The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 797-798

DND.797 – ปรุงยาทำเงิน
เสวี่ยฉีตตามซือหยูไปหลังจากที่ซือหยูออกจากร้าน เขาก็รีบวิ่งเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งจนมาถึงซอยเปลี่ยวที่ค่อนข้างไกลกับที่อยู่อาศัย
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองชายสามคนที่ตามเขามาจากด้านก็ปรากฏตัวขึ้น เค้าโครงหน้าของทั้งสามคนนี้คล้ายๆกันที่อาจจะมาจากตระกูลเดียวกัน ฐานพลังแต่ละคนค่อนข้างแข็งแกร่ง มีสองคนเป็นภูติระดับห้า ส่วนอีกคนเป็นภูติระดับหก
“ทุกท่านตามข้ามานานเช่นนี้…จะไม่พูดอะไรกันหน่อยเรอะ?”
ซือหยูหันไปมองทั้งสามคนด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น
เขาไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อใครในตำหนักสิ่งเดียวที่มีก็คือเรื่องกับตระกูลเฉา พวกเขาไม่รู้ว่าตอนใดควรรามือ เขายังไม่ได้แก้แค้นที่เฉาฉิงเฟิงลอบโจมตีเลยแต่ก็มีคนมาตามล่าเขาอีกแล้ว!
“เจ้าก็รู้ว่าทำอะไรลงไป…เจ้าฆ่าคนบริสุทธิ์ของตระกูลเฉาเจ้ามันไร้หัวใจทั้งยังหยาบช้า พวกข้ามาเพื่อล้างแค้นให้คนในตระกูล”
หนึ่งในชายสามคนพูดกับซือหยูราวกับเป็นฝ่ายถูก
ซือหยูคิดว่าคำพูดและท่าทางของเขาน่าหัวเราะ
“โอ้เจ้าประชดรึ? เจ้าบอกว่าข้าไร้หัวใจเพราะข้าสังหารคนตระกูลเจ้าแค่สิบคน แต่ตระกูลเจ้าก่อฝูงสัตว์อสูรจนคนเข้าสอบตายมากกว่าร้อยคน! นี่ไม่นับเป็นเรื่องหยาบช้าหรือ?”
เขาส่ายหน้าเพราะขยะแขยง
“ที่ข้าสังหารด้วยตัวเองก็มีแต่นายน้อยเฉาเท่านั้นส่วนคนอื่นตายเพราะสัตว์อสูร พวกเจ้าก็แค่ได้รับสิ่งตอบแทน กงล้อกรรมของสวรรค์ลงโทษพวกเจ้าก็เท่านั้น ใยมาโทษข้าเสียทั้งหมดเล่า?”
“เจ้าก็พูดเหลวไหลไปเรื่อยซือหยูเซี่ยน! วันนี้เจ้าไม่รอดแน่”
ทั้งสามพุ่งเข้าใส่ซือหยู
ภูติระดับห้าสองคนช่วยเหลือจากด้านข้างขณะที่ภูติระดับหกเป็นคนจู่โจมซือหยูเขาตะโกน
“สามมังกรถล่มทะเล!”
ทั้งสามใช้วิชาร่วมกันพลังหลอมรวมกันจนถึงภูติระดับเจ็ด! พลังของทั้งสามนั้นมหาศาล มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแรงระเบิดจากแหวนคราวก่อนเลย
ซือหยูกำหมัดพื้นที่โดยรอบหนักขึ้น อากาศรอบข้างถูกดูดเข้ามาหาซือหยู ก้อนพลังทมิฬถูกสร้างอย่างรวดเร็วในมือทั้งสองของเขา
“อรหันต์แปดอักษร!”
ซือหยูตะโกน
ปั้ง!
หมัดทั้งสองของซือหยูปะทะกับมือหกข้างของสามคนคลื่นเสียงได้ส่งผ่านจากฝ่ามือของเขาไปยังสิ่งรอบข้าง แต่ทั้งสามที่หลอมพลังเข้าด้วยกันนั้นหลบได้ และทั้งสามยังพุ่งเข้ามาหาซือหยูไม่หยุด
สีหน้าของเขาเยือกเย็นเมื่อเขาใช้กระบวนท่าเดิมอีกครั้ง พื้นที่โดยรอบก็หนักขึ้นอีก อากาศจำนวนมากไหลมาที่ข้างกายซือหยู มันหมุนวนรอบเขาราวกับผีเสื้อทมิฬ
“อรหันต์แปดอักษร!”
ปั้ง!
เสียงระเบิดดังขึ้นคลื่นเสียงที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากทำให้เหล่าภูติระดับห้ากระอักเลือดและกระแทกเข้ากับกำแพง มีเพียงแค่ภูติระดับหกคนเดียวที่ยังยืนอยู่ได้
โลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขาเขาเบิกตากว้างและตกตะลึง
“เจ้าบ่มเพาะวิชาระดับตำนานชั้นกลางระดับหนึ่งจนสมบูรณ์!เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้ามีวิชาระดับตำนานได้ล่ะ?”
เขาถามซือหยู
ซือหยูตอบอย่างเยือกเย็น
“พูดมากเหลือเกิน”
“ถ้าเจ้าไม่คิดจะตอบข้าก็จะจับตัวเจ้าเค้นคำตอบออกมา!”
เขาขู่ซือยหูแต่เขาก็จำได้ว่าเฉาฉิงเฟิงบอกให้พวกเขาทำร้ายซือหยูเท่านั้น
“หมัดวายุ!”
เขาตะโกนลั่น
แม้ศัตรูจะมีวิชาระดับตำนานเขาก็มีวิชาชั้นยอดในระดับรองลงมา เมื่อเทียบกับฐานพลังแล้วเขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะซือหยูได้
แววตาซือหยูเยือกเย็นและเมื่อศัตรูมาถึงตัว แขนทั้งสองข้างของเขาก็เปล่งแสวราวกับมังกรทอง
กร๊อบ!
เสียงดังไปทั่วเมื่อกระดูกของภูติระดับหกหักพร้อมกับร่างของเขาก็สะท้อนกลับไปชนกำแพงเขากระอักเลือดจำนวนมหาศาลขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ
สุดท้ายเขาก็กระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงเขามองซือหยูที่แขนเป็นสีทองอย่างไม่เชื่อสายตา
“เจ้า!”
เขาร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวและตกใจ!
แผละ!
ซือหยูเหยียบอกของเขาด้วยเท้าและทำให้สลบดวงตาของเขาตะบัดราวกับสายตาเมื่อมองกำแพงรอบๆ เขาจ้องไปยังพื้นที่เล็กๆด้านหลังกำแพงข้างหน้าเขา มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนที่จุดระเบิดแหวนมิติในวันก่อนเพื่อพยายามฆ่าซือหยู!
“เฉาฉิงเฟิง”
ซือหยูพุ่งบินราวกับนกนางแอ่น
เขารีบไปยังพื้นที่แห่งนั้นแต่เขาก็พบว่ามันว่างเปล่า ทั้งอย่างนั้นก็ยังสัมผัสพลังของคนที่เคยอยู่ตรงนี้และเสียงสะท้อนของเขาได้
“บัดซบ!”
เฉาหลิงเฟิงสาปแช่งเขาไม่คิดเลยว่าภูติระดับห้าสองคนกับภูติระดับหกอีกคนที่เขาส่งมาจะแพ้ให้ซือหยูง่ายดายแบบนี้!
แม้แต่เสวี่ยฉีที่แอบมองและพร้อมจะกระโดดเข้าไปช่วยเขาทุกเมื่อก็ตกตะลึง
“วิชาระดับตำนานชั้นกลางรึ?เขาซ่อนพลังเอาไว้มากนัก!”
นางอยากจะฉวยโอกาสตอนที่เขาหมดท่าและทำให้เขามอบสิทธิ์ให้กับนางแลกกับการที่นางกำจัดศัตรูให้แต่นางไม่คิดเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งเช่นนี้! เขาจัดการคนสามคนได้อย่างง่ายดาย!
และการที่คนระดับนี้เป็นแค่ภูติระดับสองทำให้นางต้องประเมินเขาใหม่เสวี่ยฉีถอยกลับไปอย่างโศกเศร้า
ซือหยูมองไปยังทิศทางที่เสวี่ยฉีจากไปก่อนจะเริ่มคำนวนเวลาเขาคิดว่ามันยังบ่ายอยู่และมีเวลานานก่อนจะถึงเที่ยงคืน เขาจึงหันไปยังฝ่ายปรุงยาเพราะอยากจะดูราคาของโอสถ
เขาต้องการยืนยันราคาของโอสถที่เขาได้สูตรมาและสุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวไว้
ยังมีผงพลังชีวิตจำนวนมากวางขายมันขายในราคาสิบคะแนนต่อขวด ส่วนโอสถชีพโกลาหลนั้นตั้งราคาไว้ที่ห้าสิบคะแนน และไม่มีขายแม้แต่เม็ดเดียว ดังนั้นกำไรที่จะได้จากการขายโอสถนี้น่าจะแทบไร้ขีดจำกัด!
ซือหยูตรวจสอบราคาของโอสถชั้นกลางด้วยเขาสนใจราคาของโอสถที่ช่วยเพิ่มฐานพลังเป็นหลัก
เมื่อซือหยูอ่านราคาก็เอามือทาบอกเพราะมันค่อนข้างแพงมาก ที่ถูกที่สุดนั้นขายด้วยร้อยคะแนน ที่แพงกว่าก็ทะยานไปถึงห้าร้อยคะแนน! มันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจ่ายไหวเลย!
เขาสงสัยว่าวารีกลั่นดวงใจที่มีผลเพิ่มฐานพลังจะเทียบกับโอสถเหล่านี้ได้หรือไม่มันน่าจะไม่แย่ไปกว่ากันนัก ราคาก็คงจะสูงมาก…ซือหยูคิดในใจ
ซือหยูส่งผู้เฒ่าเหลียวให้ไปหาวัตถุดิบปรุงวารีกลั่นดวงใจเขาคิดว่าผู้เฒ่าน่าจะนำวัตถุดิบมาให้เขาในอีกไม่นาน พอถึงตอนนั้น ซือหยูถึงจะเริ่มปรุงโอสถชั้นกลางได้
นอกจากโอสถเหล่านั้นก็ยังมีวัตถุดิบอื่นๆกับเครื่องมือและหม้อปรุงวางขายที่นี่ซือหยูคิดจะปรุงโอสถอยู่แล้ว เขาจะต้องมีหม้อปรุง แต่เมื่อเห็นราคาก็ถึงกับผงะหงาย
นั่นก็เพราะหม้อที่ถูกที่สุดมีราคาสี่ร้อยคะแนน!เขาไม่คิดเลยว่าหม้อจะแพงอย่างนี้! เหตุที่มันแพงก็เพราะการผลิตที่ค่อนข้างยาก มันต้องใช้วัตถุดิบที่กันไฟอย่างสูงง
ซือหยูกัดฟันจ่ายสี่ร้อยคะแนนซื้อหม้อใบถูกมันทำให้เขาเหลือแค่สามร้อยห้าสิบคะแนน
เขาเริ่มมองหาสถานที่ปรุงผงพลังชีวิตและโอสถชีพโกลาหลมีสถานที่แห่งหนึ่งในตำหนักที่มีเพลิงธรณีคล้ายกับของตระกูลหยวน
แต่มันมิได้ใช้เพื่อปรุงโอสถมันใช้เพื่อช่วยบ่มเพาะพลัง มันคือห้องเพลิงคลั่งและตั้งอยู่ติดกับห้องบ่มเพาะพลัง
ซือหยูยังมีความกลัวห้องบ่มเพาะพลังอยู่เพราะนั่นคือจุดที่เขาเจอกะเทย มันคือประสบการณ์ขนหัวลุกที่ทำให้เขาหวาดกลัวไม่หายเหมือนเงาในหัวใจ
ซือหยูรีบเดินผ่านห้องบ่มเพาะพลังไปอย่างรวดเร็วและรีบเข้าสู่ห้องเพลิงคลั่งเขาต้องจ่ายไปอีกร้อยคะแนน ราคาระดับนี้ทำให้ซือหยูถอนหายใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาตระหนักถึงความสำคัญของคะแนนอีกครั้ง
เมื่อเขาไปที่ห้องเพลิงคลั่งก็พบว่ามันมีความร้อนสูงกว่าด้านนอกยากกว่าที่เขาจะชินกับความร้อนระดับนี้
มีห้องส่วนตัวมากมายหลายขนาดที่มีเพลิงหลายชนิดในห้องยังมีอุปกรณ์ปรับความร้อนด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ที่นี่เหมาะแค่การปรุงยา
ตอนที่ซือหยูกำลังจะเลือกห้องเขาก็พบสตรีร่างกายงดงามที่อายุราวสี่สิบปี นางหน้าแดงระเรื่ออาจจะเป็นเพราะนางอยู่กับความร้อนมานานแล้ว นั่นจึงทำให้นางดูเร่าร้อนยิ่งขึ้น
นางเป็นจ้าวเทวะเห็นได้ชัดว่านางคือเจ้าของห้องเพลิงคลั่งแห่งนี้
“เจ้าหนูถ้าเจ้าอยากจะเข้าห้องจะต้องจ่ายเพิ่มอีกสองร้อยคะแนน เจ้ามีเวลาจำกัดแค่ห้าชั่วยาม”
นางผู้มีร่างกายเร่าร้อนเดินมาหาซือหยูพร้อมกับงุนงงรูปลักษณ์ของเขานางสงสัยว่าจะมีศิษย์ที่แก่เฒ่าเช่นนี้ได้อย่างไร
ซือหยูมุมปากปิดเบี้ยวเมื่อได้ยินในเรื่องของค่าเข้าแต่มันเพื่อการปรุงยา เขาจำเป็นต้องจ่าย มันทำให้เขาเหลือคะแนนเพียงห้าสิบคะแนนเท่านั้น
เขาเพิ่งจะเข้าตำหนักได้หนึ่งวันครึ่งคะแนนหนึ่งพันคะแนนที่เคยมีไหลไปเร็วราวกับน้ำ! ซือหยูคิดว่าเขาจ่ายไม่ไหวอีกแล้ว เขาจะต้องรีบปรุงโอสถ
หลังจากที่เข้าห้องส่วนตัวเขาเริ่มปรุงโอสถอย่างสบายใจ เขาเริ่มจากการจดจำสูตรของผงพลังชีวิตโดยไม่ต้องมองรายละเอียดให้ได้ก่อนจะเริ่มปรุง
ซือหยูใช้ทรายดาราทางช้างเผือกในการชำระล้างวัตถุดิบทั้งยี่สิบชุดอย่างบริสุทธิ์มันทำให้วัตถุดิบโปร่งใสไร้มลทิน จากนั้นเขาจึงพยายามปรุงผงพลังชีวิต
ซือหยูเตรียมการอย่างเคยควบคุมเพลิง หลอมโอสถ เขาทำโดยไม่มีข้อผิดพลาด เมื่อเปิดฝาหม้อก็เห็นผงสีขาวลอยออกมาเพราะแรงกดดันสูง
ซือหยูโบกมือกดผงลงไปในหม้อและรินมันลงขวดผงที่สร้างจากวัตถุดิบชุดเดียวนั้นมากพอจะใส่เต็มขวด
เขาเห็นแสงเรืองจางๆสองสายจากผงที่อยู่ในขวดมันมีรูปร่างคล้ายสายโลหิต
“โอสถระดับสอง!”
ซือหยูยิ้ม
เมื่อก่อนเขาปรุงได้เพียงโอสถระดับหนึ่ง แต่เมื่อชำระล้างวัตถุดิบอย่างเต็มที่ เขาก็ปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ!
DND.798 – ตกลงกับจ้าวหอเพลิงคลั่ง
“ฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบข้าต้องฝึกต่อไป”
ซือหยูพูดและเริ่มปรุงยาต่อไปอย่างสุขสงบ
นางผู้เร่าร้อนที่อยู่ถัดจากประตูได้กลิ่นโอสถจางๆนางมองห้องส่วนตัวของซือหยูด้วยความแปลกใจ นางยิ้มเบาๆ
“อีกคนที่ไม่รู้ว่าควรจะล้มเลิกตอนไหนและอยากจะหาทางลัดในการปรุงยาสินะ”
จ้าวหอเพลิงคลั่งเคยเห็นศิษย์หลายคนที่แอบมายังหอเพลิงคลั่งเพื่อใช้ไฟในการฝึกปรุงยาหลายคนทำไปเพียงเพราะจะปรุงยาไปขายเอาคะแนน แต่บางคนทะเยอทะยานกว่านั้น พวกเขาหวังจะให้ผู้เฒ่านักปรุงยาในสำนักสนใจและพุ่งทะยานตัวเอง
แต่ก็น่าเสียดายเพราะถ้าหากพวกเขามีพรสวรรค์อยู่แล้ว พวกเขาก็จะถูกรับตัวไปตั้งแต่การสอบ การพยายามตอนนี้ล้วนไร้ความหมาย อย่างน้อยศิษย์ที่นางเคยเห็นก็เสียเวลากับคะแนนไปมากจนยอมแพ้ไปด้วยความผิดหวัง
แต่จู่ๆก็มีกลิ่นโอสถโชยออกมาอีกจ้าวหอเพลิงคลั่งผู้เร่าร้อยแปลกใจเล็กน้อย
“โอสถระดับสองรึ?เขามีพรสวรรค์ในการปรุงยานี่! แต่ก็น่าสงสาร โอสถระดับสองทำให้เขารอดในโลกภายนอกเท่านั้น ตำหนักโลหิตแห่งนี้ไม่เป็นที่สนใจเลย โดยเฉพาะผงพลังชีวิต ฝ่ายปรุงยาคิดว่ามันเป็นของชำรุดเสียด้วยซ้ำ”
นักปรุงยาทุกคนในตำหนักโลหิตถูกควบคุมและปกป้องจากตำหนักเพราะเป็นบุคคลหายากโอสถทั้งหมดที่พวกเขาทำจะถูกส่งให้ตำหนัก
นางไม่เคยได้ยินว่ามีศิษย์ที่ไม่เป็นของฝ่ายปรุงยาสามารถปรุงยาเองได้มาก่อนแม้จะมีปรากฏมาบ้าง คนผู้นั้นก็จะถูกฝ่ายปรุงยาเอาตัวไปและบังคับให้อยู่ในความควบคุมของตำหนักโลหิตเพื่อกิจการของตำหนัก
เวลาผ่านไปช้าๆซือหยูที่ยังอยู่ในห้องส่วนตัวเริ่มมีเหงื่อหยดไหลลงมา เขาใช้วัตถุดิบของผงพลังชีวิตหมดแล้ว แต่เขาก็ทำได้เพียงโอสถระดับสอง
นี่เป็นผลที่เขาไม่พอใจนักผงพลังชีวิตที่เขาปรุงนั้นดูไร้ค่า
เขาฝืนกลืนความผิดหวังและพยายามปรุงโอสถชีพหวนคืนถ้าเขาปรุงยาได้จนถึงระดับสาม เขาจะเริ่มทำเงินได้
ซือหยูทำจิตใจให้ว่างจากความคิดวอกแวกต่างๆเขาตั้งสมาธิทั้งหมดกับการปรุงโอสถชีพโกลาหล ครั้งแรกเป็นไปตามคาด เขาทำได้แค่ระดับสอง
มันก็นับว่าเป็นโอสถที่ไม่มีค่านักถ้าเอาไปขายในราคาสิบคะแนนก็อาจจะมีคนซื้อ แต่สิบคะแนนนี้ยังไม่เท่าราคาต้นทุนเลย! มีแค่ระดับสามเท่านั้นที่คุ้มค่ากับการปรุง
ซือหยูไม่คิดจะยอมรับผลเช่นนี้เขาจึงมุ่งมั่นปรุงต่อไป แต่เขาก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากพยายามไปหลายครั้งก็สัมผัสได้ว่าเขาได้รู้อะไรบางอย่างที่มันจะทำให้เขาพัฒนาต่อได้
อย่างเช่นในตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าจะควบคุมความร้อนและความเข้มข้นของไฟอย่างไร เวลาใดที่เขาควรจะหลอมโอสถ และรอนานเท่าใดก่อนจะหยุด ไม่นานเขาก็คุ้นชินกับขั้นตอนของตัวเอง การปรุงยาเริ่มง่ายขึ้นสำหรับเขา
แม้จะล้มเหลวเขาก็ได้เข้าสู่ภาวะแปลกๆโดยไม่ตั้งใจ มันเป็นภาวะที่เหมือนกับว่าเขาไม่ต้องคิดสิ่งใดแต่ร่างกายก็ตอบสนองไปแล้ว ราวกับว่าเขากลายเป็นเครื่องจักรปรุงยา
เมื่อซือหยูได้อยู่ในภาวะนี้เขาคิดว่าตัวเองเหมือนกับตัวหนอนที่กำลังจะเป็นอิสระจากดักแด้และเกิดใหม่ เวลาเคลื่อนอย่างเชื่องช้า ซือหยูอยู่ในภาวะนี้มาโดยตลาด สุดท้ายก็ไม่เหลือวัตถุดิบอยู่อีก เขาเหลือเพียงชุดสุดท้ายในหม้อ
ในตอนนั้นเขามิได้เป็นกังวลจิตใจกลับเยือกเย็นเป็นสงบ ร่างกายทำตามขั้นตอนอย่างชำนาญราวกับว่ามีเทพวิญญาณชี้นำเขา
ทุกอย่างตั้งแต่การเตรียมการขั้นแรกจนถึงการควบคุมไฟและการหลอมรวมในขั้นสุดท้ายแต่ละขั้นตอนสำเร็จอย่างไร้ที่ติ เขาดูเหมือนกับนักปรุงยาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานในตอนนี้
ครึ่งชั่วยามผ่านไปเพลิงโอสถได้ปะทุออกมา นั่นหมายถึงการปรุงยาที่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อซือหยูเปิดหม้อก็มีพลังอันแข็งแกร่งพวยพุ่งขึ้นมา เม็ดกลอนกลมพุ่งออกมาด้วย ซือหยูรับมันเก็บใส่ขวดหยก
มีเสียงกระทบแก้วดังจากภายในขวดหยกเมื่อเม็ดกลอนหมุนวนไปมาไม่หยุดราวกับสัตว์ป่าดุร้ายพอผ่านไปไม่นานมันก็หยุดเคลื่อนไหว มีลวดลายขนนกสามลายปรากฏต่อหน้าซือหยู
“สำเร็จ!ข้ากลายเป็นนักปรุงยาชั้นต้นได้แล้ว! ข้าฝึกจนปรุงโอสถระดับสามได้แล้ว!”
ซือหยูถือขวดหยกด้วยความตื่นเต้น
นับแต่นี้ไปเขาจะถือว่าเป็นนักปรุงยาชั้นต้น หลังจากการทุ่มเทและเสียสละอย่างหนัก มันก็ตอบแทนให้เขาอย่างงาม!
จ้าวหอตกตะลึงเมื่อกลิ่นโชยเข้มข้นแล่นผ่านตัวนางนางมองไปทางห้องของซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา
“โอสถระดับสาม!ยังเป็นโอสถชีพโกลาหลที่ปรุงได้ยากด้วย เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นนักปรุงยาชั้นต้นตัวจริง!”
เมื่ออุทานนางก็คิดอะไรขึ้นมาได้นางโบกมือสลายกลิ่นโอสถในหอจนหมดและเดินไปยังห้องส่วนตัวของซือหยู
เมื่อซือหยูสังเกตรอบๆก็ยิ้มอย่างขมขื่นเขาใช้วัตถุดิบไปหมดแล้ว ผลที่ได้ก็คือกองโอสถเสียและโอสถชีพโกลาหลเม็ดเดียวที่มีค่าแค่ห้าสิบคะแนน
แค่วัตถุดิบที่เขาใช้อย่างเดียวก็มีค่าเกินห้าสิบคะแนนแล้วและเขายังเสียสามร้อยคะแนนให้กับหอเพลิงคลั่งด้วย!
ซือหยูตระหนักได้ว่าแม้เขาจะปรุงโอสถได้การทำเงินจากการขายก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาคิดว่าเขาควรจะคิดถึงเรื่องการประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะเขาจะต้องทำให้คนรู้ว่าเขามีโอสถขาย
สิ่งที่ต้องคิดต่อก็คือต้นทุนการผลิตเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขายโอสถด้วยตัวคนเดียว เขาจะต้องจ้างคนมาขายให้กับเขา และคนที่เขาจ้างจะต้องไว้ใจได้มาก
ส่วนต่อมาก็คือการคำนวณราคาวัตถุดิบตอนนี้เขารู้แล้วว่าโอสถชีพโกลาหลเม็ดเดียวนั้นมีราคาสิบห้าคะแนน
และสิ่งสุดท้ายที่ต้องคิดก็คือต้นทุนของการเช่าห้องปรุงยานี่คือเรื่องที่เป็นปัญหาที่สุด ถ้าเขาขายโอสถยี่สิบเม็ดต่อวัน เขาก็จะได้อย่างมากพันคะแนน ส่วนที่ปรุงยาอย่างเดียวก็จะกินคะแนนเขาไปสามร้อยคะแนน
ถ้าเขานำสามร้อยคะแนนไปซือวัตถุดิบเขาก็จะเหลือแค่สี่ร้อยคะแนน ส่วนราคาการขายก็น่าจะอยู่ราวร้อยคะแนน นั่นจะทำให้เหลือตกมาถึงเขาเพียงสามร้อยคะแนนเท่านั้น
ต่อให้ยังไม่คิดค่าประชาสัมพันธ์เข้าไปเขาก็จะได้เพียงสามร้อยคะแนนต่อวัน เมื่อคิดอย่างนี้ก็จะคำนวณได้ว่าถ้าหากเขาไม่บ่มเพาะพลังเลยทั้งเดือนในระหว่างนี้ เขาก็จะได้แค่เก้าพันคะแนนในแต่ละเดือนเท่านั้น
นั่นทำให้ซือหยูต้องคิดแล้วว่าการจ่ายมากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนน้อยนิดนี้คุ้มค่าหรือไม่
หลังจากที่เก็บโอสถทั้งหมดอย่างระวังเขาก็ทำความสะอาดห้องเพื่อลบร่องรอยของการปรุงยา เขาเปิดประตูออก
เมื่อเปิดประตูออกก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าจ้าวหอเพลิงคลั่งผู้เร่าร้อนได้มายืนรอเขาอยู่แล้ว
นางยืนกอดอกอวบอิ่มและยิ้มอย่างอ่อนหวานนางยื่นแขนขาวหิมะที่มีสีอมชมพูเล็กน้อยผลักซือหยูกลับไปในห้อง นางเดินตามเขาเข้าไปและปิดประตู
ห้องส่วนตัวนี้ไม่ใหญ่นักมันไม่ใช่ที่สำหรับคนสองคน ไหนจะมีจ้าวหอเพลิงคลั่งผู้เร่าร้อนที่ยิ้มอยู่ใกล้เขาอีก
ซือหยูกลืนน้ำลายและก้าวถอยหลังเขาไม่ต่างจากแกะน้อยที่ถูกพยัคฆ์ไล่ต้อนจนมุม
“จ้าวหอข้าแก่แล้ว อย่ารุนแรงกับข้าเลย”
ซือหยูเงยหน้าอันแก่เฒ่ามองนาง
แต่จ้าวหอเพลิงคลั่งมิได้ตกใจนางกลับยื่นมือช้อนคางซือหยูขึ้นมา ไม่ต่างจากอันธพาลที่รังแกสาวน้อยบริสุทธิ์
ซือหยูรู้สึกไม่สบายตัว…โลกเป็นอะไรไปแล้ว?ทำไมจ้าวหอเพลิงคลั่งถึงมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเสวี่ยฉีล่ะ?
“หึหึข้าชอบคนอย่างเจ้า คนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่ภายนอก แต่ยังมีหัวใจของชายหนุ่ม”
จ้าวหอเพลิงคลั่งหัวเราะเบาๆอย่างมีเสน่ห์
เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของซือหยูเขาจะทนไม่ไหวแล้ว
“จ้าวหอถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆเลย”
นางชักมือกลับขณะที่ยังยิ้มอย่างสดใสในตอนนั้นเขาได้เห็นเนินอกขาวกระเพื่อมขึ้นลงต่อหน้าต่อตา
“หึหึหนุ่มน้อย เจ้าคิดจะต่อต้านข้ารึ?”
นางยิ้มซุกซนอย่างกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“ข้ามาหาเจ้าเพราะอยากจะคุยเรื่องธุรกิจกับเจ้า”
ซือหยูแปลกใจเขาถาม
“ตกลงธุรกิจรึ?ท่านเป็นจ้าวหอเพลิงคลั่งแท้ๆ ยังต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการค้าอีกหรือ?”
นางพูดอย่างเศร้าหมอง
“แล้วคนอื่นๆไม่เป็นเหมือนข้าหรืออย่างไร?ข้าไม่ต้องใช้คะแนนรึ? หมื่นคะแนนที่ตำหนักในให้ข้ามันไม่พอใช้หรอกนะ”
หลังจากนางพูดถึงตรงนี้ซือหยูก็รู้แล้วว่านางต้องการสิ่งใด เขาถาม
“จะบอกว่าอยากร่วมมือปรุงยากับข้ารึ?”
นางตอบด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว!เจ้าฉลาดจริงๆ! นั่นแหละที่ข้าต้องการ!”
“ข้าปรุงยาเองได้อยู่แล้วทำไมจะต้องแบ่งกำไร..โดยไม่ได้อะไรด้วยเล่า?”
“เรื่องนั้น…ข้าเป็นจ้าวหอเพลิงคลั่งข้าให้เจ้าใช้ห้องเพื่อปรุงยาได้ฟรี นั่นจะทำให้เจ้าประหยัดได้อีกมากเชียวล่ะ”
จ้าวหอเพลิงคลั่งบอกข้อเสนออย่างมั่นใจ
ซือหยูตกใจกับข้อเสนอถ้าเขายอมรับตามนี้ เขาจะลดต้นทุนไปได้มหาศาล!
“ท่านต้องการเท่าไหร่?”
ซือหยูถาม
นางยื่นมือพร้อมกับแสดงสองนิ้วนางยิ้มอย่างจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“ไม่มาก…แค่สองร้อยคะแนนในแต่ละครั้ง”
“แล้วมันจะต่างอะไรกับการที่ข้าจ่ายค่าเข้าห้องสองร้อยคะแนนด้วยตัวเองเล่า?”
ถ้าซือหยูให้คะแนนของเขาทั้งหมดกับนางเขาก็จะไม่ได้กำไรเลย!
นางยิ้มหวาน
“ข้าไม่ให้เจ้าขาดทุนหรอกเจ้าแค่ต้องให้คะแนนข้าวันละสองร้อย แล้วเจ้าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการขายมัน ข้าจะเป็นคนจัดการเอง แล้วราคาต่ำสุดที่ข้าขายจะไม่ต่ำกว่าหกสิบคะแนน”
“เจ้าก็ไม่ต้องลำบากไปซื้อวัตถุดิบเองด้วยข้าจะเตรียมให้เจ้าล่วงหน้า แต่เจ้าก็ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบที่ข้าเตรียมมา”
หรือพูดอีกอย่างก็คือซือหยูแค่ต้องปรุงยาและส่งให้นางเท่านั้น จากนั้นเขาก็เพียงรอนางเอาโอสถไปขายก่อนจะนับเงินที่ได้ ด้วยหนทางนี้ ซือหยูจะประหยัดทั้งเวลา พลัง และคะแนน!
ซือหยูตาลุกวาวเมื่อคิดว่าจะได้ประหยัดต้นทุนแบบนี้ถ้าเขาปรุงให้นางได้ยี่สิบเม็ดทุกวันแล้วเอาไปขายที่หกสิบคะแนน มันก็จะทำให้เขาได้มาพันสองร้อยคะแนน!
ต่อให้เสียค่าเข้าหอเพลิงคลั่งร้อยคะแนนสามร้อยคะแนนกับวัตถุดิบ และให้จ้าวหอเพลิงคลั่งอีกสองร้อยคะแนน เขาก็จะยังเหลือหกร้อยคะแนนกลับคืนมา ถ้าเขาทำมันทั้งเดือน เขาก็จะได้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นแปดพันคะแนน เขาคงจะโง่มากถ้าไม่ตอบรับข้อตกลงเช่นนี้!
“ไม่คิดเลยจริงๆว่าจ้าวหอจะมีเส้นสายอยู่ในตลาดมืดด้วย…”
ซือหยูพูดอย่างแปลกใจ
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มเสแสร้ง
“แหม่…ไม่ใช่ว่ามีจ้าวหออย่างข้าคนเดียวเสียหน่อยที่เคยไปตลาดมืดเจ้าจะทำหรือไหมล่ะ?”
“ข้าจะทำ…”
ซือหยูตอบอย่างมั่นใจ
แต่หลังจากที่เขาพูดออกไปเขาก็เพิ่งจะคิดได้ว่าคำว่า ‘ทำ’ ที่เขาตอบนั้นมีความหมายแอบแฝงอยู่ จ้าวหอเพลิงคลั่งเองก็รู้ความหมายสองแง่สองง่ามนี้ นางทำหน้าประหลาด
“จ้าวหอข้ายังไม่รู้นามของท่านเลย…”
ซือหยูกล่าว
นางก้มลงตอนที่ซือหยูไม่ทันระวังและจูบหน้าผากของเขานางยิ้มโปรยเสน่ห์
“ข้าเสวี่ยเหลียน…แล้วเจ้าล่ะ?”

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset