Supreme Magus – ตอนที่ 32 Merits and Trust

นิยาย Supreme Magus ตอนที่ 32 Merits and Trust

ตอนที่ 32 Merits and Trust

สองปีผ่านไป ลิธมีอายุได้แปดขวบแล้ว ซึ่งในช่วงเวลาสองปีที่ผ่ามานเขาฝึกฝน เวทย์ในตําราของนานาได้ทั้งหมดจนเชี่ยวชาญแล้ว จึงทําให้เขาใช้เวทย์ขั้นสามได้ บ่อยๆ

ตาราสําหรับเวทย์ขั้นสูงกว่านี้มีราคาสูงมาก และนานาก็ไม่คิดจะซื้อมัน เธอมีกริมวร์เป็นของตนเองแล้ว ตาราที่เธอซื้อมาก่อนหน้านี้เป็นแค่การแสดงให้คนอื่นๆเห็น เท่านั้นว่า พวกเขาสามารถซื้อตําราอะไรได้บ้าง

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทักษะการใช้เวทย์เทียมของลิธก็เริ่มหยุดนิ่ง เพราะเขาได้ใช้ เวลาทั้งหมดไปกับการทําความเข้าใจในเวทมนตร์แท้ ซึ่งเขาก็ทําความเข้าใจได้ดี อย่างลึกซึ้งและถ่องแท้ อีกทั้งฝึกใช้เวทย์แท้ทุกวันในฐานะผู้รักษาฝึกควบคุมเวทย์ แสงและเวทย์มีดได้ดีจนกระทั่งได้รับทักษะที่สามารถกําจัดอาการป่วยเรื้อรังของที่ สต้าได้อย่างถาวร แต่ปัญหาก็คือ ถึงแม้ลิธจะทุ่มเทความพยายามไปทั้งหมดแกนมา นาก็ยังคงไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทําการรักษาที่เขาวางแผนไว้ได้

ที่ผ่านมาเขาได้ใช้การซึมซับ (Assimilation) ทุกครั้งที่ทําได้ ทําให้แกนมานาต้อง ผ่านการขยายและบีบอัดหลายรอบจนเปลี่ยนสีจากสีเขียวเข้มเป็นสีเขียวอ่อน แต่มันก็ ยังคงเป็นสีเขียวอยู่ดี อีกทั้งสิ่งสกปรกของลิธยังไปไม่ถึงแกนมานา จึงไม่ก่อให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพกับมานาและร่างกายของเขานั้นเอง เขามาถึงจุดคอ ขวดแล้ว และไม่รู้ว่าจะทะลวงจุดนี้อย่างไรดี

โซลัสเองก็เปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกัน เธอสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากก้อนหิน สามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้โดยที่มวลยังคงเท่าเดิม นั่นทําให้โซ ลัสกลายเป็นแหวนหินที่ราบเรียบอยู่ที่นิ้วกลางข้างขวาของลิธ

เมื่อเธอเอ่ยถามเขาว่าทําไมต้องสวมแหวนที่นิ้วกลางขวา ลิธก็ตอบเธอด้วยกลอน สั้นๆที่เอ่ยถึงแหวนสีเขียวที่ทรงพลัง มันเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่เขาชื่นชอบในวัยเด็ กนั่นเอง (Green Lantern Power Ring)

นอกจากนี้แล้วโซลัสก็มีฟังก์ชันใหม่อีกด้วย ซึ่งลิธเรียกว่า โซลัสพีเดีย เป็นกระเป่ามิติอีกหนึ่งมิติ แต่สร้างขึ้นมาเพื่อเก็บตําราและคลังความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะเท่านั้น ตําราทุกเล่มที่เขาเก็บไว้ในโซลสพีเดีย เขาสามารถใช้เนื้อหาในตารานั้นได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเก็บกริมัวร์ไว้ในกระเป๋ามิติ ลิธก็ไม่ต้องท่องจําคร่ายเวทย์และสัญญาณมือเพื่อร่ายเวทย์เทียมอีกต่อไปแล้ว

ลิธยังคงต้องฝึกการออกเสียงและสัญญาณมืออยู่แต่เขาเพียงแค่คิดถึงสิ่งที่เขาต้อ งจําได้ทุกอย่างไปจนถึงรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกันกับความรู้และความทรงทําเกี่ยวกับแผนที่, สมุนไพรและสัตว์อสูรต่างๆ

เขาได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่หาได้จากการเป็นผู้รักษา ให้กับครอบครัว ทําให้พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น และมีเงินเก็บสําหรับสินเดิมของเรน่ากับทิสต้า

ส่วนตัวลิธเอง เขาเก็บเงินไว้สําหรับการซื้อตาราที่มีรายละเอียดและข้อสรุปที่ดีที่สุดที่หาได้ของแต่ละเรื่องและมีประโยช์เพื่อเก็บไว้ในโซลัสพีเดีย เช่น กฎหมาย, คุณ สมบัติผู้ดีในราชสํานัก และรวมถึงคําศัพท์ต่างๆในราชสํานักอีกด้วย

ตราบใดที่ตาราเหล่านั้นอยู่ในโซลัสพีเดีย เขาก็จะรู้ข้อมูลทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุ โปร่ง นั่นทําให้ลิธรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เขาสามารถซื้อสิ่งของที่ใกล้จะผุพัง แตกสลายได้ง่ายมาเก็บไว้และยังใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆอีกด้วย พวกมันเหมือนกันกับกระเป๋ามิติที่สามารถหยุดเวลาและทําให้มันคงอยู่ได้ตลอดไป

หลังจากที่หน้าหนาวในปีที่แปดจบลง ลิธก็ได้รับการติดต่อจากเคาท์ลาร์คผ่านเครื่องรางสื่อสารของนานา นั่นทําให้รู้สึกประหลาดใจเพราะเคาท์ลาร์คไม่เคยติดต่อเขามาก่อนเลย แต่ลิธเคยผ่านการสัมภาษณ์งานและการวีดีโอคอลในโปรแกรม Discort และ Skope ในโลกก่อนหน้ามามากมาย ทําให้เขาคุ้นเคยดีกับการสื่อสารชนิดนี้ ลิธ โค้งคํานับพร้อมกับเอามือป้องกาปั้นเพื่อทําความเคารพอีกฝ่าย

“ลิธที่รัก เธอสุภาพตลอดเลย ไม่จําเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรขนาดนั้น เราต่างก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว” เคาท์ลาร์คมีนิสัยร่าเริงและเป็นมิตรมากทําให้เขาดูเหมือนกับลงที่เรียกเขาว่าหลานชายมากกว่าจะเป็นลอร์ดเสียอีก

“ท่านเคาท์ลาร์ค มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ?” ลิธมองไปยังนานาที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเพื่อขอความเห็นชอบ เธอพยักหน้าตอบกลับขณะจ้องมองไปยังภาพโฮโลแกรมของเคาท์

“เธอสะสมแต้มเมอริท(Merit)ได้พอสมควรแล้ว ฉันอยากรู้ว่าเธอมีแผนจะใช้มัน บ้างหรือเปล่า” เมอริทคือสิ่งที่ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการสร้างความสงบสุขให้กับ อาณาจักรจะได้รับและสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิพิเศษหรือสินค้าได้

นักโทษอาจจะได้รับการลดโทษด้วยการรับใช้ทหารและได้รับเมอริท ชาวนาอาจจะได้ที่ดินเพิ่มมาฟรีๆ และนักวิชาการก็อาจจะได้รับการแนะนําเพื่อทํางานในราชสํานักได้

“เมอริทหรอครับ?” ลิธอึ้งไป “ผมยังไม่ได้ทําอะไรเลยนะครับ”

“ตรงกันข้ามเลยล่ะ ลิธ ทุกๆปีฉันได้รับจดหมายยกย่องจากชาวนาและครอบครัวมาเป็นร้อยฉบับ ทั้งหมดล้วนกล่าวถึงผลงานอันโดดเด่นของเธอในฐานะผู้รักษา”

ตั้งแต่ลิธเริ่มเก็บค่ารักษากับชาวนาเพียงครึ่งราคา พวกเขาก็จะรอให้นานาออกไป จากหมู่บ้านก่อนจะเข้าไปรับการรักษา ซึ่งนานาเองก็รู้และไม่ได้ใส่ใจมากนัก พวกเขา ยังคงเรียกเธอในกรณีฉุกเฉินและค่าธรรมเนียมในการรักษาที่บ้านก็ถือว่ามากพอที่ ชดเชยรายได้ที่เธอเสียไป

“แค่จดหมายหนึ่งฉบับก็ทําให้ได้รับเมอริทหรอครับ?” ลิธเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความ สงสัย

“จดหมายหนึ่งฉบับ ไม่สิ เป็นสิบเป็นร้อยฉบับล้วนเอ่ยถึงคนคนเดียวกันเป็นเวลานาน เธอมีอะไรที่อยากจะให้อาณาจักรแห่งนี้ช่วยเหลือเธอหรือเปล่า?”

ลิธครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อเข้าไปดูตารากฎหมายในโซลัสพีเดีย ยิ่งมีที่ดินมากก็ยิ่งมี การฆ่าตัวตายมากขึ้น ครอบครัวของเขายากจนเกินไปจึงไม่อาจไปจ้างใครให้มาช่วย เหลือได้

ถึงแม้อาณาจักรไม่อาจแลกเปลี่ยนเมอริทเป็นเงิน แต่ลิธก็ยังได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเป็น การตอบแทนได้

“ผมจะขอให้ครอบครัวผมได้รับการยกเว้นภาษีในปีนี้ได้หรือเปล่าครับ?”

ทันทีที่เคาท์ลาร์คได้ยินก็ถึงกับทําแว่นเลนส์เดียวหล่นและอ้าปากค้างด้วยความ ตกใจ

“ภาษีเรอะ? ครอบครัวเธอยังจ่ายภาษีอยู่อีกหรอ?”

“ใช่แล้วครับ พวกผมยังเป็นพลเมืองที่เคารพกฎหมายอยู่ ท่านเจ้าเมือง” ลิธดูสับสนพอๆกับเคาท์ลาร์ค แต่เขายังคงตีหน้าซื่อทําหน้าเป็นอยู่

“ฉันจะถลกหนังไอ้นักบัญชีนั่นทั้งเป็น!” เคาท์ลาร์คลุกยืนขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่า

“ฉันบอกให้ไอ้โง่นั่นยกเว้นภาษีครอบครัวเธอตั้งแต่ที่ท่านหญิงเนเรียรับเธอมา แล้ว! ฉันสาบานต่อพระเจ้าเลยว่าจะไล่มันออกไปด้วยประวัติการทํางานแย่ๆ มันจะได้ไม่มีวันหางานได้อีก”

ลิธพยายามจะทําให้เคาท์ลาร์คใจเย็นลง

“เพื่อเป็นการดีที่สุด ผมอยากจะได้รับการยกเว้นภาษีแลกกับเมอริทที่ผมมีดีกว่า ได้รับการยกเว้นภาษีเพราะการฝึกเวทมนตร์”

เคาท์ลาร์คหย่อนตัวลงเก้าอี้ด้วยสีหน้างุนงง

“ทําไมล่ะ? ผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน และเธอก็ยังเก็บเมอริทเอาไว้ใช้ในอนาคตได้อีก”

“ถึงมันจะดูเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันครับ” ลิธอธิบาย

“ถ้าครอบครัวของผมได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ช้าก็เร็วจะมีคนออกมาเรียกร้องว่า ทำไมพวกผมถึงได้รับการยกเว้นภาษี ถ้าเป็นเพราะสถานะของผม มันคงดูเป็นสิทธิพิเศษที่ไม่เป็นธรรมสําหรับพวกเขา”

“นั่นจะเป็นการเพาะสร้างความอิจฉาริษยาก่อเกิดเป็นความแค้นขึ้นมาได้ และถือว่า เป็นมลพิษทางอารมณ์สําหรับชุมชนเล็กๆนี้ การได้รับความช่วยเหลือการสนับสนุน จากเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่งในการทําฟาร์ม และผมเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ ไปตลอดอีกด้วย”

“ถ้าผมได้รับการยกเว้นภาษีเพราะเมอริทของผมเอง นั่นจะทําให้ชุมชนยอมรับใน ตัวผมและทําสิ่งต่างๆตอบแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทําให้พวกเขารู้สึกมีความสุขและป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกแย่ๆกับผมได้อีกด้วย”

ขณะที่ลิธกําลังอธิบาย เขาก็ร่าร้องอยู่ในใจด้วยความยินดี ดีใจที่ตนเองซื้อต่าราคา ศัพท์มา

“ในที่สุดฉันก็พูดได้เหมือนตอนอยู่ในโลกเก่า ที่ผ่านมาการพูดจาผิดๆถูกๆนี่มันทําให้ขัดใจเหลือเกิน”

“เวทมนตร์นี่ช่างมีศิลปะสูงส่งเหลือเกิน” เคาท์ลาร์คพยักหน้าเห็นด้วย

“มีเพียงนักเวทย์เท่านั้นที่ฉลาดได้ขนาดนี้ทั้งที่อายุยังน้อย ฉันรู้สึกประทับใจจริงๆ”

“ลูกมังกรก็ถือว่าเป็นมังกรอยู่ดี” นานาพูดเสริมขึ้นมา

“เด็กน้อยคนนี้ไม่เพียงแต่ฉลาดเกินวัยเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ด้านเวทย์แสงด้วย ตอนนี้เขาสามารถสร้างเวทย์แสงเป็นของตนเองได้แล้ว”

“ทักษะของลิธในฐานะผู้รักษาเกือบจะเทียบเท่าฉันในวัยเดียวกันกับเขา และยังสร้างเวทย์ที่เสริมความงามให้กับพี่สาวของเขาได้อีกด้วย ตลอดทั้งชีวิตฉันไม่เคยเห็นใครที่ผิวสวยที่สุดเท่าพี่สาวของเขาแล้ว และขอให้เรื่องนี้รู้กันแค่เราเท่านั้นนะ”

ลิธยิ้มรับพลางพยักหน้า แต่ในใจกลัวแทบตายแล้ว นานาดูเหมือนจะมองทะลุทุก อย่างที่เขาแสร้งทําขึ้นมา

“โอ้ วิเศษมาก! ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” เคาท์ลาร์คลุกยืนขึ้นมาด้วยความดีใจ แว่นตา เลนส์เดียวร่วงลงมาอีกครั้งแล้ว

“ขอบคุณที่ไว้วางใจนะ ลิธ ฉันจะทําทุกวิถีทางเพื่อเก็บความลับนี้ไว้เอง!”

หลังจากที่วางสายไป ลิธก็จ้องนานา ไม่อาจะเอ่ยถามออกไปดังๆได้ แต่เธอกลับหัวเราะโฮะๆตามปกติ

“ไม่ต้องตกใจไป ฉันก็เป็นนักเวทย์เหมือนกันนะ ตอนที่คนไข้ของเธอกลับมาเพื่อขอความคิดเห็นที่สอง หลังจากที่พวกเขาอธิบายอาการบาดเจ็บแล้ว ฉันก็ค้นพบว่า บาดแผลพวกนี้ดูจะเกินความสามารถของเธอไปหน่อย สําหรับแม่กับพี่สาวเธอก็ท่า เกินตัวไปด้วยนะ อิมพ์ตัวน้อย ไม่ว่าเธอจะทําอะไรลงไป พวกเขาดูงดงามเกินไป ฉัน ขอชมเชยเธอนะที่ทําให้พวกเขาค่อยๆงดงามขึ้นมาตามกาลเวลา แต่ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ หรือสงสัยในเวทมนตร์นี้ละก็..

“ท่านเคาท์ก็เช่นเดียวกัน เขาน่าจะสังเกตเห็นได้จากการที่เรน่าเข้าร่วมการประกวดสาวงามฤดูใบไม้ผลิเป็นคนแรก และทิสต้าในปีถัดมา หรือเธอคิดว่าเขาจะมีตาแต่ไร้แวว? จะเป็นการดีกว่าถ้าจะบอกเขาเช่นนี้ ลาร์คเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นขุนนางที่ดี ที่สุดที่ฉันเคยเจอมาก่อน”

“ถ้าเขารู้สึกว่าเธอไว้ใจเขา เขาจะทําทุกทางเพื่อเก็บความลับนี้ไว้ แถมเธอยังคงเป็นสัตว์เลี้ยงแสนล้ําค่าสําหรับเขาด้วย และฉันเองก็คิดว่าต่อจากไปนี้ เคาท์ดาร์คคงจะยอมเสี่ยงเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลงทุนกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อีกด้วย”

ลิธรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนี้

“อาจารย์ครับ แต่อาจารย์ไม่ไว้ใจใครเลยใช่ไหม?”

นานาแค่นเสียงใส่

“กระทั่งฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อใจตัวเองเลย นอกจากนี้ฉันยังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ สูงสุดโดยลําพังมาตลอด”

ลิธโค้งค่านับให้พร้อมกับป้องก่าปั้น

“อาจารย์ ศิษย์ขอขอบคุณสําหรับคําชี้แนะและความช่วยเหลือต่างๆ ผมจะจดจําคํา พูดของอาจารย์ให้ขึ้นใจ”

หลายวันต่อมา ลิธไม่อาจหยุดโทษตัวเองเรื่องที่ทําพลาดไปอย่างโง่งม

“บัดซบ! อวดเก่งแล้วเป็นไง! ฉันต้องเลิกคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดที่สุดสักที ฉันไม่อาจพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้อีกแล้ว ในระยะยาวมันจะกลายเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ การมีอาจารย์ที่ชอบเหน็บแนมเจ็บแสบเช่นนี้ช่างเป็นพรแฝงจริงๆ”

“พวกเราเหมือนกับเม็ดถั่วสองเม็ดในฝึกเดียวกัน เธอยังคงจับไต่ฉันไม่ได้ และฉันก็แค่ต้องเก็บความลับเหล่านั้นเอาไว้ การมีเธออยู่ข้างๆจะช่วยให้ฉันเติบโตในฐานะ นักเวทย์ได้ และเธอก็จะปกป้องฉันจากความผิดพลาดอันโง่เขลาในเวลาเดียวกันได้ดี กด้วย”

นอกจากนั้นครอบครัวของลิธก็ได้รับการยกเว้นภาษีรายปีเพราะเมอริทของเขาเอง และเหล่าเพื่อนบ้านก็ยินดีและมีความสุขตามที่เขาได้สันนิษฐานไว้ ต้องขอบคุณคน เหล่านั้นที่ทําให้เกิดเรื่องดีๆเช่นนี้ขึ้นมาได้

ในวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่แสนเชื่องช้ในบ้านของนานา ทันใดนั้นก็มีนายพรานสองคนบุกเข้ามา และแบกนายพรานอีกสองคนไว้บนบ่า ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเลือด

“มันคือสัตว์เวทย์!” นายพรานที่นําหน้าอยู่ตะโกนขึ้นมา

“สัตว์เวทย์มันกําลังอาละวาดไปทั่วป่าทรอน! ได้โปรด ช่วยรักษาคนของผมด้วย สัตว์ร้ายตัวนั้นแทบจะฉีกร่างพวกเขาขาดแล้ว”

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset