The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 819-820

DND.819 – มหันตภัยที่มาตามน้ำ
ใยข้าถึงต้องมาเจอองครักษ์แสงกระจ่างกัน?ซือหยูตกใจมาก พลังที่เขากดเอาไว้เกือบจะเล็ดรอดออกมาในขณะนี้
แต่เป็นเพราะอสูรเนรมิตรเหล่านี้ให้ความสนใจกับศัตรูและไม่พบซือหยูหรือไม่สนใจในแม่น้ำมิเช่นนั้นพวกเขาก็หาตัวซือหยูเจอแล้ว
ซือหยูใจเย็นลงและเงยหน้ามองด้านบนองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าของราชาเขตกลางกำลังล้อมรอบนายน้อยคนหนึ่งที่มีมงกุฎสุริยันจันทราอยู่บนศีรษะ เขาก็เป็นอสูรเนรมิตรเหมือนกัน!
ซือหยูตกใจมากเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีอสูรเนรมิตรที่อ่อนวัยเช่นนี้อยู่ แม้กระนั้น คนผู้นี้ก็อาจจะมิได้อ่อนวัยจริง เพราะได้ยินว่าหลังจากเป็นอสูรเนรมิตร อายุขัยจะเพิ่มขึ้นไปอีกพันปี นั่นทำให้การแก่ตัวช้าลงมาก
“มีหนทางสู่สวรรค์เจ้ากลับไม่ขึ้น ไร้หนทางสู่นรก เจ้ากลับบุกลง! ถ้าเจ้ายังอยู่ในตำหนักโลหิตพวกเราก็คงจะกลัวและไม่ทำอะไรเจ้า แต่หากไม่รู้ที่ต่ำที่สุดและจู่โจมพวกข้า! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เจ้าต้องตาย!”
หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างสีหน้าดุร้ายเขาทั้งโกรธแค้นและโศกเศร้า
ถ้าหากมีใครสังเกตเขาให้ดีจะพบว่ามีรอยแผลที่ปล่อยพลังทมิฬออกมาจากอกของเขามันคือแผลที่มิอาจรักษาตัวเองได้
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“หากเจ้ากล้าแอบมาในดินแดนตำหนักโลหิตของข้าเจ้าก็ควรจะเตรียมตัวตาย”
ฟึ่บ!
อาวุธประหลาดปรากฏที่มือชายหนุ่มมันคือกงล้อที่เต็มไปด้วยฟันคม มันใหญ่เท่าฝ่ามือ เมื่อมันปรากฏออกมา ความหวาดกลัวก็ได้เกิดให้เห็นบนใบหน้าองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าคน
“สมบัติวิถีอสูร…กงจักรบิน!”
“ย่อมได้พวกข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสมบัติวิถีอสูรขั้นสูงสุดจะเป็นอย่างไร ตั้งกระบวนรบ”
ฟึ่บ!
ทั้งห้าประจำตำแหน่งซือหยูเคยติดอยู่ในการปิดวงล้อมนี้มาก่อน มันคือการล้อมที่เหมือนกับค่ายกลที่ผนึกมิติโดยรอบเอาไว้!
ในครั้งนั้นซือหยูแทบจะเอาตัวไม่รอด! เมื่อวิชานี้ถูกใช้ มิติโดยรอบจะถูกกักขัง ชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้ก็จะติดอยู่ภายใน!
ชายหนุ่มแสยะยิ้มเหยียดหยาม
“วิชากระจอก!”
เขาโบกมือสมบัติภูติของเขาลอยออกไป
ฉั่วะ!
รอยดำสนิทเคลื่อนเป็นทางยาวฉีกมิติกักขังซือหยูมาจิวโจวได้สักระยะแล้ว นอกจากเส้นไหมผีเสื้อโกลาหล นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูเจออาวุธอีกชิ้นที่ฉีกมิติได้
เมื่อค่ายกลถูกทำลายอสูรเนรมิตรทั้งห้าก็ได้รับผลสะท้อนกลับ มงกุฎของพวกเขาสั่นอย่างรุนแรง พวกเขาถอยไปหลายก้าวพร้อมกับหน้าซีด
หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างหน้ามืด
“สมกับเป็นสมบัติภูติวิถีอสูรตั้งค่ายกลอีกครั้ง ที่นี่ใกล้กับเขาวิญญาณจรัส เราต้องระวังยอดฝีมือที่พวกมันซ่อนไว้”
ดวงตาของสี่คนที่เหลือสั่นไหวพวกเขาเริ่มขยับมือใช้วิชาลึกลับ ร่างกายของพวกเขาเปล่งแสงสีทองจนทำให้ทั้งห้าที่เปล่งประกายดั่งดวงตะวันอยู่แล้วเจิดจรัสยิ่งกว่าเดิม!
องครักษ์ทั้งห้าร่วมมือกันกลายเป็นดวงตะวันหลายดวงล้อมรอบชายหนุ่มพร้อมกันนั้นแสงสีทองยังพุ่งออกจากตะวันแต่ละดวง มันพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
“ค่ายกลห้าสุริยาดับสวรรค์!”
ชายหนุ่มอุทาน
“พวกเจ้าบ่มเพาะวิชาแบบนี้ด้วยเรอะ?ราชาเขตกลางดูแลพวกเจ้าดีเหลือเกินนะ!”
เมื่อเหล่าลำแสงทองกำลังจะถึงตัวชายหนุ่มก็ขว้างสมบัติภูติในมือออกไป เสียงมิติฉีกกระชากดังขึ้น แสงสีทองขาดสะบั้น แต่ดวงตะวันทั้งห้าก็ปล่อยลำแสงไม่ขาดสาย ชายหนุ่มที่ควบคุมสมบัติภูติก็ต้านทานอย่างต่อเนื่อง
เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่ออสูรเนรมิตรทั้งหกต่อสู้กันพื้นที่ในรัศมีหมื่นลี้ได้รับผลกระทบ
แม่น้ำเยือกแข็งที่ซือหยูซ่อนตัวสั่นสะเทือนอย่างแรงจนเป็นคลื่นซือหยูที่ซ่อนตัวในพืชน้ำถูกพัดซ้ายขวา เขาพยายามอย่างหนักที่จะอยู่ในก้นแม่น้ำให้ได้
เขารู้ว่าเขาต้องรีบหนีเพราะเมื่อส่วนพลังมาถึงแม่น้ำ แม่น้ำก็เหือดแห้งไป ซือหยูต้องกลั้นหายใจและว่ายไปตามกระแสน้ำ
เมื่อรู้สึกว่าพลังจากด้านหลังไกลขึ้นเรื่อยๆซือหยูสบายใจขึ้นเล็กน้อย เขาใช้พลังชีวิตที่เหลือว่ายน้ำไปราวกับมัจฉา เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามเขาก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเขาอยู่ห่างจากสนามรบเท่าใด
เมื่อคิดว่าว่ายมาไกลพอจนไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ซือหยูก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ก็มีข้อสงสัยเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มคนนั้นใครีกัน?แล้ว…ทำไมเขาถึงต่อสู้กับองครักษ์แสงกระจ่างล่ะ?
และชายหนุ่มคนนั้นยังเอ่ยว่าตนเป็นคนจากตำหนักโลหิตแต่ตำหนักโลหิตนั้นเปิดเผยว่ามีอสูรเนรมิตรแค่คนเดียว นั่นก็คือม่อเทียนฉวนที่เป็นสตรี!
ส่วนชายหนุ่มอสูรเนรมิตรผู้นั้นเขาคือคนที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักนอกที่จื่อเสวียนพูดถึงรึ?
ซือหยูใบหน้าหมองหม่นหากองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าเริ่มตามหาเขาแม้แต่ในเขตตำหนักโลหิต นับจากนี้ไปเขาจะต้องระวังตัวมากขึ้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาสถานที่กินโอสถเพื่อทะลวงพลังมีเพียงการเพิ่มพลังเท่านั้นที่จะทำให้เขามีโอกาสรอดชีวิต
แต่อย่างไรก็ตามจู่ๆซือหยูก็สัมผัสว่ามีรอยแยกมิติปรากฏเหนือแม่น้ำ เขาสัมผัสได้ว่ามีคนจมน้ำลงมา! เมื่อเงยหน้ามองก็พบชายหนุ่มที่ต่อสู้กับองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้า ร่างกายของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด ท้องถูกทะลวงผ่าน! พลังอันแข็งแกร่งยังคงหลงเหลืออยู่ในบาดแผล!
ซือหยูเคยสัมผัสพลังนี้มาก่อนมันคือพลังของราชาเขตกลาง! ในตอนนั้น ร่างเงาที่เขาส่งมาก็ทำให้ซือหยูต่อต้านไม่ได้อยู่แล้ว ซือหยูจดจำพลังราวพระเจ้าของเขาได้อย่างชัดเจน!
ราชาเขตกลางจู่โจมใส่เขางั้นเรอะ?ซือหยูใจเต้นอย่างหนักหน่วง นั่นแสดงว่าองครักษ์แสงกระจ่างใช้ตราของราชาเขตกลางเรียกเขามาโจมตีชายหนุ่มคนนี้!
แต่ซือหยูก็ไม่คิดจะช่วยเขาเพราะเขาคือเป้าหมายของอสูรเนรมิตรทั้งห้า คนเหล่านั้นใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจก็ตามทัน! ฉะนั้น นอกจากอาจจะช่วยไม่ได้ เขาอาจจะลงเอยด้วยการตายไปทั้งคู่!
แต่เมื่อซือหยูกำลังจะดำลึกลงไปในน้ำและหนีชายหนุ่มที่เหลือสติอยู่เสี้ยวเดียวก็ได้ยื่นมือและใช้พลังมิติกักขังซือหยูกับเขาเอาไว้ จากนั้นเขาจึงจับข้อมือของซือหยูไว้แน่น
เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของซือหยูเขาสะบัดแขนเพื่อสลัดมือให้หลุด แต่มือที่จับข้อมือของซือหยูนั้นแน่นเป็นอย่างมาก ซือหยูมิอาจสะบัดหลุด
“เจ้า…”
ซือหยูโมโหจนพูดเป็นคำไม่ออก
ชายหนุ่มคนนี้จับซือหยูไว้แน่นก่อนจะหมดสติไปถ้าหากซือหยูคิดหนีตอนนี้ เขาก็ต้องพาชายหนุ่มคนนี้หนีไปด้วย!
ความขมขื่นเอ่อล้นในใจ…ข้าทำผิดบาปอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้กัน?
แต่เวลากระชั้นชิดเข้ามาเขาจะต้องหนีแล้ว เขาพาชายหนุ่มดำลึกลงไปที่ก้นแม่น้ำ
หลังจากที่ซือหยูดำลึกลงไปพลังมิติห้าแห่งก็ปรากฏเหนือแม้น้ำ พวกเขาคือองครักษ์แสงกระจ่าง แต่พวกเขาไม่ได้เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างเคย แสงบนร่างพวกเขาหม่นจนเกือบดับเพราะสภาพร่างกายที่ไม่สู้ดี
มีองครักษ์แสงกระจ่างคนหนึ่งที่มีรอยเฉือนที่คอดูเหมือนหัวของเขาจะเคยถูกฟันมาหนึ่งครั้ง!
ส่วนอีกสี่คนนั้นพลังรวยรินใบหน้าซีดราวคนตาย พวกเขามีบาดแผลสาหัสทุกคน
“เราต้องกำจัดมันให้ได้!มันน่ากลัวเกินไป สมบัติภูติวิถีอสูรนั่นทำให้มันมีพลังของอสูรเนรมิตรชั้นสูง พลังมันเกือบจะเท่าราชาของพวกเรา! ถ้าเราไม่ใช้ตราเพื่อเรียกพลังของท่านราชา หัวของพวกเราก็ถูกบั่นเพราะมันไปแล้ว!”
ความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของเหล่าองครักษ์แสงกระจ่าง
DND.820 – ชิงสมบัติภูติ
ชายหนุ่มคนที่จับข้อมือซือหยูเอาไว้นั้นเกือบจะได้สังหารองครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้าที่แข็งแกร่งที่สุดของราชาเขตกลางด้วยตัวเองถ้าซือหยูเห็นสภาพของทั้งห้า เขาก็คงจะตกตะลึงเป็นแน่
“รอยแยกมิติของมันยังอยู่ในระแวกนี้เราต้องแยกไปตามหา มันบาดเจ็บสาหัส มันไปได้ไม่ไกลหรอก…”
หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างกล่าวด้วยเสียงลึกล้ำ
ทั้งห้าแยกจากกันทันทีเพื่อตามหาศัตรูพวกเขาแยกไปคนละทิศละทาง สามคนมองหาบนบก ส่วนอีกสองมองหาตามริมตลิ่ง
องครักษ์ที่คอถูกเฉือนไปตามหาตามระลอกน้ำเขาเห็นว่าซือหยูกำลังว่ายน้ำอยู่พอดี ซือหยูตกใจอย่างหนัก เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
เมื่อถ้าหากอสูรเนรมิตรคนนั้นตามเขาทันก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่เขาจะซ่อนตัวโดยการใช้วิชาซ่อนเร้นเพียงอย่างเดียวโดยเฉพาะเมื่อถูกตามอย่างกระชั้นชิดเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีคนที่หมดสติอยู่ข้างกาย แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะซ่อนตัว หากซือหยูถูกเจอตัว อสูรเนรมิตรอีกสี่คนก็จะรีบมาหาเขาโดยพลัน เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน!
ข้าควรจะทำยังไง?ข้าจะทำให้คนที่ตามข้าเลิกค้นหาด้วยวิธีไหน? แต่ทันใดนั้นเองซือหยูก็ตาเป็นประกาย
หลังผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีอสูรเนรมิตรคนนั้นยังคงตามหาต่อไป แต่จู่ๆเขาก็เห็นว่าคนมาค้นหาที่แม่น้ำเหมือนเขา
“หัวหน้ารึ?ทำไมท่านถึงมาหาที่นี่ล่ะ?”
องครักษ์ผู้มีแผลที่คอตกใจแต่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะสั่งให้ทั้งสี่ไปคนละทิศทาง ส่วนตัวหัวหน้าคงจะมาที่นี่เพื่อค้นหาอีกด้าน!
เขาไม่หันไปมองและพูดอย่างเคร่งเครียด
“ข้ากำลังตามหามันที่แม่น้ำเจ้าไปหาที่อื่นเสีย”
เมื่อได้ฟังคำสั่งเขาก็ตกตะลึง เสียงของหัวหน้าเขานั้นแตกต่างจากเดิมไปเล็กน้อย เขาห้ามไม่ได้ที่จะมองดูหัวหน้าอย่างสงสัย
“ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก?ถ้าเจ้ามัวชักช้าอยู่ ข้าจะไม่อภัยให้เจ้า”
หัวหน้ากล่าว
สีหน้าขององครักษ์ที่สงสัยกลายเป็นดำมืดหากปล่อยให้อสูรเนรมิตรที่กำลังหนีรอดพ้นไปได้ อนาคตของเขาคงจะมีปัญหาเป็นแน่
เขากระวนกระวายมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเขาค่อนข้างกลัวชายหนุ่มคนนั้น เขาจึงเลิกสงสัยและไปหาตามทุ่งป่า
จากนั้นหัวหน้าที่กำลังค้นหาที่ผิวน้ำก็หันกลับ ดวงตากลมโตบริสุทธิ์ของเขาเหมือนกับเด็กที่ไม่ได้มาจากโลก จากนั้น แสงสีม่วงก็ได้สาดรอบกายเปลี่ยนเป็นกิเลนน้อยที่พุ่งลงใต้น้ำในทันที
ซือหยูที่บงการเรื่องทุกอย่างเงียบๆในที่สุดก็ได้ถอนหายใจอุบายของเขาได้ผล
วิชาแปลงกายของกิเลนน้อยนั้นหลอกได้แม้กระทั่งอสูรเนรมิตรโดยเฉพาะตอนที่พวกเขากระวนกระวายแต่กิเลนน้อยไม่สามารถทำเสียงใดได้ จึงเป็นซือหยูที่พูดออกมาจากใต้น้ำ
แต่พวกเขาก็หลอกศัตรูได้สำเร็จซือหยูไม่กล้าจะอยู่ที่นี่อีก เขาว่ายน้ำหนีต่อไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไป…
ฟึ่บ!
องครักษ์แสงกระจ่างทั้งห้ามารวมตัวกันในที่เดิมคนที่เป็นหัวหน้าสีหน้าดำมืด
“พวกเจ้าหาไม่เจอเลยเรอะ?”
ทั้งสี่พยักหน้าตอบคนหัวหน้าส่ายหน้า
“นี่มันอะไรกัน!มันบาดเจ็บสาหัส พลังของท่านราชายังอยู่ในร่างของมันด้วยซ้ำ! มันไม่ควรจะรักษาตัวเองได้ มันจะหนีไปไกลด้วยตัวเองได้ยังไง!”
ทั้งสี่ก็แปลกใจไม่แพ้กันต่อให้อีกฝ่ายมีสมบัติเร้นกายที่ดี เขาก็ไม่น่าจะใช้มันทัน และ…ต่อให้ใช้ได้ พลังของอสูรเนรมิตรก็ยังคงต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้
แต่อีกฝ่ายกลับหายตัวไปอย่างกับผีโดยไม่มีร่องรอยเหลือมันเหลือเชื่อมาก
“พวกเจ้าแน่ใจนะว่าหามันดีแล้วในตำแหน่งที่ข้าบอกพวกเจ้า?”
แววตาของหัวหน้ามองทั้งสี่และตั้งคำถาม
ความตกใจปรากฏบนแววตาขององครักษ์แสงกระจ่างคนที่คอโดนเฉือน
“หัวหน้าพวกเราหาผิดที่เพราะเราเปลี่ยนที่ค้นหาในตอนสุดท้าย จนมันหนีไปได้หรือไม่?”
หัวหน้าขมวดคิ้ว
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?ข้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้! ข้าไปสลับที่กับเจ้าตอนไหน?”
องครักษ์ที่คอโดนเฉือนตกตะลึง
“ก็ท่าน…”
ความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าของเขาหลังจากนั้น
“เดี๋ยวสิ!นั่นไม่ใช่หัวหน้า…”
เขามีข้อระแวงในตอนนั้นและตอนนี้เขายืนอยู่หน้าหัวหน้าตัวจริง เขารู้ในทันทีว่าศัตรูใช้รูปลักษณ์ของหัวหน้าหลอกเขา!
องครักษ์ทั้งห้าตกตะลึงพวกเขารีบไปยังที่เกิดเหตุ แต่ครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปแล้ว ซือหยูหนีพ้นจนไม่เหลือร่องรอยอะไรอยู่อีก
“น่ารังเกียจนัก!”
องครักษ์ที่ถูกหลอกหน้าแดงก่ำเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองถูกอุบายชั้นต่ำหลอกเข้าจนได้!
สีหน้าของหัวหน้าจ้องมองทั้งสี่อย่างดุร้าย
“เจ้าพวกขยะ!ทำไมยังไม่รีบไปหาแทนที่จะยืนอยู่เฉยๆแบบนี้?”
ทั้งห้าแยกกันอีกครั้งและเริ่มตามหาซือหยูแต่หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าซือหยูหนีไปไกลเท่าใด และซือหยูยังเปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนแกะรอยเจอ
ซือหยูหนีต่อไปอีกสามถึงสี่ชั่วยามจนฟ้ามืดเขามองป่ามืดสนิทและมองหาถ้ำที่ซ่อน เขาหน้าซีดราวกับกระดาษเพราะหนีมาเป็นเวลานาน
เขาถอนหายใจยาวและมองชายหนุ่มที่ยังจับข้อมือของเขาเอาไว้แน่นแววตาของซือหยูเยือกเย็นราวน้ำแข็ง เขาเกือบจะโดนฆ่าเพราะคนผู้นี้
แต่เมื่อมองดูบาดแผลของอีกฝ่ายสีหน้าของซือหยูก็ผ่อนคลายลง ไม่ว่าจะอย่างไร คนผู้นี้ก็คือศัตรูของราชาเขตกลาง นั่นหมายความว่าเขาและซือหยูมีศัตรูคนเดียวกัน มิเช่นนั้นแล้วซือหยูก็คงอภัยให้ไม่ได้
ซือหยูมองมือซ้ายของชายหนุ่มที่ถือสมบัติภูติคล้ายกงจักรซือหยูเบิกตากว้างเมื่อมองดูมัน
เขาเคยได้ยินมากับหูตัวเองแล้วว่ามันคือสมบัติภูติชั้นสูงแห่งวิถีอสูรเขายังรู้อีกว่ามันฉีกมิติจนขาดได้ มันคมเหมือนกับไหมผีเสื้อโกลาหล! และมันยังเป็นสมบัติภูติที่สมบูรณ์ พลังของมันมิได้อยู่เพียงแค่ความคมแน่นอน
ซือหยูตื่นเต้นและพยายามจะคลายมืออีกฝ่ายออกเมื่อทำเช่นนั้นก็พบว่าแม้มือขวาของเขาจะจับซือหยูไว้แน่น มือซ้ายก็ไร้ความรู้สึก ซือหยูคลายมือออกอย่างง่ายดาย
แกร๊ง!
สมบัติภูติตกพื้นส่งเสียงแหลมซือหยูหยิบมันขึ้นมาดูและรู้สึกว่ามีพลังอสูรหนาแน่นพุ่งเข้าใส่สมองของเขา
เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในทันทีวิญญาณของเขายุ่งเหยิง เขารู้สึกว่าตนเองมิอาจหยุดความปรารถนาในการฆ่าได้ ความปรารถนานั้นส่งผ่านมายังส่วนลึกสุดของจิตใจ
ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับเนตรอสูรมันน่ากลัวมาก! หัวใจของซือหยูมีเพียงความปรารถนาในการฆ่าฟัน เขาลืมเลือนเหตุผลไปหมดแล้ว
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
ตอนนั้นเองหม้อเก้ามังกรพบวิกฤติ มันสั่นเล็กน้อย ของเหลวคล้ายโลหิตหยดลงมา มันทำให้วิญญาณของซือหยูใจเย็นลงอีกครั้ง
สีแดงในแววตาซือหยูหายไปโดยส่วนมากความอาฆาตฆ่าฟันก็ดับลงไปพร้อมกัน
ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขาปล่อยมือจากสมบัติภูตินั้น เขารู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ก่อน เขาได้ถูกอสูรเข้าครอบงำและเข้าสู่ร่างมืด!
เขาเพียงแค่สัมผัสมันแต่เขาก็จะกลายเป็นอสูรเพราะมันในพริบตาโดยลืมเลือนเหตุและผลทั้งหมดไป! ถ้าเขาถือมันนานกว่านี้ จิตของเขาคงจะถูกลบหายไป พอถึงตอนนั้น เขาจะกลายเป็นอสูรที่จิตใจมีแต่ความปรารถนาอันดำมืด!
ซือหยูมองกงจักรทมิฬและก่นด่าตัวเองทำไมข้าประมาทอย่างนั้นได้….
สมบัติภูติจะเป็นเรื่องเล็กๆได้ยังไง?และมันยังเป็นสมบัติภูติชั้นสูงในวิถีอสูรอีก นั่นหมายความว่ามันยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก! ข้าอ่อนหัดนักที่ไปแตะต้องมัน!

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset