจะทําให้หมู่บ้านได้รับประโยชน์ ครอบครัวของฉันก็ได้ประโยชน์เหมือนกันสินะ”

“Brezza!” หลังจากเขาหมุนนิ้วชี้กับนิ้วกลางไปสองครั้ง ก็เกิดกระแสน้ําวนเล็กๆห่อ หุ้มแท่งไม้เอาไว้ ดูจากภายนอกก็เหมือนกับเวทย์ที่แม่บ้านใช้ทําความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจํา แต่ถ้าดูใกล้ๆแล้วจะเห็นได้ว่ามีกระแสน้ําวนอยู่สองกระแส อันหนึ่งหมุนตามเข็มนาฬิกากับอีกอันหมุนทวนเข็มนาฬิกา

ด้วยการใช้คาถาแบบนี้ ในจุดที่กระแสน้ําสองสายเชื่อมถึงกันทําให้แท่งไม้หักในทันที

ลิธคิดค้นมันขึ้นมาหลังจากที่เซเลียเริ่มจะซักไซ้เขาว่าฆ่าบลิงเกอร์ได้ยังไง เขาไม่อาจโชว์เวทย์วิญญาณให้เธอเห็นได้ จึงใช้เคล็ดลับนี้แทน

ริคเกอร์อยากจะตอกหน้าว่า ลิธยืนห่างแท่งไม่เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น แต่เขาก็รู้อีกว่า การจะใช้สองคาถาพร้อมๆกันมันยากเพียงใด

เขายังรู้อีกด้วยว่ายายแก่นั้นจะต้องท้าทายให้เขาทําอย่างเดียวกันด้วย แต่เขาทําไม่เป็นหรอก

นานาโบกมือแล้วชาวบ้านคนหนึ่งก็เอาหัวผักกาดวางไว้บนตอไม้

“ลิธ เด็กดี ช่วยทําให้มันหล่นที่”

ลิธเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แววตาของท่านเคาท์เป็นประกายวิบวับ มองเข ราวกับเป็นสัตว์ในตํานานที่จุติลงมาจากสวรรค์ ในขณะที่เด็กคนนั้นกลับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย? แล้วทําไมท่านเคาท์ถึงได้สนใจเวทมตร์กระจอกๆนี้กันแล้ว ท่าไมถึงไม่มีใครสนใจเด็กที่น่าสงสารคนนั้นเลย ไม่ว่าเขาจะดูแย่ลงเรื่อยๆแค่ไหนก็
ตาม”

ลธยักไหล่ก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า “Jorun!”

แท่งน้ําแข็งก็พุ่งไปปักตรงกลางหัวผักกาดนั้น ทําให้มันกลิ้งออกไปสองสามเมตร

“ไม่ใช้สัญญาณมือด้วย!” ท่านเคาท์อ้าปากค้าง เสียงเขาแผ่วเบาจนลิธไม่ได้ยิน

“เหลืออีกอย่างหนึ่งนะ ลิธที่รัก ถ้าเธอทําให้ยายแก่คนนี้พอใจได้ ฉันจะรักษาเธอกับครอบครัวให้ฟรีๆ จนกว่าเธอจะเริ่มฝึกกับฉัน ยินดีจะทําให้ฉันหัวเราะอีกครั้งไหม?”

ลิธตอบตกลงโดยไม่จําเป็นต้องคิดเลย ต่อให้เขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทิสต้าก็ยังต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง บางครั้งพวกเขาก็ต้องให้นานาช่วยรักษา ซึ่งนั้นไม่ใช่ราคาถูกๆเลย

นานายิ้มด้วยความมั่นใจ

“โบรมาน โยนหัวผักกาดขึ้นมาหนึ่งหัว โยนให้สูงที่สุดเลยนะ”

โบรมานเหวี่ยงหัวผักกาดแบบล็อบช็อต(เทคนิคการตีลูกโด่งในกีฬากอล์ฟ หรือเทนนิส) ทําให้มันลอยสูงไปประมาณสามเมตร เมื่อถึงจุดสูงสุด นานาก็ยื่นมือออกไปขยับนิ้วมือเพียงเล็กน้อย ตัดอากาศในแนวนอน ก่อให้เกิดแท่งน้ําแข็งเป็นสิบแท่ง แบ่งออกเป็นซ้ายขวา ข้างละห้า

เมื่อหัวผักกาดเริ่มร่วงหล่นลงมา นานาก็ตัดอากาศอีกทีเป็นแนวตั้ง ตัดแบ่งหัวผักกาดออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน จากนั้นเธอก็หงายมือขึ้น สร้างกระแสน้ําวนเล็กๆจํานวนสี่สายเพื่อนําหัวผักกาดทั้งสี่ชิ้นลงมาอย่างช้าๆ

“บ้าจริง! ไม่ใช่แค่การไหลเวียนของมานายังดีกว่าฉัน แม้แต่ระดับทักษะของเธอก็ยังเหนือกว่าที่คิดไว้มากนัก ฉันอาจจะทําตามได้ แต่คงต้องใช้ทั้งสองมือและทํามากกว่าแค่โบกมือไปมาเป็นแน่

“เข้าใจแล้วว่าทําไมทุกคนในหมู่บ้านถึงได้ยกย่องเธอขนาดนั้น และเธอเองก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทําให้หมู่บ้านลูเที่ยสงบสุขอีกด้วย ถ้าเธอทําสิ่งต่างๆด้วยเวทย์พื้นฐานได้มากมายขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเป็นเวทย์ที่แท้จริงจะทําอะไรได้ขนาดไหน” ลิธครุ่นคิด

“เอาล่ะ ตาเธอแล้ว โบรมาน! โยนอีกที” ทันใดนั้นหัวผักกาดอีกหัวก็ถูกโยนขึ้นมา

ลิธรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การแข่งขัน เขาไม่จําเป็นต้องทําได้ดีเท่านานา

กว่าเขาจะเห็นภาพตัวเองชัดเจนว่าจะต้องมีความสามารถขนาดไหนถึงจะเรียกว่าดี ต้องฉลาดแค่ไหนถึงจะเรียกว่าอัจฉริยะ และต้อง “เผามอนสเตอร์” ไปมากแค่ไหน ถึงจะปลอดภัย

เมื่อหัวผักกาดลอยขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ลิธก็ทําสัญญาณมือทั้งสองข้างพร้อมกับ ตะโกนว่า

“Jorun!” ปรากฎแท่งน้ําแข็งออกมาสี่แท่ง ข้างละสอง เมื่อหัวผักกาดเริ่มร่วงลงมาเขาก็ใช้ “Brezza” เพื่อผ่ามันแต่ไม่เท่ากัน จากนั้นก็สร้างกระแสน้ําวนขึ้นมาสองสาย น่าหัวผักกาดลงมา เมื่อสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าหัวผักกาดที่กําลังหมุนอย่างเรื่อยเปื่อยนั้นต่างหมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม

“ไหนๆก็ทําแล้ว ก็ทําให้ดีไปเลย พวกเขารู้อยู่แล้วว่าฉันท่าได้ ถ้าฉันต้องทําให้ ท่านเคาท์พอใจ ก็ต้องใส่ลูกเล่นให้มันดีกว่าเดิมหน่อย”

ทันใดนั้นฝูงชนต่างก็ปรบมือดังเกรียวกราว แม้แต่เคาท์ลาร์คที่ยังคงไม่เชื่อสาย ตาตัวเองก็ปรบมือขึ้นมาด้วยเช่นกัน

นานาให้ลิธกลับไปหาครอบครัว เพื่อให้เขามั่นใจว่าเธอจะทาตามข้อตกลงอย่างแน่นอน จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับริคเกอร์ เทรฮานอีกครั้งว่า

“หนุ่มน้อย นั่นคือสิ่งที่คนมีพรสวรรค์ในเวทมนตร์เขาเป็นกัน!”

ริคเกอร์ทําเป็นไม่ได้ยินเธอ แต่เมื่อย้อนกลับไปตอนที่นานาแสดงทักษะให้ดู เขาก็แทบล้มทั้งยืน ไม่อาจยอมรับได้ว่า เมื่อโตขึ้นเขาคงไม่ต่างอะไรกับคนขี้โม่ไปเลย

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset