The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 785-786

DND.785 – สี่อสูร
เมื่อเฉาหลี่เห็นซือหยูนางก็กระโดดไปยังเสาอีกต้น นางคิดจะแข่งกับซือหยู
แต่ซือหยูไม่สนนางเขาเพียงแค่มองขั้นบันไดเท่านั้น เมื่อเขาก้าวขึ้น น้ำพุก็ปะทุออกมา คลื่นวารีไหลกระทบใบหน้า
เขารู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่ยักษ์นับไม่ถ้วนทุ่มเข้าใส่การไกลของวารีนั้นรุนแรงและต่อเนื่อง นั้นหมายความว่าเขาต้องทนเจ็บปวดต่อไปไม่หยุด
ว่ารีไหลซึมผ่านชุดทำให้เขาหนักขึ้นไปอีกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวถ่วงของเขา เพียงพริบตาเดียวเขาก็รู้สึกว่ากำลังแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนแผ่นหลัง
ซือหยูพยายามจะยกขาเขาสัมผัสได้ว่ามันหนักเกินไปแม้ร่างกายของเขาจะทรงพลังก็ตามที ไม่แปลกเลยที่ชางฉีหลินเลือกยอมแพ้ง่ายๆ เพราะการทดสอบนี้มันยากเกินไป! การเลือกล้มเลิกของนางถือเป็นส่วนที่เฉลียวฉลาด
“ดูนั่นสิ!เฉาหลี่เดินไปสามก้าวแล้ว สมกับเป็นภูติระดับห้า!”
มีคนตะโกนด้วยความตกใจ
เฉาหลี่มองซือหยูด้วยท่าทางเอาเรื่องซือหยูที่ยังอยู่ขั้นแรกนั้นรวบรวมสมาธิอย่างเต็มที่ในการเดินแต่ละก้าว เขาจึงไม่สนใจใครอื่นเลย
สุดท้ายเขาก็ขยับเท้าก้าวไปยังขั้นที่สองอย่างช้ามากคลื่นวารีในขั้นสองนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม น้ำหนักที่กดทับตัวเขานั้นเพิ่มพูนขึ้นอีก
ในตอนนี้ยิ่งเขาก้าวไปช้าเท่าใด มันก็ยิ่งเลวร้ายกับเขาขึ้นเท่านั้น กลับกันแล้วถ้าเขารีบเดินอย่างเฉาหลี่ มันก็จะง่ายกว่า
แต่ซือหยูยังคงก้าวต่อไปอย่างสงบและเชื่องช้าเมื่อถึงขั้นที่หก ผู้คนก็อ้าปากค้าง เฉาหลี่นั้นก้าวไปเกินสิบขั้น! นางผ่านการสอบแล้ว!
เฉาหลี่อ้าปากหายใจหอบนางพยายามฟื้นพลัง เมื่อมองไปยังซือหยูก็ส่ายหน้า นางมองเขาอย่างดูถูก นางนั้นนางก็ไม่มองซือหยูอีก นางเพียงแต่ก้าวไปข้างหน้า ซือหยูก็ไม่สนใจนางและเดินต่อไปอย่างมั่นคง
เมื่อผ่านวิบัติสวรรค์มาแล้วพลังของร่ายกายและวิญญาณซือหยูนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปถึงระดับของภูติระดับสาม การเพิ่มพลังอย่างรวดเร็วนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อเสียก็คือการเพิ่มพลังอย่างรววดเร็วทำให้พื้นฐานของเขาไม่มั่นคงนั่นหมายความว่าพลังของเขาจะขึ้นๆลงๆ ในบางครั้งบางเวลา วิญญาณของเขาเองก็ได้รับผลกระทบ
วารีหนักอึ้งตรงหน้านี้สามารถกดทับร่างกายและวิญญาณของเขามันคือสถานที่อันยอดเยี่ยมที่ซือหยูจะได้ปรับพลังของตัวเองให้มั่นคง ดังนั้นเขาจึงไม่ก้าวไปข้างหน้าเร็วเกินไปนัก เขาก้าวไปด้วยความเร็วของตัวเอง เขาค่อยๆก้าวไปทีละขั้นอย่างเป็นระบบ
เจ้าตำหนักคงฉานลืมตาช้าๆนางมองเฉาหลี่และละสายตาไปยังซือหยู นางดูคาดหวังอะไรบางอย่าง
กลับมาที่ตระกูลชางก่วนชางก่วนหยุนซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองซือหยู
“น้องซือร่างกายแข็งแกร่งมากเขาไม่ควรจะช้าอย่างนี้! อย่างน้อยสิบขั้นแรกก็ง่ายมากสำหรับเขา!”
แววตาของชางก่วนชิงเอ๋อข้างๆไม่สนใจอะไรนัก
“น้องข้าเจ้าไม่เข้าใจ! วิธีที่ซือหยูเซี่ยนใช้ตอนนี้คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“คนสอบเห็นมัจฉาข้ามประตูมังกรเป็นเพียงการสอบที่โหดร้ายพวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคือโอกาสหายากสำหรับศิษย์ใน และถ้าศิษย์ในอยากจะใช้มัจฉาข้ามประตูมังกร พวกเขาก็ต้องจ่ายหมื่นคะแนนในแต่ละครั้ง”
ความริษยาปรากฏในดวงงตาชางก่วนชิงเอ๋อ
“ถ้าข้าไม่ได้เป็นศิษย์ในแล้วจะได้ทดสอบอีกครั้งข้าก็จะเข้าการทดสอบนี้”
แม้ชางก่วนหยุนซื่อจะเป็นศิษย์ในเหมือนนางเขาก็มิใช่ศิษย์ในที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงถามด้วยความสงสัย
“ทำไมกันล่ะ?”
ชางก่วนชิงเอ๋อตอบ
“วารีหนักอึ้งนี้มีผลต่อร่างกายและวิญญาณอย่างมิอาจจินตนาการได้ยิ่งขึ้นไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลมากเท่านั้น หากผ่านจุดสำคัญ ทั้งร่างกายและวิญญาณจะพัฒนาขึ้นมาก”
นางพูดต่อ
“และวิธีปรับวิญญาณส่วนมากก็สูญหายไปตั้งแต่ครั้งโบราณมันเกือบจะหายไปจนหมดอยู่แล้ว การใช้มัจฉาข้ามประตูมังกรถึงได้ล้ำค่า”
นางพักหายใจและอธิบายต่อ
“ตามที่ข้ารู้ศิษย์ในทุกคนใส่ใจกับการบ่มเพาะวิญญาณและพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้ใช้มัจฉาข้ามประตูมังกร ส่วนศิษย์นอกก็เห็นว่ามันเป็นแค่สิ่งไร้ค่า ไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือโอกาสสำคัญ”
ชางก่วนชิงเอ๋อมองซือหยูอย่างจริงจัง
“ซือหยูเซี่ยนก้าวแต่ละกา้วอย่างมั่นคงเขาผ่านการปรับพลังจากทุกขั้น มีเพียงวิธีนี้ที่จะได้ผลของมัจฉาข้ามประตูมังกรครบถ้วน เฉาหลี่อาจดูฉลาด แต่แท้จริงโง่เขลานัก!”
ชางก่วนหยุนซื่อแทบจะกัดลิ้นเมื่อได้ฟังในอดีต เขาได้ใช้สถานะศิษย์ม่อเทียนฉวนของพี่สาวในการผ่านการทดสอบนี้ เขาไม่รู้เลยว่ามัจฉาข้ามประตูมังกรมีผลยอดเยี่ยมขนาดนี้
เวลาผ่านไปช้าๆมีคนผ่านการทดสอบมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนล้มเหลว แต่ก็มีบางคนไปถึงขั้นที่สิบ
พวกขที่ผ่านขั้นสิบนั้นยินดีกับความสำเร็จแต่ก็ไม่กล้าจะก้าวไกลไปกว่านั้นพวกเขากลับออกจากขั้นบันไดทันที เพราะการไป่ต่อนั้นอันตรายอย่างมาก!
หลังจากที่สี่สิบคนผ่านการทดสอบซือหยูกับเฉาหลี่ยังคงอยู่บนขั้นบันได เฉาหลี่ไปถึงขั้นยี่สิบแล้ว ทั้งตัวของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคล นางต้องอ้าปากเพื่อช่วยหายใจอยู่บ่อยครั้ง ความเร็วของนางลดลงอย่างมาก
แม้ร่างกายของนางจะดึงดันที่จะก้าวไปข้างหน้าวิญญาณของนางก็อ่อนล้าเต็มที นางแทบจะทนการทดสอบไม่ไหว ตัวของนางเริ่มโงนเงนไปมาในแต่ละก้าว นางกำลังจะถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่เมื่อหันไปมองเห็นซือหยูที่ยังคงอยู่บนชั้นสิบสามนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมีคะแนนมากกว่าเขาเจ็ดพันคะแนนแล้วเพราะนางมาไกลกว่าเขาเจ็ดขั้น! นั่นหมายความว่านางจะเป็นลำดับหนึ่งในการทดสอบนี้!
แต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลก็คือความเร็วอันมั่นคงของซือหยูเขาไม่ได้ช้าลงเลย สิบขั้นต่อมานั้นยากยิ่งกว่าสิบขั้นแรกอย่างมาก แต่ความเร็วของซือหยูก็ยังไม่เปลี่ยน นางจึงได้แต่กัดฟันก้าวไปข้างหน้าต่อไป
หลังหนึ่งชั่วยาม
เฉาหลี่ก้าวไปถึงขั้นที่ยี่สิบห้าด้วยความยากลำบากเมื่อมาถึงที่นี่ นางก็ย่อตัวลงนั่งไร้ความเคลื่อนไหว
มันยากที่ร่างกายนางจะทนน้ำหนักมหาศาลของวารีนางถึงขีดจำกัดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไปต่อ
“ที่หนึ่งต้องเป็นของข้า”
นางฝืนยิ้มขณะที่พูดและหันกลับไปมองซือหยูแต่เมื่อนางหันกลับไปก็ไม่เห็นเลย!
เขาตกไปแล้วรึ?เฉาหลี่สงสัยและตกใจ นางยิ้มแย้มและดูเหมือนได้ยกภูเขาที่ทับอกออกไป
นางเห็นซือหยูเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่แต่ทันทีที่นางคิดว่าซือหยูล้มเลิก นางก็ได้เห็นคนมากมายเงยหน้ามองด้วยหางตา พวกเขากำลังจับจ้องมองบางอย่างไม่วางตา
นางเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองนางแต่มองไปยังเสาศิลาต้นหนึ่ง และซือหยูก็อยู่บนเสานั้น!
เฉาหลี่เงยหน้ามองและสั่นไปทั้งตัวนางตะโกนร้อง
“เป็นไปไม่ได้!”
เหตุที่นางไม่เห็นซือหยูเมื่อครู่ก็เพราะเขาเดินแซงหน้านางไปแล้ว!ตอนนี้เขาอยู่บนขั้นที่ยี่สิบเก้า!
ครู่ก่อนเขายังตามหลังนางอยู่ นางนำหน้าเขาเจ็ดก้าว แต่ตอนนี้เขานำหน้านางไปห้าก้าว…ในเวลาเพียงชั่วยามเดียว!
ถ้าหากมีใครสังเกตซือหยูให้ดีก็จะพบว่าแม้ซือหยูจะช้าลงกว่าตอนขึ้นยี่สิบขั้นแรกแต่ความเร็วของเขาก็เหนือกว่าเฉาหลี่อย่างมาก ดังนั้นจึงนับว่าเขาเหนือกว่านาง!
“เป็นไปได้ยังไง?”
ยี่สิบห้าขั้นเป็นขีดจำกัดของข้าซือหยูเซี่ยนจะดีกว่าข้าได้ยังไง?
เฉาหลี่ไม่เข้าใจ…ร่างกายของซือหยูแข็งแกร่งกว่าข้า…ที่เป็นภูติระดับห้างั้นรึ?
บนก้อนศิลา
“เราไม่ได้เห็นคนสอบก้าวถึงขั้นยี่สิบเก้ามาหลายปีแล้วการได้เห็นคนมีพรสวรรค์ในปีนี้นับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
ชายแก่คนหนึ่งถือไม้เท้านั่งอยู่ข้างเจ้าตำหนักคงฉานเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
เหล่าสมาชิกตระกูลต่างๆแสดงความนับถือเมื่อเห็นเขาชายแก่คนนี้คือหนึ่งในสองเจ้าตำหนัก เจ้าตำหนักฮั่ว!
เจ้าตำหนักคงฉานมองซือหยูความคาดหวังปรากฏบนใบหน้าแก่เฒ่า
“ยังเร็วไปที่จะตัดสินเขาสามสิบขั้นแรกก็แค่ทำให้คนทดสอบคุ้นเคยกับการทดสอบ สามสิบขั้นต่อมาต่างหากที่เป็นการทดสอบที่แท้จริง”
ชางก่วนชิงเอ๋อตาลุกวาว
“ไม่น่าเชื่อเลย!มัจฉข้ามประตูมังกรใช้ทดสอบพรสวรรค์ของคน ตามที่ข้ารู้ ศิษย์ในเกือบทุกคนผ่านสามสิบขั้นแรกได้”
นางพูดต่อ
“ถ้าเขาไปถึงขั้นสี่สิบเขาจะเป็นศิษย์นอกระดับสูง ถ้าไปถึงขั้นห้าสิบ เขาจะเป็นปีศาจในหมู่ศิษย์นอก! และถ้าไปถึงขั้นหกสิบ เขาจะถือว่าเป็นคนระดับสูงแม้จะเทียบกับศิษย์ใน!”
ชางก่วนหยุนซื่อมองซือหยูด้วยความคาดหวัง
“เขาจะขึ้นไปได้สักเท่าไหร่กัน?”
ชางก่วนชิงเอ๋อกลอกตาตอบ
“ข้าจะไปรู้เรอะ?เจ้าเป็นคนที่เชิญเขาเข้ามาเองนี่!”
จากนั้นนางจึงหันไปมองซือหยู
“แต่อสูรทั้งสี่ก็เคยผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกรมาก่อนพวกนั้นไปถึงแค่ขั้นห้าสิบ ปิงหวูชิงที่แข็งแกร่งที่สุดไปถึงขั้นห้าสิบเจ็ด แม้ซือหยูจะยอดเยี่ยม แต่เขาจะก้าวข้ามสี่อสูรได้รึ?”
นางส่ายหน้า
“สี่อสูรเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานมีข้องดเว้นให้ทั้งสี่คนได้เข้าเป็นศิษย์ในโดยตรง นางมีชื่อเสียงอย่างมากแม้แต่ศิษย์ในที่มียอดฝีมือหลายคนในนั้น”
ชางก่วนหยุนซื่อหน้าสั่นเมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงสี่อสูร
“แน่ล่ะ…”
ชางก่วนชิงเอ๋อคิดอะไรขึ้นได้มันทำให้ใบหน้านางไม่สดใส นางกำหมัดแน่นเหมือนกำลังไม่พอใจ
ใจอดีตอสูรสาวจากหนึ่งในสี่อสูรได้มายังตระกูลชางก่วนในฐานะผู้เฒ่าที่จะรับเด็กในตระกูลไปทดสอบ และนางก็ไม่พอใจ วันต่อมา คนตระกูลชางก่วนทั้งหมดท้องร่วงและอาเจียนไม่หยุด แม้แต่ข้ารับใช้ก็ได้รับผลนี้!
มันเกิดขึ้นเพราะฝีมือของนางไม่ผิดเพี้ยนแต่ชางก่วนชิงเอ๋อที่เป็นศิษย์ม่อเทียนฉวนก็ไม่กล้าทำให้อสูรสาวโกรธ แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็บอกได้แล้วว่าอสูรทั้งสี่ยิ่งใหญ่เพียงใด
เจ้าตระกูลทั้งหมดตกใจอย่างมากพวกเขาพูดอะไรไม่ออก พวกเขาทำได้เพียงมองซือหยูก้าวไปยังขั้นสามสิบ
ครืน!
เสียงสั่นสะเทือนดังมีเสียงเหมือนสายฟ้าฟาดดังมาจากเสาศิลา
นายหญิงซือถูตัวสั่นนางแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“ขั้นสามสิบ!เขาเหยียบขั้นสามสิบแล้ว!”
เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าซือหยูมีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นจ้าวเทวะและเป็นศิษย์ใน!
เจ้าตำหนักคงฉานรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
“ตระกูลซือถูได้รับใช้สำนักครั้งใหญ่ด้วยการแนะนำเขาดังนั้นจะได้สิทธิ์ในหอนภายี่สิบปี รวมถึงโอสถรากชำระกายสิบเม็ด หวังว่าพวกเจ้าจะบ่มเพาะคนมากพรสวรรค์ให้กับตำหนักโลหิตได้ในอนาคตต่อไป”
นายหญิงซือถูดีใจมากนางแทบจะไม่เชื่อว่าพวกนางจะได้รับรางวัลเพิ่มเติมจากการแนะนำคน!
ในอดีตสิทธิ์ยี่สิบปีในหอนภานั้นเป็นสิ่งที่ตระกูลซือถูต้องจ่ายรายได้สิบปีเท่านั้นจึงจะได้มา รางวัลเช่นนี้จะทำให้พวกเขาประหยัดเงินในการใช้จ่ายได้เป็นสิบปี!
ส่วนโอสถรากชำระกายนั้นคือโอสถระดับห้าที่ตำหนักโลหิตเท่านั้นที่จะมีได้มันคือโอสถชั้นเยี่ยมที่จะมอบให้กึ่งภูติได้ใช้
โอสถนี้จะทำให้เหล่าภูติได้ปรับพื้นฐานพลังได้อย่างดีแม้แต่คนที่ขาดพรสวรรค์ก็จะมีพรสวรรค์ขึ้นมาเพราะโอสถนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นโอสถที่สูงค่าอย่างมาก
“ท่านเจ้าตำหนักขอบคุณสำหรับรางวัล!”
นายหญิงซือถูกล่าวขอบคุณ
สายตาของคนตระกูลต่างๆร้อนฉ่าด้วยความริษยาพวกเขาอิจฉานางอย่างมาก
หลังจากที่ซือหยูก้าวถึงขั้นสามสิบเขารู้สคถึงแรงกดดันที่เหนือกว่าเดิมเป็นเท่าตัวในทันที แต่เขาก็ไม่ได้กังวลนัก เขากลับดีใจและก้าวไปข้างหน้าต่อไป
DND.786 – พรสวรรค์อสูร
หนึ่งก้าว…สองก้าว…สามก้าวซือหยูรุดหน้าต่อไปจนถึงก้าวที่เก้า
ผู้คนจับจ้องมองด้วยความตกตะลึงเขาเดินไปถึงขั้นที่สามสิบเก้าที่มักจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยในการสอบรับคนนอก ที่จริงแล้วครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นก็คือเมื่อร้อยปีก่อน!
หลายตระกูลต่างอิจฉาแต่ก็ลุ้นกันไปตามๆกันพวกเขาอิจฉาโชคดีของตระกูลซือถูและลุ้นการแสดงพลังของซือหยู
พวกเขาเคยได้ยินมาแล้วว่าตำหนักโลหิตอยากจะลดจำนวนการรับคนจากภายนอกและความสามารถของซือหยูก็อาจจะทำให้พวกเขากดดันจนล้มเลิกความคิดลงได้
เจ้าตำหนักฮั่วหัวเราะชอบใจ
“ข้ามองไม่ผิดจริงๆ!เจ้าหนูนี่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม”
ซือหยูยืนนิ่งอยู่บนขั้นสามสิบเก้านั่นก็เพราะว่าเขาพบภาพเงาในชั้นที่สี่สิบ! มันดูเหมือนเป็นร่างมนุษย์ แต่เค้าโครงหน้านั้นไม่ชัดเจนเลย
“นั่นเป็นคนสุดท้ายที่ไปถึงชั้นสี่สิบมันเกิดขึ้นเมื่อห้าเดือนก่อน มันคือภาพเงาของหยางเฟยหลิวที่เป็นศิษย์นอก ถ้าซือหยูเซี่ยนไปถึงชั้นสี่สิบได้ ภาพเงาของเขาก็จะมาแทนที่หยางเฟยหลิว”
“ถ้าเขาไปถึงเขาก็จะได้สิทธิพิเศษในตำหนักนอกด้วย”
ซือหยูหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าร่างเงาบนขั้นสี่สิบแตกสลายไปแทนที่ด้วยภาพเงาของซือหยู ซือหยูตกใจแต่ยังคงก้าวไปข้างหน้า ในตอนนั้นก็มีแรงกดดันอย่างไม่น่าเชื่อกระทบร่างของเขา
กร๊อบ!
เสียงแตกดังมาจากกระดูกเมื่อมักมิอาจทนรับแรงได้อีกต่อไปความเจ็บปวดเริ่มส่งตรงไปถึงดวงวิญญาณ สีหน้าเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้าเขาครู่หนึ่งขณะที่ความยินดีได้เอ่อล้นในดวงใจ
ถ้าหากผ่านขั้นสี่สิบวิญญาณของเขาจะมั่นคงยิ่งขึ้น ยิ่งเขาก้าวไปข้างหน้ามากเท่าใด วิญญาณเขาก็ยิ่งหนักแน่นขึ้นเท่านั้น
ความคิดนี้ทำให้เขายิ่งตื่นเต้นขึ้นเมื่อก้าวต่อไปคนรอบข้างถึงกับอุทานออกมา
“เขาเป็นสัตว์ประหลาดรึไง?ไปถึงขั้นสี่สิบแล้วยังเดินต่ออีก!”
“เขาอยู่ขั้นสี่สิบแล้วพรสวรรค์ของเขานับเป็นศิษย์นอกระดับสูง”
นายหญิงซือถูตาเป็นประกายเพียงคำพูดมิอาจอธิบายความตกตะลึงที่นางเป็นได้
เจ้าตำหนักคงฉษนยิ้มอย่างพอใจ
“ตระกูลซือถูมีความดีความชอบอย่างมากในการแนะนำเขาดังนั้นศิษย์ในหอนภาจะขยายเป็นสี่สิบปี โอสถรากชำระกายจะเพิ่มอีกยี่สิบเม็ด รวมถึงโอสถชำระเทพระดับห้าอีกหนึ่งเม็ดด้วย”
โอสถชำระเทพ?เจ้าตระกูลชางก่วนเบิกตากว้าง พวกเขามิต้องสนใจเรื่องสิทธิ์บนหอนภาก็ได้ เช่นเดียวกับเรื่องโอสถรากชำระกาย แต่โอสถชำระเทพนั้นทำให้เจ้าตระกูลทุกคนตกใจมาก แม้แต่เหล่าจ้าวเทวะก็สั่นไปทั้งตัว ความตื่นเต้นปรากฏในดวงตาพวกเขา
ใบหน้าผู้เฒ่าหลี่ที่เพิ่งกลับมาเต็มไปด้วยความอิจฉาเขาประสานหมัดให้นายหญิงซือถู
“ยินดีด้วยนายหญิงฐานพลังท่านจะต้องก้าวไกลไปกว่านี้แน่นอน ช่างน่าอิจฉานัก”
นายหญิงซือถูสั่นไปทั้งตัวเมื่อคิดถึงโอสถชำระเทพโอสถที่ส่งผลกับภูติจะเรียกว่าโอสถวิญญาณ ส่วนโอสถที่ส่งผลกับจ้าวเทวะจะเรียกว่าโอสถลับ โอสถชำระเทพนั้นนับว่าเป็นโอสถลับชั้นกลาง มันมีผลอย่างมากกับจ้าวเทวะชั้นต้นและชั้นกลาง
นายหญิงซือถูนั้นเป็นจ้าวเทวะระดับสามผลการชำระล้างของโอสถจะทำให้นางแข็งแกร่งกว่าเดิม! โอสถชนิดนี้มิอาจหาซื้อได้ตามท้องตลาด แม้จะเป็นโอสถที่ระดับเดียวกันก็มิอาจหาได้ แถมมันยังเป็นโอสถระดับห้าอีก!
นายหยิงซือถูยิ้มแย้มรับข่าวดีนางเกือบจะเป็นลมเสียด้วยซ้ำ!
ชางก่วนหยุนซื่อปากบิดเบี้ยวเขามองผู้เป็นพ่อด้วยความเวทนา เขาไม่ดีใจกับความโชคร้ายของผู้เป็นพ่ออีกแล้วเพราะเขารู้ว่าพ่อของเขาใช้เวลาหลายปีมากเพื่อที่จะได้ครอบครองโอสถชำระเทพ แต่เขาก็ไม่เคยได้มันมา เขารู้ว่าพ่อเขาจะต้องเศร้าใจอย่างมากในเวลานี้
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามซือหยูได้ก้าวไปถึงขั้นที่สี่สิบห้าจากชั้นสี่สิบ เขาเห็นภาพเงาในแต่ละขั้น ทุกขั้นคือภาพเงาของคนสุดท้ายที่ผ่านมัจฉาข้ามประตูมังกร
เมื่อซือหยูก้าวไปข้างหน้าเขาจะกำจัดภาพเงาให้หายไปมากขึ้นเรื่อยๆเหลือไว้แต่ภาพเงาของตัวเขา หลังจากผ่านไปสี่ชั่วยาม ซือหยูได้เดินไปถึงชั้นสี่สิบเก้า
ทั้งร่างเปียกชุ่มเหงื่อกระดูกของเขาราวกับแตกสลาย ดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่แม้จะเป็นอย่างนั้นซือหยูก็ยังดีใจ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณและร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้น ถ้าหากเขาไปได้ไกลกว่านี้ เขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
ทุกคนเงียบลงพวกเขาอยากจะรู้ว่าซือหยูไปถึงชั้นห้าสิบได้หรือไม่ ถ้าเขาทำได้ นั่นก็นับว่าเขามีพรสวรรค์ในระดับปีศาจและจะมีสถานะเทียบเท่าอสูรทั้งสี่แห่งตำหนักนอก!
เจ้าตำหนักฮั่วหัวเราะเบาๆ
“แม้แต่ศิษย์ในก็มีแต่พวกระดับสูงเท่านั้นที่มาถึงขั้นห้าสิบได้ดูเหมือนว่าศิษย์นอกจะได้ปีศาจคนใหม่ในวันนี้แล้ว!”
ความยินดีปรากฏบนใบหน้าเจ้าตำหนักคงฉานแต่ไม่นานสีหน้านางก็เศร้าหมองลง
“พรสวรรค์เด็กคนนี้มิได้จำกัดเพียงเท่านี้แต่ถ้าเขาก้าวต่อไป พวกผู้เฒ่าตำหนักในก็อาจจะรับเขาเป็นศิษย์ในล่วงหน้า พวกเราจะสูญเสียเขาไป”
ซือหยูเงยหน้าและพบภาพเงายืนอยู่บนขั้นห้าสิบภาพเงานี้ดูเหมือนจะเป็นภาพของเด็ก
ซือหยูส่ายหน้าก้าวต่อไปภาพเงาเด็กแตกสลายแทนที่ด้วยภาพซือหยู ในที่สุดเขาก็ไปถึงขั้นห้าสิบแล้ว
ทุกคนกลั้นหายใจลุ้นจนเกือบตายพวกเขามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา อสูรอีกตนได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!
ในตอนนี้ซือหยูต้องรับแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้เสียงกระดูกแตกลั่นมาจากร่างกาย ขณะที่ดวงวิญญาณเองก็รับแทบจะไม่ไหว เขาใกล้ถึงขีดกำจัดเต็มที แต่เขายังสามารถไปได้อีกหลายขั้น
ซือหยูเงยหน้ามองสิบขั้นตรงหน้ามันไม่เหมือนกับสิบขั้นก่อน ตรงนี้มีภาพงาไม่เกินกว่าสี่ภาพรวมถึงซือหยูบนขั้นห้าสิบ เขาเห็นภาพเงาที่ชั้นห้าสิบสอง ห้าสิบสาม และสตรีตัวสูงบนชั้นห้าสิบเจ็ด
ซือหยูประเมินพลังของตัวเองในใจเขามีหม้อเก้ามังกรช่วยเหลือ ดังนั้นวิญญาณเขาจะทนรับแรงกดดันได้โดยไม่มีปัญหานัก ขณะที่ร่างกายเองก็ยังใช้กายามังกรที่เขายังไม่ใช้ออกมาได้ ดังนั้นถ้าเขากัดฟันทนต่อไป เขาจะกระชากภาพเงาขั้นที่ห้าสิบเจ็ดจนแตกสลายได้
แต่อย่างไรเขาก็ตัดสินให้ตัวเองไม่โดดเด่นมากนักเมื่อเข้าสำนักครั้งแรกซือหยูไม่รู้ว่าผลการสอบมัจฉาข้ามประตูมังกรครั้งนี้ทำให้เขามีชื่อขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครสนใจเขา
ซือหยูเหยียดเท้าผละตัวออกจากวารีหนักอึ้งและบินกลับสู่พื้นทุกคนตกใจที่เขาทำเช่นนั้น เพราะคนอื่นที่ออกจากมัจฉาข้ามประตูมังกรล้วนเหนื่อยล้าแม้แต่เฉาหลี่เองก็ตาม
แต่การที่ซือหยูออกจากวารีหนักมหาศาลได้ง่ายๆนั้นบ่งบอกว่าเขายังมีพลังเหลือและยังก้าวไปได้ต่อเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเขายังซุกซ่อนพลังเอาไว้อยู่อีก!
เจ้าตำหนักคงฉานกับเจ้าตำหนักฮั่วสบายใจขึ้นและเหลือบมองกันจากนั้นทั้งคู่จึงหันไปมองซือหยู พวกเขาเห็นว่าพื้นฐานพลังของซือหยูหนักแน่นขึ้นมากแล้วเพราะเขาตัดสินใจหยุดและซ่อนความสามารถเอาไว้
เจ้าตำหนักคงฉานยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มนางมองนายหญิงซือถู
“นายหญิงซือถูเจ้าแนะนำเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมมากกับพวกเรา เจ้าทุ่มเทอย่างมากต่อตำหนักโลหิต เจ้าจะได้โอสถชำระภูติระดับหกหนึ่งเม็ด สิทธิ์การรับคนจากตระกูลซือถูให้ทวีขึ้นหนึ่งทบ หมายความว่าแต่ละครั้งเจ้าจะแนะนำได้ถึงสี่สิบคน”
นางพูดต่อ
“ข้าหวังว่าเจ้าจะแนะนำคนมีพรสวรรค์อย่างซือหยูเซี่ยนได้อีกในภายภาคหน้า”
สีหน้าของเจ้าตระกูลทุกคนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินรางวัลนอกจากนางจะได้โอสถชำระภูติระดับห้าแล้วนางยังจะได้โอสถระดับหกมาอีก! แม้แต่คนที่เป็นจ้าวเทวะระดับสามก็กลายเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ได้ง่ายๆด้วยความช่วยเหลือจากโอสถ มิต้องพูดถึงนายหญิงซือถูที่อยู่จุดสูงสุดของจ้าวเทวะระดับสามมานาน!
พวกเขารู้ว่าตอนนี้นายหญิงซือถูจะได้เป็นจ้าวเทวะชั้นกลางซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่ากับเฉาเอวี่ยหมิง!และอีกเรื่องที่ทำให้ใบหน้าพวกเขาเศร้าหมองก็คือสิทธิ์ที่นางจะได้แนะนำคนเข้าตำหนักได้เพิ่มขึ้นมากกว่าพวกเขาเป็นเท่าตัว
อนาคตจะมีหนุ่มสาวตระกูลซือถูได้รับสิทธิ์มากมายและชื่อเสียงของตระกูลซือถูก็จะก้าวไกลขึ้นเพราะได้แนะนำอัจฉริยะระดับอสูร ชื่อเสียงนี้จะทำให้มีอัจฉริยะมาหาพวกเขามากขึ้นในอนาคต!
ผลประโยชน์ตกอยู่กับตระกูลซือถูอย่างเหลือล้นการแนะนำอัจฉริยะแค่คนเดียวนั้นถึงกับได้พลิกอนาคตของตระกูล
แม้มันจะดูสิ้นเปลืองแต่ศิษย์มีพรสวรรค์นั้นล้ำค่าต่อตำหนักโลหิต! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สำนักจะมีอำนาจมากขึ้นเมื่อมีศิษย์มากพรสวรรค์อยู่กับตัว
นายหญิงซือถูมีความสุขจนเกือบเป็นลมแม้นางจะเป็นนายหญิงตระกูลใหญ่ นางก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
นางมิได้ทำให้สามีผู้ล่วงลับผิดหวังนางทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง! ตระกูลซือถูจะเติบโตเป็นผู้นำอย่างรวดเร็ว! ทั้งหมดต้องขอบคุณบุรุษสวมหน้ากากผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นที่นำพาอสูรตนนี้มาถึงนาง!
มีเพียงเจ้าตระกูลชางก่วนที่เศร้ากว่าใครเขาถอนหายใจไม่หยุดหย่อน
“ท่านพ่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะโศกเศร้าไปใย?”
ชางก่วนหยุนซื่อพยายามปลอบ
“ถ้าหากชะตาใดเป็นของท่านชะตานั้นก็ย่อมมาถึงเป็นเช่นนั้นไป อีกอย่าง การพยายามได้มาจากอำนาจก็เป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”
ตอนนี้เจ้าตระกูลชางก่วนราวกับแก่ไปอีกสิบปีในพริบตา
“ข้าแก่เกินแกงไปแล้วข้ามิอาจตัดสินคนได้อย่างเหมาะสม หยุนซื่อ เข้าใกล้ซือหยูเซี่ยนให้มากกว่านี้ ความสำเร็จของเขาไม่ต่ำต้อยไปกว่าเจ้าแน่”
“ได้ท่านพ่อ”
ชางก่วนหยุนซื่อตอบรับ
ด้วยประการนี้การสอบอันน่าตกตะลึงจึงได้จบลงอย่างเป็นทางการ ซือหยูเซี่ยน ยอดฝีมือปีศาจได้ปรากฏกายข้ามประตูมังกรถึงขั้นห้าสิบด้วยฐานพลังเพียงแค่ภูติระดับหนึ่ง! ข่าวนี้ดังก้องไปทั้งสำนัก
“ถ้าหากนับคะแนนตั้งแต่ป่าขังภูติซือหยูเซี่ยนก็คู่ควรกับการได้รางวัลที่หนึ่ง”
ใบหน้าของเจ้าตำหนักคงฉานเต็มไปด้วยความยินดี
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเฉาเอวี่ยหมิงที่เดินทางไปป่าขังภูติได้กลับมา เขาถือร่างของเด็กตระกูลเฉาสองคนที่กำลังจะตาย
ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้นหลังจากที่เขาหาแทบจะทั้งป่า เขาเพียงแค่พบชิ้นส่วนร่างกายของเด็กในตระกูล จากนั้นที่สุดจึงพบเด็กสองคนที่โชคดีที่หนีจากสัตว์อสูรมาได้
คนอื่นๆรวมถึงเฉาหลิงเจี้ยนตายแล้วเขาไม่เห็นแม้แต่ซากศพของเฉาหลิงเจี้ยน!
ทุกคนต่างจ้องหน้ากันมีความยินดีอยู่บ้างสายตาพวกเขาเมื่อได้เห็นความวิปโยคของเฉาเอวี่ยหมิง ดูเหมือนว่าจะมีเด็กตระกูลเฉาแค่วามคนที่รอดมาได้ นั่นหมายความว่าสถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่กว่าตระกูลหลินที่เจอฝูงห่าสัตว์อสูรคร่าชีวิต
“ท่านเจ้าตำหนักข้ามีเรื่องรายงาน ข้าหวังว่าท่านจะมอบความเป็นธรรมให้กับลูกหลานตระกูลเฉาของข้าได้…”
เขากล่าว

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset