The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 693-694

DND.693 – สวมกอด
“นี่เจ้า”
ท่าทางแม่ทัพฮงหยูเปลี่ยนไปความชิงชังและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า
แม้เขาจะไม่เคยเห็นซือหยูแม้สักครั้งแต่เขาก็รู้ดีว่าพิษของม้าเมฆาคือเหตุที่ทัพทมิฬได้สูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้
ทัพทมิฬเริ่มลังเลความหวาดกลัวเขียนอยู่บนใบหน้าเมื่อพวกเขามองซือหยู ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองชายหนุ่มกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าภูติระดับสองที่เพิ่งจะสังหารไป
เหล่าทัพของอาณาจักรทมิฬและเหล่าจ้าวแห่งความมืดตกตะลึง…
ทำไมทัพทมิฬถึงหวาดกลัวซือหยูกัน?
สี่ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วมองซือหยูเห็นได้ชัดว่าฐานพลังของซือหยูนั้นต่ำกว่าที่เขาคาดไว้มาก
“เป็นแค่พลังจิตวิญญาณของเขาเท่านั้นรึที่เหนือกว่าคนอื่น?”
สี่ศักดิ์สิทธิ์โล่งใจที่เห็นว่าซือหยูมีฐานพลังที่ต่ำมากและไม่ควรค่าให้เขาสนใจด้วยซ้ำ
“ชายคนนี้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่บ้างระวังด้วย”
สี่ศักดิ์สิทธิ์เตือน
ดวงตาของเหล่าจ้าวแห่งความมืดลุกวาวพวกเขาตาเป็นประกาย
“ซือหยู…ข้าหมายถึง…เจ้าพันธมิตรซือพวกข้าขอฝากด้วย”
จ้าวหนึ่งรับมือกับสี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังทั้งหมดที่มีขณะที่มองซือหยูเขาแอบส่งสัญญาณกับจ้าวคนอื่น
จ้าวแห่งความมืดคนอื่นใจสั่นและแอบโทรจิตกัน
“จะดีรึที่ให้เจ้าพันธมิตรซือที่เดินทางมาไกลเพื่อช่วยพวกเรารับมือกับสิ่งเหล่านี้แล้วหนีไปน่ะ?”
จ้าวสองขมวดคิ้วเบาๆ
เหล่าจ้าวแห่งความมืดอยู่ร่วมกันมาหลายปีเพียงมองตาก็รู้ใจ ดังนั้นพวกเขาจึงบอกได้เพียงแค่มองว่าแต่ละคนคิดอ่านอย่างไร
เขาบอกเหล่าจ้าวแห่งความมืดว่าซือหยูเป็นเหตุให้ทัพทมิฬหนีมาถึงก้นบึ้งมังกรและพวกเขาก็เสียความได้เปรียบไปหมดแล้วเมื่อสี่ศักดิ์สิทธิ์มาถึง เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ดังนั้นการสู้ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ตายเปล่า
แต่ซือหยูมาที่นี่แล้วเขาอาจจะพอรับมือทัพทมิฬได้บ้าง พวกเขาจะมีโอกาสร่วมมือกันจู่โจมเหล่าภูติและหนีไปได้ แต่ซือหยูมาร่วมสงครามเพื่อช่วยเหลือพวกเขา การทิ้งซือหยูก็ไม่ต่างจากการกัดมือผู้ที่ให้อาหาร
“อย่าลังเลซือหยูมันอ่อนแอ ถึงเขาจะมีวิธีทำให้พวกทัพทมิฬหวาดกลัว แต่มันก็ไม่มากพอกับสงครามนี้หรอก เราอย่าพลาดโอกาสหนี ข้าเชื่อว่าคนภายนอกที่รู้เรื่องนี้จะไม่โทษพวกเรา”
จ้าวหนึ่งส่งโทรจิตอย่างรีบร้อน
เขาพูดต่อ
“อย่ามัวเสียเวลาแค่หนีไปก็พอ พอหนีไปแล้วข้าจะหาโอกาสหนีเหมือนกัน ส่วนซือหยู ข้าจะขอบคุณเขากับเรื่องนี้แม้หลังจากที่เขาตายไปแล้ว ข้าจะดูแลพันธมิตรผู้คุมสวรรค์แทนเขาเอง”
ความละอายและความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าของจ้าวแห่งความมืดทุกคนแต่พวกเขาก็กำหมัดถอนหายใจ พวกเขาตัดสินใจทำตามจ้าวหนึ่ง
ซือหยูมองทัพทมิฬอยู่ชั่วครู่เขาละสายตาไปมองกรงขังที่อยู่ข้างหลัง
“ยังมันมันก็แค่คนเดียว มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
แม่ทัพฮงหยูตะโกน
ซือหยูผู้ไร้อารมณ์ถือธนูสีเงินและก้าวไปข้างหน้าเขาพูดอย่างเยือกเย็น
“ถ้าไม่อยากตายก็หลีกทางไปซะ”
เหล่าพลธนูที่เตรียมพร้อมเริ่มลังเลและมองชายผมสีเงินที่กำลังใกล้เข้ามาพวกเขาหวาดกลัวเพราะศรพลังชีวิตของธนูสีเงินที่เต็มไปด้วยพิษม้าเมฆา
ทัพทมิฬได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวดและโหดร้ายมันสอนให้พวกเขารับฟังคำสั่งดั่งทหาร พวกเขาไม่เคยละเลยคำสั่งของแม่ทัพฮงหยูเลยสักครั้ง แต่มันกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้!
แม่ทัพฮงหยูโกรธแค้นและตะโกน
“ใครที่ขัดคำสั่งจะต้องตาย”
เขายกกระบี่ขึ้นตัดหัวพลธนูที่อยู่ใกล้เขาที่สุด
พอได้เห็นดังนั้นเหล่าทหารทัพทมิฬเริ่มกลับมาได้สติ เหล่าพลธนูเริ่มยิงซือหยู
ซือหยูดึงสายธนูอย่างเยือกเย็นและพูดเบาๆ
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้วนะ…”
พรึ่บ!
เพลิงขาวเผาไหม้ในดวงตาของซือหยูเหล่าพลธนูที่ยกธนูขึ้นมากรีดร้องอย่างทุกข์ทนมาน ดวงตาของพวกเขาหม่นแสงลงไปพร้อมกับชีวิต พวกมันตายหมด!
นี่คือเพลิงวิญญาณของกบแก้วเพลิงเนตรขาว!แค่กระพริบตาก็ฆ่าพลธนูไปมากกว่าสิบคน! เหล่าพลธนูที่เหลือไม่กล้าจะทำอะไรอีก
ซือหยูเริ่มยิงศรพลังชีวิตอีกครั้งเสียงระเบิดดังก้อง พิษม้าเมฆากระจายออก มันสังหารคนหลายสิบคนไปพร้อมกับพลธนูทั้งหมดของทัพทมิฬ
“พลหอกจัดการมัน!”
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพฮงหยูได้ต่อสู้กับซือหยูโดยตรง
เขาเคยคิดว่าซือหยูเพียงแค่เชี่ยวชาญในการวางอุบายและมีเล่ห์เหลี่ยมที่ยากจะแข่งขันแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังของซือหยูคนเดียวจะมากมายเช่นนี้!
พลธนูที่เหลืออยู่สามสิบคนถูกซือหยูฆ่าตายหมดแล้วเหลือพลหอกอีกเพียงแค่ร้อยคน เหล่าพลหอกลังเลเมื่อได้ฟังคำสั่ง ความหวาดกลัวเอ่อล้นในใจเมื่อมองใบหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็งของซือหยู
“ไปให้พ้น!”
ซือหยูก้าวไปข้างหน้าและตะโกน
เหล่าพลหอกจิตใจแตกสลายเมื่อได้เห็นซือหยูสังหารพลธนูเมื่อครู่ก่อนพวกเขาละเลยคำสั่งของฮงหยูเมื่อซือหยูใกล้เข้ามา แม้แต่คนที่ยังมีใจสู้ก็สิ้นหวัง
พวกเขาสลายตัวหลีกทางให้กับซือหยูครู่ก่อน ทัพทมิฬต่อสู้อย่างดุร้ายกับทัพอาณาจักรทมิฬ แต่ตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้จะโต้ตอบ
แม่ทัพฮงหยูไม่พอใจอย่างมาก
“ทุกคนที่ขัดคำสั่งจะต้องถูกประหาร”
เปรี๊ยะ!
สายฟ้าปรากฏห่างจากเขาเพียงเอื้อมมือแขนข้างหนึ่งที่มีเส้นโลหิตสีทองได้ยื่นออกมา แม่ทัพฮงหยูที่ไม่ทันระวังตะโกนขึ้นมา
“นี่มันเลี่ยงสายฟ้า!”
ร่างของซือหยูที่ห่างจากเขาอยากมากเริ่มจางหายไปและปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแม่ทัพฮงหยูปล่อยหมัดทั้งสองข้างเข้าใส่ด้วยความตกใจ
เขาเป็นภูติระดับหนึ่งพลังกายของเขาควรจะไม่อ่อนแอไปกว่าซือหยู เขาควรจะป้องกันตัวจากซือหยูได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้หายใจ แสงสีทองก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของซือหยู มันเร็วจนเขามองตามไม่ทัน
แม่ทัพฮงหยูใจเต้นอย่างรุนแรงเขาพยายามจะหนี เขารีบตะโกน
“ช่วยข้าด้วย”
แผละ!
เสียงตะโกนของเขาแทนที่ด้วยเสียงกรีดเนื้อในไม่นานกระบี่ทองเจาะทะลวงหัวใจของเขาไปพร้อมกับชีวิต ก่อนตาย เขาเห็นสายฟ้ารอบกายซือหยูและสีหน้าไม่แยแสของเขา
“ถ้าไม่มีทัพทมิฬเจ้ามันก็ได้แค่นี้”
คำพูดของซือหยูดังก้องอยู่ในใจนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินในชีวิตนี้
ทหารทัพทมิฬที่เหลือหวาดกลัวอย่างหนักแม่ทัพของพวกเขาเพิ่งจะถูกสังหาร
“พวกเจ้าจะกลับจิวโจวหรืออยากตายอยู่ที่นี่?”
ซือหยูมองเหล่าพลหอกอย่างเยือกเย็น
เหล่าพลหอกร้อยคนนี้มีอำนาจทำลายล้างมหาซาลพวกเขากำจัดกองทัพของอาณาจักรใดก็ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ลังเลไม่นานพวกเขาทุกคนล้วนกระจัดกระจายแยกออกไป บางคนพุ่งไปหาห้าศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่มีไม่กี่คนที่เลือกกลับจิวโจว แต่ก็มีคนที่ไปรอบๆสี่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อหลบสายตาเยือกเย็นของซือหยู
ตอนนั้นเองซือหยูยิงศรพลังอีกหลายดอกด้วยธนูสีเงิน เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังอย่างไร้ที่มา เพราะร่างของพวกเขากลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
“เจ้าหนูกล้าดียังไง?”
ห้าศักดิ์สิทธิ์มิอาจเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกึ่งภูติกระจอกที่มีแก้วพลังสามดวงเกือบจะฆ่าทัพทมิฬจนตายหมด! แม้แต่แม่ทัพก็ตายเพราะเขา!
แววตาของเหล่าจ้าวแห่งความมืดเปลี่ยนไปพวกเขาพยักหน้าและเหลือบมองกันและกัน
“เจ้าพันธมิตรซือโปรดไล่ล่าพวกทหารทัพทมิฬต่อไป อาณาจักรทมิฬจะตอบแทนที่ท่านช่วยพวกเราในวันนี้อย่างดี”
จ้าวสองพูดเสียงดัง
เหล่าจ้าวแห่งความมืดอยู่ใกล้กับทหารของพวกเขาแล้วแค่คำสั่งเดียวก็จะทำให้พวกเขามีโอกาสหนี ส่วนซือหยูจะถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ เขาคงจะถูกสังหารโดยบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
แต่ซือหยูไม่แม้แต่ชายตามองเหล่าคนของอาณาจักรทมิฬเขาก้าวไปยังกรงขังและตอบอย่างไม่แยแส
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเข้าใจผิดนะข้ามาที่นี่เพื่อช่วยจ้าวคณะวิหคเพลิง ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะอยู่หรือตาย”
เขาอัดหมัดใส่กรงเหล็กจนแตกเป็นเสี่ยงๆกรงเหล็กนี้มีผนึกมากมายวางเอาไว้ เหล่าสตรีที่อยู่ภายในมิอาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภายนอก พวกนางตกใจเมื่อกรงขังถูกเปิดออก
พวกนางตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าคนที่ปรากฏหาใช่คนของศัตรูอย่างที่คาดแต่กลับเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียว!
“ซือหยู!”
จ้าวคณะวิหคเพลิงและหญิงสาวงดงามอีกเก้าคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
จ้าวคณะวิหคเพลิงกระพริบตาไม่หยุดนางรู้สึกราวกับเห็นภาพลวงตา
“เจ้าคือซือหยูจริงๆรึ?”
จ้าวคณะวิหคเพลิงตัวสั่นอย่างแรงนางไม่คิดว่าคนที่มาเพื่อช่วยนางจะเป็นซือหยู!
ซือหยูรับตัวจ้าววิหคเพลิงขึ้นมานางยังคงงดงามมิเสื่อมคลาย นางสง่างามกว่าสตรีทั่วไป
และดูเหมือนว่านางจะยังไม่ถูกพวกศัตรูทำมิดีมิร้ายซือหยูโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่งง
“หนีไปจากที่นี่ก่อนคุยกันเถอะ”
ซือหยูดึงมือนางไปกับเขาและบินจากไป
เหล่าสตรีวิหคเพลิงทั้งเก้าต่างไล่ตามซือหยูไปด้วยพวกนางบินออกมาด้วยความยินดีและหัวเราะเบาๆเมื่อมองซือหยูกับจ้าวคณะวิหคเพลิงที่อยู่เคียงคู่กัน
“ซือหยูเจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าจะทิ้งพวกข้าไปเฉยๆงั้นเรอะ?”
จ้าวหนึ่งเบิกตาโพลงเขาลืมตัวจนหยุดเรียกซือหยูว่าเจ้าพันธมิตรและเรียกชื่อเขาตรงๆ
ซือหยูหันไปมองเขาอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่เคยพูดสักครั้งว่ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกเจ้า!หึ แล้วเจ้าไม่รู้รึว่าพวกเจ้าวางแผนอะไรอยู่? ข้าเห็นคนอย่างพวกเจ้ามามากนัก แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นคนที่โสมมอย่างพวกเจ้าเท่าไหร่นัก! เจ็ดจ้าวก็แค่พวกตาขาว จะเป็นตายอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของข้า!”
ซือหยูเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาหมดแล้วไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของเขา
“นี่เจ้า…”
จ้าวหนึ่งทั้งโกรธแค้นและอับอาย
เขาไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมองแผนของเขาออกและยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นว่าซือหยูไม่ได้สนใจเขาเลย เขานำเหล่าสตรีและหนีไป!
เมื่อผ่านไปไม่นานในน่านฟ้าเหนือก้นบึ้งมังกร
“ท่านจ้าวคณะพาพวกนางไปกับท่าน คณะวิหคเพลิงถูกปกป้องจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของข้า ท่านไปลี้ภัยที่นั่น”
ซือหยูปล่อยมือนางกลิ่นอันหอมหวานของนางยังคงอบอวลรอบกายเขา
จ้าวคณะวิหคเพลิงแก้มแดงระเรื่อนางกลัวว่าความสัมพันธ์ของนางจะถูกเหล่าศิษย์มองออกเพราะนางถูกเขาจับมือมาจนถึงเมื่อครู่
“ทำไมเจ้าไม่หนีไปกับพวกเราล่ะ?”
จ้าวคณะวิหคเพลิงถาม
“พวกเจ็ดจ้าวรับมือไม่ได้นานแน่”
ซือหยูส่ายหน้าเมื่อมองรอบๆเขาถอนหายใจเบาๆ
“ดินแดนเฉินหลงกำลังถูกฟื้นคืนกลับมาแต่รอยแยกมิติของก้นบึ้งมังกรยังไม่ปิดลง พวกเราเสียสละคนไปมากเหลือเกิน เราจะต้องไม่ให้โอกาสพวกมันกลับมาอีก ข้าต้องไปปิดรอยแตกมิตินั่น”
“แล้วเจ้าจะกลับมาไหม?”
จ้าวคณะขมริมฝีปากด้วยความเป็นห่วง
นางอยากจะหยุดเขาแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะนางในตอนนี้มิอาจมองเห็นฐานพลังของซือหยู ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานะปัจจุบันของเขาหรือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
“ใช่แล้วข้ามีพันธะกับเหล่าโลหิตที่อาบธรณีและเหล่าคนที่ต่อสู้ พวกเขายังนอนตายตาไม่หลับ”
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจเห็นแก่ตัวได้ในขณะที่ทวีปต้องประสบพบเจอกับการทำลายล้าง
จ้าวคณะครุ่นคิดนางมองเหล่าศิษย์ของนาง
“หนีไปโดยไม่ต้องมีข้า”
ศิษย์ทั้งเก้าโค้งให้นางและทำตามคำสั่งพวกนางยิ้มมองหน้ากันไปมา พวกนางปิดปากด้วยมือและบินจากไป
เมื่อพวกนางไปไกลแล้วจ้าวคณะวิหคเพลิงขมริมฝีปากที่แดงดั่งกลีบกุหลาบ ใบหน้าของนางแดงราวกับหญิงสาวที่กำลังได้พบคนรัก นางเข้าสวมกอดอำลาซือหยู
“เจ้าต้องกลับมานะ…”
นางพูดเบาๆก่อนจะผละตัวออกจากซือหยู
จากนั้นนางจึงบินหนีไปโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้สักครั้งนางกลัวว่าถ้าหันไปแล้วจะทนไม่ได้ที่จะกลับมาหาเขา
ซือหยูมองนางจนลับสายตาจากนั้นจึงกลับไปที่ก้นบึ้งมังกร
DND.694 – หนึ่งต่อสาม
ทันทีที่ซือหยูกลับมาที่ก้นบึ้งมังกรเขาได้พบกับวายุลมอันรุนแรง เขาจ้องมองไปยังด้านหน้าและเห็นกลุ่มคนกำลังปะทะกัน
จ้าวสองกับจ้าวหกกำลังหนีด้วยทัพทหารพวกเขาหลายคนกำลังช่วยพยุงกันหนี ทหารบางคนมีร่างที่เต็มไปด้วยโลหิต
มีคนหนึ่งที่ท้องเปิดกว้างโลหิตไหลออกมาไม่หยุดหย่อน ส่วนด้านหลังก็มาทหารหลายร้อยคนจากต่างโลกที่ไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด
“จ้าวแห่งความมืดสูงสุดอย่างเจ้าไม่ลังเลก่อนจะทิ้งชีวิตคนของตัวเองด้วยซ้ำ!”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่ากองทัพบนกลางอากาศเขาดูสบายใจอย่างมากและยิ้มเหยียดหยาม
หลังจากที่ซือหยูหนีไปจ้าวหนึ่งเลือกที่จะทิ้งจ้าวสี่และห้าในจังหวะสุดท้าย พร้อมกันเขายังเลือกใช้กระบวนท่าอันตรายต่อสี่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะทำให้เขาตายได้ แต่วิธีนั้นก็ทำให้เขารอดมาจากดงทัพศัตรูได้จนถึงตอนนี้
แม้กระนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็แทบจะไม่เป็นอะไร ส่วนเขาเองเกือบถูกฆ่าตาย! แม้เขาจะเป็นภูติระดับหก แต่จ้าวหนึ่งก็สู้สี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย!
ใบหน้าจ้าวหนึ่งซีดราวกับผีจ้าวหนึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำถากถางจากด้านหลัง เพราะอย่างไรเขาก็ยินดีแม้จะต้องสละชีวิตของราชาแห่งความมืด แล้วทำไมเขาจะไม่ทำแบบเดียวกันกับพวกซือหยูแล้วจ้าวแห่งความมืดคนอื่นเล่า?
จ้าวหนึ่งใบหน้าแสดงความชิงชังเมื่อคิดถึงซือหยูไอ้เด็กนั่นพังทุกอย่าง!
ซูม
เสียงกรีดนภาดังขึ้นเขาคือซือหยูที่กลับมาหลังจากหนีออกไป
“ดูเหมือนเจ้าจะดูมีคุณธรรมดีตอนสละชีวิตคนอื่นแต่พอบาดเจ็บเสียหน่อย เจ้ากลับโทษคนอื่นรึ? พวกเจ้าเป็นแค่ตัวตลกสำหรับข้าจริงๆ…”
ซือหยูหัวเราะเหยียดหยาม
การกระทำของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบันทำให้ซือหยูหมดความนับถือในตัวพวกเขาบางทีคนเหล่านี้อาจจะคุ้นเคยกับการลอบทำลายชีวิตคนอื่นกับการปกครองทวีปมายาวนาน แต่ซือหยูก็มิอาจยอมรับได้
“ยังมีหน้ากลับมาอีกเรอะ?กองทัพข้าสูญเสียหนักก็เพราะเจ้า! จ้าวแห่งความมืดโดนฆ่าไปสองคน เราไม่มีพลังจะต่อสู้กับพวกมันอีกแล้ว เจ้าจะพูดอะไรอีก เจ้ามันแกะดำของเฉินหลง!”
จ้าวหนึ่งกระอักเลือดด้วยความโกรธแค้น
ซือหยูหัวเราะ
“ไอ้งูพิษเอ้ย!”
“ไม่ต้องห่วงเฉินหลงไม่ได้ต้องการคนอย่างเจ้าให้ปกป้อง ข้าจะผิดหรือไม่ก็ไม่ได้ตัดสินโดยเจ้า ยุคสมัยจะพูดแทนเจ้าเอง!”
ซือหยูหุบยิ้มเขาหันไปมองผู้ไล่ล่าที่กำลังมาถึง
สี่ศักดิ์สิทธิ์แปลกใจ
“น่าสนใจนักข้าเคยคิดจะใช้เวลามองดูเจ้าในเฉินหลง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกลับมาเองแบบนี้”
ห้าศักดิ์สิทธิ์หกศักดิ์สิทธิ์ และเก้าศักดิ์สิทธิ์มองซือหยูด้วยสายตาเยือกเย็น
เก้าศักดิ์สิทธิ์แปลกใจเป็นที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าที่เขาเคยคิดไล่ล่าให้ตายได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดทัพใหญ่ของจิวโจว
“ใช่มันก็น่าสนใจอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเจ้าเลือกถอยตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ากลับไป แต่ถ้าพวกเจ้ายังคิดจะบุกเฉินหลงต่อไปก็อย่ามาโทษที่ข้าไร้ปรานี…”
ซือหยูพูดราวกับเพิ่งจะตัดสินใจครั้งใหญ่
เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์และคนจากตำหนักเจ็ดจ้าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงคำพูดอันร้ายกาจของซือหยูมันเกินความจริงไปแล้ว!
ตามที่ซือหยูพูดเขาจะไม่ร่วมมือกับเหล่าเจ็ดจ้าวที่เหลือ แต่…เขาจะเอาชนะพวกจิวโจวด้วยตัวคนเดียวได้ยังไงกัน?
ตามข่าวลือพลังของเขาที่มีนั้นต่อสู้กับหกศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น น่าแปลกสำหรับพวกเขาที่ซือหยูดูมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ใจสั่นไหวเมื่อเห็นความมั่นใจบนใบหน้าของเขา
“ฮ่าๆๆๆ…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์หัวเราะเสียงดังดูเหมือนว่าซือหยูจะทำให้เขาสนใจหรือไม่ก็ทำเป็นตัวตลกต่อหน้าเขา
“ไม่คิดเลยว่าที่บ้านนอกแบบนี้จะมีคนหยาบคายแบบนี้อยู่ด้วย!ย่อมได้ ข้าไม่สนแล้วว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่ลมปากเจ้าพล่ามมาหรือไม่ แต่เพราะเจ้า ข้าจะให้โอกาสคนของเจ้าได้รอดชีวิต!”
น้ำเสียงของสี่ศักดิ์สิทธิ์ดูอบอุ่นขึ้น
โอกาสได้รอดชีวิตรึ?จ้าวหนึ่งตาเป็นประกาย
จ้าวหนึ่งกับกลุ่มของพวกเขาไม่มีโอกาสรอดอีกแล้วในตอนนี้คงจะยากแม้จะให้คนเดียวมีชีวิตรอด และเมื่อโอกาสรอดเสนอมาตรงหน้า พวกเขาต้องรับมันไว้อย่างแน่นอน!
จ้าวหนึ่งมองซ้ายขวาไปหาจ้าวที่เหลือสองคนเขาพยักหน้าช้าๆและยอมรับ
“ก็ได้ข้ายอมร…”
แต่ก่อนที่จ้าวหนึ่งจะพูดจบสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็หัวเราะออกมา
“ข้าถามเจ้ารึ?ข้าจะบั่นคอเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ที่ข้าต้องการ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า?”
พร้อมกันนั้นเขายังหันไปหาซือหยูด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องการคำตอบของเจ้า”
จ้าวหนึ่งใบหน้าหมองมัวเขาโมโหแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไร
“บอกข้า…เจ้าคิดเช่นไรอยู่?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็นเขาไม่สนใจใบหน้าอัปลักษณ์จากเหล่าจ้าวแห่งความมืดที่กำลังมองเขา
สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบ
“มีคนจากต่างโลกของข้ามากมายนักข้าอยากจะรู้ว่าใครคือคนที่แกร่งที่สุดในเฉินหลง เริ่มจากตอนนี้ พวกเจ้าจะต้องสู้กันเอง! มีแค่สิบคนเท่านั้นที่จะรอดไปได้ ข้าเป็นคนรักษาคำพูด สิบคนที่มีชีวิตรอดเป็นกลุ่มสุดท้าย ข้าจะปล่อยออกไป”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มซือหยูดูจะไม่สนใจคำพูดของเขา เหล่าจ้าวแห่งความมืดมองหน้ากันก่อนจะเงียบไป
“เจ้าพันธมิตรซือทวีปกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราคือยอดฝีมือสูงสุดของทวีป ถ้าพวกเรามาตายที่นี่ ทวีปก็คงจะไร้เกราะป้องกัน ข้าหวังว่าท่านจะยอมรับข้อเสนอ ตามพลังที่พวกข้ามี คงจะไม่ยากนักที่จะได้เป็นสิบคนแรกที่รอดชีวิต”
คนที่พูดคือจ้าวสองแม้เขาจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็กำลังพูดแทนจ้าวหนึ่งที่หยิ่งยโสเกินกว่าจะพูดด้วยตัวเอง
สละคนอื่นเพื่อตัวเองอีกแล้วรึ?ซือหยูขยะแขยงพวกเขามาก ถ้าพวกเราต้องอาศัยความเวทนาของศัตรูเพื่อให้มีชีวิตรอด แล้วพวกเขามีสิทธิ์อะไรกันที่จะมาปกป้องทวีปต่อไป?
ถ้าคุกเข่าต่อหน้าศัตรูหนึ่งครั้งคนผู้นั้นก็จะมิอาจยืนด้วยขาของตัวเองได้อีก ถ้าหากสละชีวิตทหารเก้าร้อยคนเพื่อปกป้องคนแก่เฒ่าไม่กี่คน…มันก็ไม่มีหวังเหลือในทวีปอีกแล้ว!
“ข้าไม่สนใจข้อเสนอนั่นหรอกข้าฆ่าพวกเจ้าให้หมดเสียดีกว่า!”
ซือหยูเมินคำพูดของจ้าวสองไปเลยเขาจ้องมองสี่ศักดิ์สิทธิ์
ทุกคนตัวแข็งทื่อ…ซือหยูเป็นบ้าไปแล้วรึ?
เขาเสียสติหลังจากที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์พ่ายแพ้กองทัพจากต่างโลกรึ?
ไม่มีใครที่นี่ที่รู้ว่าซือหยูได้ล้างบ้างทัพทมิฬที่แข็งแกร่งที่สุดไปในสงคราม
“น่าละอายนัก”
รอยยิ้มของสี่ศักดิ์สิทธิ์จางหายไปมีพลังอันตรายปะทุออกมาจากดวงตาของเขาพร้อมกับจิตสังหาร
การต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น!แต่ตอนนั้น สี่ศักดิ์สิทธิ์ได้หันไปมองทางรอยแยกมิติ จู่ๆเขาก็ดูหวาดกลัว
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ทางเลือกอย่างอื่นกับพวกเจ้า การประลองน่าจะดีมิใช่รึ? เราจะเลือกสามคนมาประลองกับอีกสามคนของแต่ละฝั่ง กลุ่มที่รอดจะถือว่าชนะ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
สี่ศักดิ์ยสิทธิ์ถาม
เขาพูดต่อ
“ถ้าเจ้าชนะข้าสัญญาว่าจะให้พวกเจ้าทุกคนรอด แต่ถ้าพวกเจ้าแพ้ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่ให้โอกาส”
อะไรนะ?เหล่าจ้าวแห่งความมืดรู้สึกถึงความหวัง แต่ใบหน้าพวกเขาก็หม่นหมองหลังจากที่เห็นว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
นี่เป็นการประลองสามต่อสามแต่สี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายศัตรู พวกเขาจะต้องแพ้แน่นอน! ในเบื้องงหน้า มันดูเหมือนเป็นโอกาสรอดชีวิต แต่ในความจริงแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องตลกร้ายเท่านั้น!
“สุดท้ายก็แค่ต่อสู้อยู่ดีใต้เท้าเล่นตลกอะไรถึงเสนอการประลอง! มันจะมีประโยชน์อะไรกัน?”
จ้าวหนึ่งถอนหายใจยาวเขาสิ้นหวังแล้วในตอนนี้
แต่น่าแปลกที่สี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมา
“ข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองจะมีแค่ห้าศักดิ์สิทธิ์ หกศักดิ์สิทธิ์ และเก้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เจ้าเลือกสามคนในกลุ่มพวกเจ้าได้”
พอเขาพูดจบเหล่าผู้คนเริ่มตกตะลึง แม้แต่ททัพต่างโลกเองก็ไม่เข้าใจการตัดสินใจนี้
ซือหยูเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยเพราะนี่คือการให้ความได้เปรียบแก่คนเฉินหลง แม้จ้าวหนึ่งจะบาดเจ็บหนัก แต่ฝั่งพวกเขาก็ยังมีจ้าวสองที่เป็นภูติระดับห้า ยังมีจ้าวหกที่เป็นภูติระดับสอง และซือหยูที่สามารถสังหารภูติระดับสามได้เหลืออยู่!
ส่วนศัตรูมีห้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นภูติระดับห้าหกศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับสี่ และเก้าศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับหนึ่ง ถ้าหากตัดสี่ศักดิ์สิทธิ์ออกไป ผลการประลองมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว!
ซือหยูไม่เชื่อว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์จะใจดีเช่นนี้เขาไม่คิดจะปล่อยพวกซือหยูไปง่ายๆแน่
ซือหยูเหลือบมองส่วนลึกสุดของรอยแยกมิติโดยไม่ขยับไปไหน
“คิดกันจบรึยัง?มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดเดี๋ยวนี้”
สี่ศักดิ์สิทธิ์สีหน้าเย็นชาลง
คนจากตำหนักเจ็ดจ้าวมองซือหยูด้วยความตื่นตระหนกซือหยูเงียบไปก่อนจะพยักหน้าเบาๆ  “ก็ได้แต่ข้าจะเลือกเองว่าใครจะต้องประลอง”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ใบหน้าผ่อนคลายลงเขาหัวเราะ
“ดีก็แล้วแต่เจ้า! สนามประลองให้อยู่ระหว่างกองทัพสองฝั่ง ถ้าใครออกมาจะถือว่ายอมแพ้โดยปริยาย!”
ซือหยูพยักหน้าและก้าวไปข้างหน้าเขาจะถูกนับเป็นหนึ่งในสามคนของฝั่งประลองเฉินหลง ขณะที่อีกฝั่งจะเป็นห้า หกและเก้าศักดิ์สิทธิ์
“เอาสิเจ้ายังเลือกได้อีกสองคน…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยรอยยิ้ม
ในบรรดาคนจากตำหนักเจ็ดจ้าวจ้าวสองกับจ้าวหกกลั้นหายใจ ชีวิตของคนพันคนขึ้นอยู่กับเขาทั้งสองทั้งหมด จ้าวสองรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากเพราะเขาคือคนเดียวที่จะรับมือกับห้าศักดิ์สิทธิ์ได้
จ้าวหนึ่งดูกังวลใจอย่างมากเขามองไปทางซือหยูอย่างระวัง ถ้าเขาถูกเลือก เขาจะไม่ให้ซือหยูประลองในครั้งนี้แน่
แม้จะมีข่าวลือว่าชายหนุ่มคนนี้สังหารภูติระดับสามมาก่อนเขาก็อวดดีและดื้อรั้นเกินกว่าจะยอมรับ ภูติของศัตรูล้วนเป็นนักรบที่กรำศึกมาหลายครั้ง เขาต้องคิด…
ซือหยูที่เป็นเด็กน้อยจะเทียบกับคนเหล่านั้นได้อย่างไร?
จ้าวหนึ่งเพียงหวังว่าซือหยูจะไม่โงง่พอที่จะลากทุกคนจมลงไปกับเขา
“จ้าวพันธมิตรซือโปรดปล่อยให้จ้าวสองกับจ้าวหกไปประลองเถอะ ท่านแค่ต้องสนับสนุนทั้งคู่เท่านั้น ถ้าทั้งสามคนชนะ ข้าจะรู้สึกขอบคุณไปตลอดชีวิตแน่”
จ้าวหนึ่งพยายามจะเก็บความรู้สึกเมื่อพูดกับทั้งสามคน
แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อซือหยูตอบโดยไม่คิด
“ข้าต้องพูดซ้ำอีกรึ?การอยู่รอดของเฉินหลงหรือพ่ายแพ้มิได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ให้มันอยู่ที่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
หลังจากที่เขาพูดจบซือหยูมองไปยังศัตรูทั้งสาม เขายืนมือไพล่หลัง
“เข้ามาข้าจะสู้กับเจ้าสามคนเอง!”
เมื่อพูดจบทั้งสองฝั่งเงียบกริบ สี่ศักดิ์สิทธิ์นิ่งงันไปครู่หนึ่งด้วยความกังวลใจ
ในหลายครั้งซือหยูได้พูดว่าเขาสามารถสังหารทุกคนได้รวมถึงเขาเองด้วย ทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงการพูดข่มขวัญ พวกเขาจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก
แต่เมื่อการประลองอันดุเดือดกำลังจะเริ่มซือหยูกลับมั่นใจมากพอที่จะประลองกับสามคนด้วยเขาเองคนเดียว! มีอยู่สองอย่างที่เป็นไปได้ นั่นก็คือเขาบ้าไปแล้ว ไม่ก็เขามีพลังที่สังหารทุกคนได้จริง!
คนจากตำหนักเจ็ดจ้าวตกใจไม่แพ้กันจ้าวหนึ่งไม่พอใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขาคิดว่ายังพอมีหวังที่จะรอดชีวิต แต่ซือหยูกลับบ้ามากพอที่จะสู้กับสามคนด้วยตัวคนเดียว!
ตามที่เขารู้พลังต่อสู้ของห้าศักดิ์สิทธิ์นั้นมากจนจ้าวสองรับมือคนเดียวไม่ไหว…
แล้วซือหยูจะรับมือกับห้าศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ?เขามาเพื่อตายงั้นรึ?
“ซือหยู!เจ้าจะลากพวกข้าไปตายกับเจ้าทำไมกัน? พวกเจ้าทำอะไรลงไปถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เรอะ?”
จ้าวหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าแพ้สงครามจนพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ถูกทำลายเจ้ามันก็แค่แกะดำ ข้าจะไม่ห้ามถ้าเจ้าอยากตายนัก แต่ทำไมต้องเอาพวกข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?”
จ้าวสองจ้าวหก และทัพอาณาจักรทมิฬล้วนสับสนกับการกระทำของซือหยู เพราะซือหยูปรากฏตัวโดยไม่มีคนจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อยู่ด้วยสักคนเดียว!
จากนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์ลูบคางและพูดอย่างซุกซน
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมคนแก่เลอะเลือนอย่างพวกเจ้าถึงเอาแต่เรียกคนอื่นว่าผู้แพ้ตามที่ข้ารู้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เอาชนะทัพทมิฬของพวกข้าอย่างราบคาบ ทวีปเหนือถูกพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ยึดกลับคืนไปหมดแล้ว”
เขาพูดต่อ
“ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าเจ้าพันธมิตรที่เจ้ากำลังพูดอยู่ใช่คนเดียวกับเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หรือไม่?ถ้าใช่ ข้าก็ไม่คิดหรอกว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์เรียกเขาว่าผู้แพ้ แต่พวกเจ้าก็เป็นซากทัพอยู่นี่ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
ของทัพของอาณาจักรทมิฬเงียบกริบดวงตาหลายคู่รีบหันไปมองซือหยูด้วยความตกใจกลัว
พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ชนะศึกงั้นรึ?แล้วพวกเขายังชนะทั้งที่ต่อสู้กับกองทัพแบบนี้งั้นรึ?
ถ้าข่าวนี้ไม่ได้มาจากหัวหน้าของศัตรูพวกเขาก็คงจะไม่เชื่อ!จ้าวหนึ่ง จ้าวสอง และจ้าวหกตกตะลึงกับข้อมูลนี้เช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งจ้าวหนึ่งถึงได้พักหายใจ เขามิอาจเก็บซ่อนความตกใจในสายตาได้…
พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะเอาชนะทัพทมิฬที่ไร้เทียมทานได้ยังไง?พวกข้าถ่วงเวลาทัพต่างโลกไม่ได้ด้วยซ้ำ!
และที่สำคัญที่สุดเจ้าพันธมิตรซือยังมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา!
จ้าวหนึ่งชาไปทั้งตัว
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์มองเขาอย่างเวทนาและส่ายหน้าหัวเราะ
“เจ้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้แล้วมันจะมีค่าอะไรรึ?เจ้ามันก็แค่เศษขยะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความกล้าที่ไหนมาสบประมาทชายหนุ่มผู้นี้ ไอ้โง่เอ้ย!”
จากนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม
“หนึ่งต่อสามรึข้านับถือความกล้าหาญของเจ้า ข้าจะตั้งใจดูการประลองของเจ้า”
แสงสว่างจ้าผ่านดวงตาสิ่งที่โปร่งใสได้ลงไปยังพื้นจากเท้าของเขา…

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset