The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 703-704

DND.703 – งานวิวาห์ของซือหยู
“เส้นทางของข้าจบแล้วไม่มีศัตรูหลงหลืออีกแล้ว ข้าจะใช้มันไปเพื่ออะไร?”
ซือหยูหลับตาความเดียวดายเอ่อล้นในใจ
เขาเก็บเกราะสายฟ้าและมุกบาดาลเข้าไปและเริ่มใช้วิธีบ่มเพาะพลังเขาบ่มเพาะอรหันต์แปดสุดท้ายจนถึงระดับสุดท้าย เป็นคำที่หมายความว่า “นักสู้”
เขายังบ่มเพาะสำเร็จอีกสองคำนั่นคือ “ควบคุม” กับ “ทหาร” โอรสสวรรค์จ้องนภาก็ได้ผ่านขั้นแรกเริ่มไปยังขั้นต้น เขาจะควบคุมยอดฝีมือที่มีระดับพลังสูงกว่าตัวเองได้หนึ่งขอบเขต!
ซือหยูค่อนข้างที่จะเชี่ยวชาญการใช้ฝ่ามือจันทราของฝ่ามือเทพดับสวรรค์และแม้ว่าเขาจะยังใช้ได้ไม่ถึงระดับของผู้เฒ่าจิว เขาก็เข้าใกล้ระดับที่เชี่ยวชสญ หลังจากที่บ่มเพาะมัน ซือหยูพบว่าจิตใจของเขาสงบลง เขาตัดสินใจเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยก
“นายน้อยจุดกำเนิดพลังของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? วิธีโบราณที่ข้าเตรียมให้ได้ผลหรือไม่?”
หวูอู๋ยี่ถามและเดินเข้ามาหาเขา
นางในตอนนี้ได้กลายเป็นภูติระดับสองแม้นางจะเยือกเย็นดังเดิม นากง็อบอุ่นและอ่อนโยนต่อซือหยู ซือหยูพยายามจะไม่โศกเศร้าและส่ายหน้าแทนคำตอบ
เขายังไม่ฟื้นตัวอีกรึ?หวูอู๋ยี่สีหน้าหม่นหมอง
“ข้ามิได้สนใจเรื่องวิชาฟื้นฟูนักในอดีตข้าเลยมิได้อ่านตำรามามากนัก แต่ถ้าข้ากลับสำนักได้อีกครั้ง ข้า…”
“ไม่เป็นไรหรอกทวีปเฉินหลงถูกปิดผนึกแล้ว ต่อให้ข้าบ่มเพาะพลังไม่ได้อีกแล้วจะอย่างไรกัน? ข้าจะมีพลังไปเพื่อสิ่งใด? พูดเรื่องผีเสื้อโกลาหลเถอะ…มันเป็นอย่างไรบ้าง? มันกินแก่นโลหิตของงจักรพรรดิโลหิตไปหมดหรือไม่?”
เขาถาม
ทีแรกเขาตั้งใจจะให้แก่นโลหิตของจักรพรรดิโลหิตกับกิเลนน้อย แต่มันไม่สนใจที่จะดื่มกินเลย แต่คาดไม่ถึงว่าผีเสื้อโกลาหลจะสนใจมัน! มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลของโลหิตนั้นเหนือยิ่งกว่าที่ใช้กับไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ไปมาก
“นายน้อยตัวมันยาวสามนิ้วแล้ว มันน่ารักแล้วก็ดูมีพลังขึ้นมาในช่วงนี้ ตามบันทึกโบราณ มันจะเริ่มพ่นไหมในอีกไม่นาน เราจะได้ไหมชุดแรกของมัน!”
หวูอู๋ยี่ดูดีใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
อาจจะเป็นอย่างที่ซือหยูพูดด้วยวิชาและสมบัติวิเศษที่เขามี ไม่มีใครในทั้งทวีปเฉินหลงที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้! แต่อย่างน้อย…ก็นอกจากราชาแห่งความมืด
และหลังจากที่ได้ไหมของผีเสื้อโกลาหลมาพวกเขาจะได้สร้างชุดเกราะที่ทรงพลังที่แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ทะลวงไม่ได้ พอถึงตอนนั้นซือหยูก็จะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม เขาอาจจะเอาชนะได้แม้กระทั่งราชาแห่งความมืด!
แต่ราชาแห่งความมืดนั้นอยู่ในส่วนลึกสุดของทวีปและซือหยูก็อยู่ในอีกฟากของมหาสมุทร ก็ขึ้นอยู่กับผู้คนที่จะใครว่าราชาคนไหนแข็งแกร่งกว่ากัน
“ยี่เอ๋อข้าจะฝากเจ้าดูแลมันไปก่อน”
ซือหยูคาดหวังกับการพัฒนาของมันมากเขาเริ่มดีใจเมื่อได้ฟังนางบอกเรื่องนี้
หลังจากที่บอกนางอีกครั้งเขาเดินไปยังสวนดินเพาะบ่มชั้นสูง สิ่งแรกที่เขาได้เห็นก็คือไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่เติบโตยาวหกเมตร!
“นายน้อยตามบันทึกโบราณ มันจะนับว่าเกือบโตเต็มที่เมื่อยาวหกเมตร ตามเงื่อนไขปกติ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาห้าร้อยปีกว่ามันจะมาถึงขั้นนี้ แต่ไม่ใช่กับที่นี่ มันต้องการเวลาอีกแค่ครึ่งปีในการโตเต็มที่! เราจะขุดมันขึ้นมาสร้างสมบัติวิเศษได้ในตอนนั้น”
หวูอู๋ยี่มองดูสีหน้าของซือหยูอย่างตั้งใจก่อนจะฝืนตัวเองให้บอกกับซือหยูด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เขาไม่เศร้า
ถ้าซือหยูสร้างกระบี่เงินกล้วยไม้สวรรค์ได้เขาก็จะสร้างมันอีกหกเล่มและทำให้เพลงกระบี่เก้าสุริยาสมบูรณ์! เขารอคอยมันในอดีต แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจมันอีกแล้ว
ดังนั้นซือหยูจึงมองข้ามมันก่อนจะหันไปดูทับทิมวิญญาณขนนกต้นอ่อนในอดีตได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะสูงเสียดฟ้า! มันมีสีขาวราวหิมะและมีผลสีทองห้อยอยู่เต็มต้น มันมีมากกว่าพันลูกเสียอีก!
เมื่อมองไปที่ม้าเมฆาเขาเห็นว่าจำนวนของมันมีมากกว่าร้อย และดูเหมือนว่ามันจะขยายพันธุ์ด้วยความเร็วสูง ถ้าหากเป็นเช่นี้ต่อไป เขาก็อาจจะสร้างภูติได้อีกร้อยคนในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน! แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สำคัญกับเขาอีกแล้ว
“ยี่เอ๋อเจ้าควรจะรู้ว่าเจ้าจะจากไปเมื่อใดก็ได้ เจ้าไม่มีสิ่งใดที่ยึดโยงให้ต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ซือหยูหันไปมองนาง
เขาอนุญาตให้นางไปที่ใดก็ได้ในเฉินหลงเท่าที่นางต้องการเพราะนางกลับจิวโจวไม่ได้อีก และไม่เสียหายที่จะให้นางอยู่ในทวีปแห่งนี้ แต่เวลาที่ผ่านมา นางอยู่ในมุกวิญญาณเก้าหยกและจัดการดูแลโลกใบนี้ต่อไป
ริมฝีปากนางสั่นเบาๆเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยูดูเหมือนว่านางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็นิ่งเงียบ
“เอาเถอะทำอย่างที่เจ้าต้องการ เมื่อใดที่เจ้าอยากจะไปจากที่นี่ เจ้าเพียงแค่บอกข้าเท่านั้น”
ซือหยูตบบ่านางก่อนจะออกจากมุกวิญญาณเก้าหยกไปยังร่างหลัก
ทันใดนั้นเขาก็ได้เสียงระฆังดังมาจากด้านนอก
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือครึ่งปีผ่านมาแล้ว ผู้เฒ่าเฉินอยากจะพบท่าน”
หญิงสาวงดงามยืนอยู่ด้านนอกนางคือฉีหยุนเซี่ยงที่เขาไม่พบมานาน
นางได้กลายเป็นภูติเมื่อไม่นานมานี้นางเลือกที่จะอยู่ในหน่วยกวาดล้างเพื่อที่จะปกป้องประตูศิลาซึ่งเป็นการปกป้องซือหยู ความรู้สึกของนางต่อเขาเป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
เอี๊ยด!
ฝุ่นฟุ้งกระจายเมื่อประตูศิลาเปิดออกซือหยูผู้สวมผ้าคลุมขาวเดินออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากห้องในระยะเวลาหกเดือน แสงตะวันที่ส่องเข้ามาทำให้เขาแสบตาอยู่บ้างจนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาลดมือลงก็พบผู้คนคุ้นหน้ามากมายยืนรออยู่หน่วยกวาดล้างที่นำโดยลั่วซวงอยู่ตรหน้า ขณะที่ด้านหลังคือหญิงงามที่ก้มหน้าไม่กล้ามองเขา
“ยินดีต้อนรับกลับท่านเจ้าพันธมิตร”
ลั่วซวงตื่นเต้นอย่างมากเขากับเหล่าหน่วยกวาดล้างคุกเข่าลงและตะโกนต้อนรับซือหยู
เสียงของเขาดังก้องไปยังบริเวณรอบข้างเมื่อภูติร้อยคนที่ลาดตระเวนด้านนอกได้ยิน ความยินดีและความตกใจก็ปรากฏในดวงตาของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะประลอง บ่มเพาะ หรือปิดประตูฝึกตนหรือกำลังทำเรื่องสำคัญอยู่ พวกเขาก็ละมือและบินเข้ามาเพื่อคุกเข่าต่อหน้าซือหยู
พวกเขาพูดพร้อมกัน
“ยินดีต้อนรับท่านเจ้าพันธมิตรกลับ”
สีหน้าของกึ่งภูติพันคนเปลี่ยนไปอย่างมากความนับถือเลื่อมใสปรากฏบนใบหน้า
ฟึ่บ!
แม้แต่กึ่งภูติหมื่นคนที่อยู่ด้านนอกตำหนักก็ทำเช่นเดียวกันพวกเขากรูกันเข้ามาโค้งคำนับแก่เขา เสียงผู้คนที่ทักทายเขานั้นดังก้องนภา แม้แต่เมฆาก็สั่นคลอน
ยอดฝีมือทุกคนบนเกาะที่ได้ยินเสียงในตำหนักต่างพุ่งเข้ามายืนรายล้อมด้านนอกของตำหนักแม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่นอกเกาะก็รีบบินเข้ามา บางคนที่เพิ่งจะบินออกไปนั้นรีบกลับมาทันที
ทุกคนหวังที่จะได้พบกับตำนานเทพอมตะของทวีปเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในตำนานได้ออกมาจากการปิดประตูฝึกตนแล้ว! ทุกคนรีบเข้ามามองหาเขาด้วยความหวังและความยินดี
ในตอนนั้นชายหนุ่มที่สวมชุดงดงามคนหนึ่งยืนอยู่บนปะการังในทะเล เขาดูสง่างามและอ่อนโยนแต่ก็ดูเย็นชา ดวงตาของเขาดูเหมือนจะมองทะลวงได้ทุกสิ่ง มีแสงสีม่วงสั่นไหวอยู่ที่ระหว่างคิ้วของเขา
เขามองสี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ไม่เจอเจ้ามาครึ่งปีเจ้าได้กลายเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่แห่งทวีป! น่าตกใจนักที่เจ้าไม่ใช่แค่เด็กหยินหยูที่โชคดีบนกระโจมเทพสวรรค์อีกแล้ว หึ…เจ้ากับข้าจะได้เจอกันอีกแน่…”
เสียงของเขาดังออกมาแต่ตัวเขาก็ได้หายไปแล้ว
ขณะที่ต้องเจอกับเสียงของผู้คนมหาศาลมันดังจนคนหูตึงอาจจะได้ยิน ซือหยูเพียงแค่ยิ้มอย่างใจเย็นและกล่าว
“ลุกขึ้น”
เสียงของเขาอ่อนโยนแต่ก็เฉียบขาดดั่งสายฟ้ามันดังก้องทั่วก้นบึ้งมังกร เหล่าผู้คนเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองดูการมาของราชาผู้ยิ่งใหญ่
ฉีหยุนเซี่ยงตัวสั่นเมื่อมองเขาแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นชายคนเดิมที่นางคุ้นเคย เขาก็มีท่าทางที่ราชาเท่านั้นจะมีได้ ไม่มีใครที่กล้าจะเข้าใกล้เขา
“ทุกคนโปรดกลับไปทำภาระของตัวเองให้เสร็จสิ้นเถิด”
ซือหยูพูดเหล่าคนพันธมิตรผู้คุมสวรรค์รับฟังคำสั่งและแยกย้ายตัวในทันที
“หยุนเซี่ยงพาผู้เฒ่าเฉินมาหาข้า”
ความอบอุ่นปรากฏในแววตาของซือหยูเมื่อเขามองฉีหยุนเซี่ยง
ฉีหยุนเซี่ยงขบริมฝีปากและพาผู้เฒ่าเฉินมาหาซือหยู
“ท่านเจ้าพันธมิตรยินดีด้วยที่บ่มเพาะพลังเสร็จแล้ว”
ผู้เฒ่าเฉินคุกเข่าต่อหน้าซือหยูแม้ว่าเขาจะเป็นภูติระดับสองแล้ว เขาก็ยังนับถือซือหยูอย่างเคย
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ผู้เฒ่าเฉินไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ท่านมาเพื่อรายงานกับข้าใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าช้าๆ
“ข้าเตรียมงานวิวาห์ของท่านเรียบร้อยแล้วและข้าก็ส่งบัตรเชิญไปยังทั่วทุกมุมทวีป ในอีกสิบวัน ทั้งโลกจะได้เห็นงานวิวาห์ของท่านกับฉินเซี่ยนเอ๋อ”
ลั่วซวงกับคนอื่นๆต่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินรายงานเพราะงานแต่งงานของซือหยูคือเรื่องที่ทั้งโลกรอคอย การถูกเขาเชิญถือเป็นเกียรติขั้นสูง ฉีหยุนเซี่ยงตัวสั่นและดวงตามีน้ำเอ่อออกมาเมื่อได้ฟังผู้เฒ่าเฉิน
ซือหยูหันไปมองยังที่ห่างไกลในท้องทะเลมันคือปะการังที่เคยมีชายหนุ่มที่สวมชุดงดงามเคยยืนอยู่และหายตัวไป
DND.704 – พลังอสูรเนรมิตร
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงแทรกเข้ามา
“พี่ซือหยู!ข้าคิดถึงพี่จังเลย!”
หญิงสาวร่างเล็กวิ่งมาจากสวนด้วยความยินดีในแววตานางกระโดดเข้าไปยังอ้อมแขนของซือหยู
สำหรับซือหยูทุกอย่างที่เป็นนางคือความคุ้นเคย กลิ่น พลัง ร่างกาย และความอบอุ่นที่เหมือนการได้กลับบ้าน ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนและโอบแขนก้มลงมองหน้านางชัดๆ
พวกเขาทำเหมือนกับตอนอายุสิบสี่และตอนนี้ทั้งคู่ก็อายุสิบแปดแล้ว ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่ได้สร้างริ้วรอยให้กับสาวน้อยผู้นี้เลย
นอกจากการเติบโตขึ้นเล็กน้อยนางไม่มีท่าทีว่าจะแก่ตัวลงเลย นางยังคงเป็นดังเดิมเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกในเขารัตติกาล
ใบหน้าของนางเรียบเนียนนางมีดวงตาสดใสดั่งแก้วที่ประดับด้วยขนตายาว ริมฝีปากอวบอิ่มของนางมีสีลูกท้อและจมูกที่ชี้ออกมาอย่างสง่างาม รูปลักษณ์ของนางไม่ต่างจากตุ๊กตาที่สลักมาอย่างดี
ตอนนี้ดวงตากลมโตของนางประดับไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี นางกอดซือหยูต่อหน้าทุกคนโดยไร้ความเขินอาย มันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติราวกับการกอดคนในครอบครัว
“เซี่ยนเอ๋อ”
ซือหยูลูบหัวนางด้วยความรัก
“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยนเอ๋อพยักหน้าในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา
“ท่านพ่อสบายดีท่านพ่อคิดถึงพี่มากเลยนะ”
ซือหยูยิ้มอย่างอบอุ่น
“ผ่านมาเจ็ดปีแล้วข้าจะได้ทำสิ่งที่ท่านพ่อต้องการเสียที เซี่ยนเอ๋อ เจ้าพร้อมหรือยัง?”
เซี่ยนเอ๋อแก้มแดงอย่างน่าหลงใหลนางในตอนนี้งดงามยิ่งกว่าสตรีคนใด
“ข้าพร้อม…”
เซี่ยนเอ๋อกอดซือหยูแน่นกว่าเดิมด้วยความเขินอายนางขยับปากเบาๆ
“ข้าคือผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกใบนี้ข้าจะเป็นเจ้าสาวของพี่ซือหยูตลอดไป!”
เหตุการณ์อบอุ่นหัวใจทำให้เหล่าผู้คนยิ้มแย้มเหล่าคนที่รับรู้ถึงความท้าทายระหว่างทั้งสองที่ต้องเจอต่างถอนหายใจด้วยความสุข ในที่สุดทั้งคู่ก็จะได้แต่งงานกันหลังจากผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วน!
ไม่นานซือหยูเลิกคิ้วและถาม
“เซี่ยนเอ๋อเจ้ายังไม่เป็นภูติอีกรึ? โอสถภูติไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยรึ?”
เซี่ยนเอ๋อเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงก่อนที่ซือหยูจะออกมาจากก้นบึ้งมังกรตอนที่เขาออกมาสู้ เขาได้ทิ้งม้าเมฆาที่จะช่วยให้ทุกคนเพิ่มพลังงไปอีกระดับ แต่มันกลับไร้ค่าต่อเซี่ยนเอ๋อ
ราวกับว่าการทะลวงพลังของเซี่ยนเอ๋อนั้นเกิดขึ้นได้ยากจนโอสถธรรมดามิอาจส่งผลหลังจากที่คิดอ่านดูก็เป็นไปได้สูงว่าเกิดจากำร่างกายของนางที่ไม่เหมือนผู้ใด
ร่างกายของเซี่ยนเอ๋อนั้นมีคุณสมบัติของวิหคเพลิงแห่งความตายที่มาจากวิหคเพลิงเก้าหางร่างกายของนางมีคุณสมบัติที่จะบัญชาความเป็นความตายของสรรพสิ่ง ซึ่งมันเป็นพลังที่ลึกลับและน่ากลัวอย่างมาก!
แม้แต่หยุนย่าสีที่อยากได้คนเช่นนี้เป็นศิษย์ก็มิอาจได้สิ่งที่ต้องการนี่จึงเป็นเหตุให้เขาเดาว่าเซี่ยนเอ๋อทะลวงพลังได้ยากเพราะคุณสมบัติของตัวนางเอง
ซือหยูอยากจะถามหยุนย่าสีถึงเรื่องนี้แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องในกระโจมเทพสวรรค์ หยุนย่าสีได้จมอยู่ในความหลับใหลมาจนถึงวันนี้
สุดท้ายซือหยูจึงให้โอสถภูติกับเซี่ยนเอ๋อก่อนที่เขาจะปิดประตูฝึกตน เขาได้โอสถนี้มาจากแหล่งเก็บสมบัติโอสถของเทียนจี่จื้อที่กระโจมเทพสวรรค์
เทียนจี่จื้อได้ปรุงโอสถนี้ขึ้นมาเองและพูดว่ามันจะทำให้คนกลายเป็นภูติได้แน่นอนตามพลังที่เทียนจี่จื้อมี คำกล่าวของเขานั้นน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
และเขาก็ต้องนับคนที่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างเซี่ยนเอ๋อด้วยดังนั้นซือหยูจึงตัดสินใจให้โอสถภูติกับเซี่ยนเอ๋อ แต่ซือหยูก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่านางยังไม่ก้าวมาเป็นภูติ
“ไม่หรอกข้าคิดว่าโอสถจะต้องทำให้ข้าเป็นภูติได้แน่ ร่างกายของข้าต้องการมันด้วยซ้ำ!”
เซี่ยนเอ๋อส่ายหน้า
ซือหยูยินดีที่ได้ยินดังนั้นแต่เขาก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งและถามนาง
“แล้วทำไมเจ้ายังไม่กินล่ะ?เจ้าไม่อยากจะเป็นภูติหรอกรึ?”
เซี่ยนเอ๋อเงยหน้านางยื่นมือเล็กๆลูบใบหน้าของเขา
“ข้าอยากเป็นภูติข้าฝันหาแม้ยามนอน แต่ข้าอยากให้พี่เป็นภูติมากกว่าสิ่งใด เพราะข้าเห็นแต่ความผิดหวังในดวงตาพี่”
ซือหยูกอดเซี่ยนเอ๋อแน่นยิ่งขึ้นเซี่ยนเอ๋อที่คิดถึงเขาทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาก
หลังจากที่ใจเย็นซือหยูก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เซี่ยนเอ๋อรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ราวกับว่านางอ่านใจเขาได้!
เขามองดวงตาสดใสตรงหน้าและพบว่าเด็กสาวในอดีตได้เติบโตแล้ว
“ขอบคุณนะเซี่ยนเอ๋อ….”
ความอบอุ่นในใจซือหยูชะล้างความผิดหวังในอดีตไปสิ้น
แม้เขาจะไล่ตามหนทางแห่งการบ่มเพาะพลังไม่ได้อีกเขาก็มีภรรยาผู้งดงามที่จะติดตามเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
“เซี่ยนเอ๋อกินโอสถเถอะ ข้าถึงสุดทางของการบ่มเพาะพลังในโลกนี้แล้ว ข้าจะกินมันเองหรือไม่ก็ไม่มีผลกับข้าแล้ว…”
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยนเอ๋อส่ายหน้า
“ไม่ข้าจะเหลือมันให้พี่ พี่ซือหยูต้องใช้มันตอนที่หายแล้ว”
ซือหยูอยากจะเกลี้ยกล่อมนางแต่เขาเห็นถึงความตั้งใจอันไม่ยอมแพ้จากนาง และเหนือสิ่งอื่นใด ทวีปเฉินหลงในตอนนี้ได้กลับมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว
และทุกหนแห่งยังอยู่ในการปกครองของเขาไม่มีใครจะทำร้ายเซี่ยนเอ๋อได้ และในอนาคตยังมีโอกาสมากมายนักที่เขาจะชักจูงนางให้กินโอสถภูติ
“เอาเถอะแล้วจิงหยูกับผู้เฒ่าฉิวล่ะ? พวกนางตื่นหรือยัง?”
ซือหยูถาม
เซี่ยนเอ๋อเงยหน้าด้วยความยินดี
“พี่จิงหยูตื่นแล้ว!”
เมื่อได้ยินข่าวซือหยูรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เซี่ยจิงหยูหมดสติมานานแล้ว นางควรจะตื่นขึ้นมาตั้งแต่หลายเดือนก่อน แต่นางกลับไม่ตื่นขึ้นมา ซือหยูกังวลว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำร้ายนางอยู่
“แต่ผู้เฒ่าฉิวยังคงไม่ได้สติข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มีหลายครั้งที่ท่านอาจารย์เกือบจะตื่นขึ้นมาแต่ก็กลับไปหลับใหลในทันทีหลังจากนั้น”
เซี่ยนเอ๋อค่อนข้างโศกเศร้า
เพราะผู้เฒ่าฉิวคืออาจารย์ของนางความเจ็บป่วยของอาจารย์ทำให้นางเศร้าหมอง ซือหยูเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นกัน
“ไปหาพวกนางกันเถอะพวกเจ้ากลับไปทำงานต่อได้แล้ว”
ซือหยูสั่งคนรอบๆอย่างเรียบง่ายและพาเซี่ยนเอ๋อไปในเขตหวงห้ามในเขตการรักษามันคือที่ที่เซี่ยจิงหยูกับผู้เฒ่าฉิวพักรักษาตัว ที่นี่มีภูติสิบคนลาดตระเวนตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแมลงแม้แต่ตัวเดียวที่ผ่านไปได้
ที่นี่มีหมอที่ดีที่สุดในทวีปรวมตัวกันเพื่อดูแลสตรีสองคนเมื่อซือหยูกับเซี่ยนเอ๋อเดินเข้าไปก็มีสตรีผอมบางที่ผิวซีดในสายตา
นางคือผู้เฒ่าฉิวนางยังคงขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดขณะที่หลับใหล
ซือหยูแตะข้อมือของนางด้วยดัชนีและส่งพลังวิญญาณเข้าไปจู่ๆเขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“พลังนี้…มันคุ้นๆไม่ใช่เรอะ?นี่มันพลังของอสูรเนรมิตร!”
จู่ๆเสียงของผู้เฒ่าจิวก็ดังมาจากด้านหลังซือหยูเสียงของเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ผู้เฒ่าจิวอยู่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพราะไม่มีที่อื่นให้ไปอีกเขามามองดูอาการของผู้เฒ่าฉิวโดยตรง
ซือหยูชักสีหน้าเขาถาม
“ทำไมยังมีพลังของอสูรเนรมิตรอยู่ในตัวนางอีกล่ะ?”
“มันจะต้องไม่เกิดขึ้นเองแน่มันควรจะอยู่ภายในนางมาโดยตลอด เราแค่ไม่ได้สังเกตมันเร็วๆนี้…”
ผู้เฒ่าจิวขมวดคิ้วแน่นเขาดูสับสนเป็นอย่างมาก
เพราะตอนนี้ก็ไม่มีอสูรเนรมิตรอยู่ในทวีปเฉินหลงอีกแล้วไม่ควรจะมีพลังของคนระดับนี้อยู่ในร่างกายของนางอีก
“หรือว่านางจะถูกอสูรเนรมิตรจู่โจมอีกครั้ง?”
ซือหยูถามขณะที่ครุ่นคิด
ในตอนนั้นเองเขาก็หันไปมองตาผู้เฒ่าจิว ทั้งสองตกใจขึ้นมาพร้อมกัน
“หรือว่าจะเป็นจ้าวศักดิ์สิทธิ์?!”
ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน
ตั้งแต่การต่อสู้ในก้นบึ้งมังกรพวกเขาได้พบว่าสามศักดิ์สิทธิ์กับจ้าวศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ในทวีปเฉินหลงมาโดยตลอด เขายังคงซ่อนตัวอยู่และไม่ปรากฏตัวออกมา
จ้าวศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ซือหยูกังวลมากที่สุดแต่หลังจากที่คิดอีกครั้ง ซือหยูก็คิดว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะถ้าจ้าวศักดิ์สิทธิ์มีฐานพลังระดับนั้นจริงเขาก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนตัว! และราชาเขตกลางเองก็คงไม่ต้องให้จักรพรรดิโลหิตเข้ามาที่นี่โดยต้องสละสมบัติภูติไป
“ถ้าอย่างนั้น…แล้วใครทำร้ายนางกันเล่า?”
ซือหยูเงียบไปนาน

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset