The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 856 – ร้านโอสถเขตกลาง

DND.856 – ร้านโอสถเขตกลาง
“ศิษย์พี่ท่านมาโรงประมูลของพวกเราทำไมหรือ?”
เด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบยิ้มอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นซือหยูที่แต่งกายในชุดของตำหนักโลหิต
เหตุที่เขาเรียกซือหยูว่า‘ศิษย์พี่’ ก็เพราะใบหน้าแก่เฒ่าของเขา เขาไม่รู้เลยว่าอายุจริงของซือหยูนั้นน้อยกว่าเขาเสียอีก!
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ข้าอยากจะประมูลของของข้าในโรงประมูลของตำหนักรบกวนเจ้านำทางข้าจะได้หรือไม่”
“ได้สิศิษย์พี่โปรดตามข้ามา”
เขามิได้ปฏิเสธเพราะเขาทั้งสองคือคนจากตำหนักโลหิตเช่นกันเมื่อมาอยู่ภายนอกตำหนัก พวกเขาย่อมรู้ดีว่าต้องช่วยเหลือกัน
พวกเขาไปยังห้องด้านหลังโรงประมูลที่คล้ายกับของโรงประมูลเทียนหยามีทหารมากมายปกป้องที่นี่อย่างแน่นหนาและกลุ่มยอดฝีมือที่ต่อแถวเพื่อขายของ
พวกเขาทุกคนรออย่างอดทนเพื่อรับการประเมินสินค้าแต่ผู้คนในแถวนั้นยังไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่มีในโรงประมูลเทียนหยา
ยิ่งโรงประมูลมีชื่อเสียงเท่าใดโรงประมูลนั้นก็จะยิ่งทำราคาสินค้าได้สูงขึ้นไปอีก ยอดฝีมือทุกคนรู้หลักการนี้ พวกเขาจึงรู้ว่าของแบบไหน ควรจะไปอยู่ที่โรงประมูลใด
หลายคนได้ลองนำสินค้าของตนไปประมูลที่โรงประมูลเทียนหยาแล้วแต่ถูกปฏิเสธดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่นำสินค้าเหล่านั้นมาเสี่ยงโชคดูในโรงประมูลตำหนักโลหิต
นี่เป็นเหตุให้โรงประมูลตำหนักโลหิตมักจะไม่มีของดีเพราะส่วนมากก็คือของที่มาตรฐานลดต่ำลงมาจากโรงประมูลเทียนหยา แต่ถึงอย่างนั้นโรงประมูลตำหนักโลหิตก็ไม่มีทางที่ดีกว่าเพราะถ้าหากปฏิเสธกลุ่มคนเหล่านี้ พวกเขาก็จะขาดของที่จะนำขึ้นประมูล
ซือหยูรออย่างใจเย็นที่ท้ายแถวเขารอครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงคิวของตน เมื่อเข้าไปยังห้องส่วนตัว ห้องก็ถูกปิดด้วยผนึกอันแข็งแกร่ง คนภายนอกมิอาจมองดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านใน
ซือหยูแปลกใจในทันทีที่เห็นว่ามีผู้ประเมินสองคนอยู่ในห้องมิใช่แค่คนเดียวอย่างที่เขาคิดทั้งคู่ดูมีอายุอานามใกล้เคียงกัน ทั้งสองเป็นชายแก่ที่อารมณ์มั่นคงไม่เหมือนกับผู้ประเมินในโรงประเมินเทียนหยา
เมื่อซือหยูเข้ามาในห้องทั้งสองก็กำลังพูดคุยกันอยู่…
“เห้อ!วันนี้ห้องประเมินอื่นจะได้ของดีๆหรือไม่ ลำพังแค่ห้องพวกเราไม่พอแน่! ข้าไม่อยากให้การประมูลในอีกสามวันมีปัญหาเลย!”
“หวังอย่าให้มันเป็นแบบนี้เถอะ!อีกสามวันรองผู้จัดการใหญ่จะมา เขาจะเข้าร่วมการประมูลด้วยตัวเอง ถ้าเราไม่มีของดีเลย เราจะถูกเขาตำหนิเอาได้!”
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องแค่นั้นโรงประมูลเราไม่ได้ประมูลของล้ำค่ามาตลอดอยู่แล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็ไม่ได้โกรธเคือง แต่เรื่องของเรื่องก็คือพวกร้านของเขตกลางต่างหาก…”
“ร้านพวกเขตกลางล้วนต่อต้านเราแต่พวกมันยังคิดมาที่นี่และไม่ประมูลของตัวเองในโรงประมูลเทียนหยา พวกมันจะต้องไม่ได้มาดีแน่ๆ รองผู้จัดการใหญ่ถึงคิดจะร่วมประมูลในอีกสามวันยังไงเล่า!”
“ก็ถูกของเจ้าสามร้านจากเขตกลางทำให้การค้าพวกเราซบเซานัก แต่พวกมันยังมาประมูลของพวกมันที่นี่ หรือว่าพวกมันคิดจะมาแสดงพลัง ข้าได้ยินว่าคุณภาพสินค้ากับราคาของทั้งสามร้านนั่นเหนือกว่าพวกเราตำหนักโลหิต พวกมันคิดจะทำให้เราขายหน้า! มันจะใช้พวกเราสร้างชื่อว่าพวกมันพัฒนาสินค้าใหม่ก่อนจะยึดครองตลาดไปยิ่งกว่านี้!”
“เจ้าพวกน่ารังเกียจนั่น!ทรัพยากรจากตำหนักโลหิตมีจำกัด พวกเราแข่งกับเขตกลางที่กว้างขวางกว่าไม่ได้เลย จะไปต่อสู้ด้วยก็มิได้ ได้แค่หวังว่าจะมีสินค้าที่ระดับใกล้เคียงพวกมัน!”
“แต่อีกสามวันจะถึงเวลาแล้ว!มันจะเป็นไปได้รึ? เจ้าของร้านใหญ่สามคนของตำหนักโลหิตก็ทำให้พวกเราผิดหวัง! ยังดีที่ร้านอาหารกับร้านวัตถุดิบสัตว์อสูรยังดีอยู่เพราะหาสินค้าดีมากอบกู้สถานการณ์ได้”
“ส่วนไอ้เจ้าของร้านเฟยนั่นข้าได้ยินว่าเขาเรียกประชุมหลังจากถูกรองผู้จัดการใหญ่ตำหนิ มันคิดจะปอกลอกจากร้านโอสถระดับกลางลงมา มันไม่ได้คิดพยายามโต้กลับร้านเขตกลางเลย มันได้แต่รังแกคนฝั่งเดียวกัน น่าเศร้านัก ร้านโอสถของตำหนักโลหิตคงจะล่มสลายไปเสียก่อน”
“ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทุกร้านโอสถของตำหนักโลหิตแล้วที่เจ้าของร้านเฟยทำไม่ต่างกับดื่มยาพิษในยามกระหาย สุดท้ายการค้าโอสถของพวกเราจะล่มจมเพราะเขา!”
ชายแก่ทั้งสองถอนหายใจยาวพร้อมกันตอนนี้พวกเขาจึงสังเกตเห็นซือหยูที่เพิ่งจะเข้ามา ทั้งสามนั่งลงด้วยกัน
เมื่อเห็นชุดของซือหยูที่ประดับด้วยลวดลายสีน้ำเงินที่เป็นชุดของตำหนักโลหิตสีหน้าของพวกเขาก็ผ่อนคลายลง พวกเขาเผยรอยยิ้มและถาม
“เจ้าเป็นศิษย์ตำหนักโลหิตรึ?”
ซือหยูประสานหมัดพร้อมแสดงตราประจำตัว
“ใช่แล้วข้าเป็นศิษญ์นอกนามซือหยูเซี่ยน ข้ามาเพื่อนำสินค้ามาประมูล”
พวกเขาเหลือบมองตราประจำตัวของซือหยูเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของปลอม พวกเขาก็เป็นกันเองมากขึ้น หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา
“เอาล่ะหากเจ้าเป็นศิษย์ของเรา เราก็จะประเมินสินค้าให้เจ้า แต่อย่าคิดว่าพวกเราจะยอมอ่อนข้อกับเจ้าล่ะ”
ซือหยูยิ้ม
“ข้าไม่กล้าจะขอความเมตตาจากพวกท่านหรอกโปรดประเมินอย่างยุติธรรมเถิด”
เมื่อพูดเขาหยิบกล่องหยกที่เต็มไปด้วยวารีผงกลั่นดวงใจที่เก็บล้มเหลวออกมา
“โอสถน้ำชนิดใหม่รึ?”
คนหนึ่งถามเขาตาเป็นประกายเล็กน้อย
โรงประมูลตำหนักโลหิตขณะนี้แบกความรับผิดชอบอันหนักอึ้งเอาไว้พวกเขาต้องการโอสถชั้นดี ดังนั้นพวกเขาจึงให้คุณค่ากับสินค้าประเภทโอสถมาก! ถ้าพวกเขาไม่พบโอสถยอดเยี่ยมแบบใหม่ ตำหนักโลหิตคงจะต้องขายหน้าในการประมูลที่จะมาถึงในอีกสามวัน
“ถูกแล้ว”
ซือหยูยิ้มเบาๆ
เขามั่นใจว่าตราบที่ทั้งสองไม่อวดดีเหมือนเฒ่าเฉียนพันมือพวกเขาจะพบได้แน่นอนว่าวารีผงกลั่นดวงใจนั้นมหัศจรรย์เพียงใด และชายสองคนนี้ก็ดูสนใจมันอีกด้วย
ในตอนนั้นผู้ประเมินทางด้านซ้ายเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“เจ้าหนูเจ้าได้ยินข่าวลืออะไรที่ทำให้เจ้านำโอสถน้ำใหม่นี้ออกมาหรือไม่?”
เพราะเขารู้ว่าสมาชิกตำหนักโลหิตที่เฉลียวฉลาดจะลองหาโอสถน้ำชนิดใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับสินค้าใหม่จากร้านโอสถเขตกลางหากทำสำเร็จ เขาจะได้รางวัลอย่างงามจากตำหนักโลหิตแน่นอน
ซือหยูส่ายหน้าด้วยความสับสน
“ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงสิ่งใด”
ทั้งคู่ยังคงระแวงแต่พวกเขาก็ไม่กดดันไปมากกว่านี้ ผู้ประเมินทางซ้ายกลับกล่าว
“พวกข้าจะแยกกันประเมินสินค้าของเจ้าด้วยการประเมินสองครั้งจะแน่ใจว่าพวกเราจะไม่พลาดสินค้าชั้นดีไปจากการประเมินด้วยผู้ประเมินคนเดียว ถ้าเจ้าแน่ใจว่าจะให้พวกข้าประเมิน พวกข้าก็จะลงมือเดี๋ยวนี้”
ซือหยูพยักหน้า…โรงประมูลตำหนักโลหิตรับผิดชอบดีมากกว่าโรงประมูลเทียนหยาเสียอีก!
“ท่านเริ่มได้เลย”
ซือหยูยิ้มบางๆ
ทั้งสองมองซือหยูผู้ประเมินทางซ้ายเปิดกล่องหยก กลิ่นหอมโชยขึ้นมาเข้าสู่จมูกของเขาในทันที
ผู้ประเมินตกใจเล็กน้อย
“นี่มันฤทธิ์ทำให้สดชื่นรึ?”
หลังจากมองดูไปครู่หนึ่งเขาตัดสินใจหยดโอสถหนึ่งหยดออกมาตรวจสอบให้ละเอียด ผ่านไปนาน เขาพูดด้วยความตกใจ
“หา?ฤทธิ์หลักคือการเพิ่มฐานพลัง มันมีฤทธิ์ที่ดีเทียบเท่ากับโอสถชั้นกลางที่ดีในท้องตลาด! ไม่เลว! นี่มันสินค้าชั้นเยี่ยม”
แม้ว่าเขาจะตีค่ามันอย่างดีแต่ความผิดหวังก็ปรากฏในดวงตาเล็กน้อย เขาคิดว่าถ้าหากซือหยูนำของสิ่งนี้มาก่อน พวกเขาอาจจะแสดงมันในโรงประมูลได้เพราะมันค่อนข้างเย้ายวนใจ แต่มันก็มิอาจเทียบกับโอสถใหม่ของเขตกลางที่จะประมูลในอีกสามวันได้
ผู้ประเมินด้านซ้ายพูดด้วยความโศกเศร้า
“ผลการประเมินเป็นเช่นนี้…มันคือโอสถน้ำชั้นกลางมีฤทธิ์เพิ่มฐานพลัง ฤทธิ์อยู่ในขั้นสูงในบรรดาโอสถชั้นกลางด้วยกันและมีฤทธิ์รองคือการทำให้สดชื่นขึ้นเท่านั้น”
หลังพูดจบเขาผลักกล่องหยกไปให้ผู้ประเมินทางด้านขวา
“เฒ่าหยูเจ้าประเมินดูสิ!”
ถ้าอยากพูดตามตรงประสบการณ์ในการประเมินของเขาสูงกว่าเฒ่าหยู และโดยปกติ เมื่อเขาประเมินสิ่งใด เฒ่าหยูก็จะประเมินได้ผลแบบเดียวกัน เฒ่าหยูก็มักจะประเมินไม่ละเอียดนัก เขามิได้ประเมินตามที่ควรจะเป็น บอกได้ว่าทักษะของเขาค่อนข้างจะขึ้นสนิมไปเล็กน้อยแล้ว!
แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นเฒ่าหยูเปิดปล่องหยกและเหม่อลอย ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังไม่ได้เริ่มประเมินแม้จะผ่านไปนาน
หลังจากลังเลเฒ่าหยูถามด้วยความไม่มั่นใจ
“เฒ่าซุนเจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ้าพูดถึงสูตรโอสถโบราณเมื่อเดือนก่อน? สีกับฤทธิ์ของโอสถนั่นคล้ายกับโอสถนี้นะ”
เฒ่าซุนผงะหลังเขาหันมามองอย่างเคร่งเครียดและเบิกตากว้าง
เขาถาม…….Aileen-novel
“เจ้าจะบอกว่ามันคือวารีผงกลั่นดวงใจที่หาไม่ได้อีกแล้วน่ะเรอะ?”
เฒ่าหยูส่ายหน้า
“ข้าไม่แน่ใจนักแต่มันคล้ายกัน เพราะโอสถนี้สูญหายไปแล้ว แม้แต่อสูรก็หายไปจนหมด หนึ่งในวัตถุดิบอย่างหญ้าใจสลายเองก็สูญพันธุ์ ยุคสมัยนี้จะมีคนปรุงได้หรือ?”
เฒ่าซุนหยิบกล่องหยกอีกครั้ง
“มาประเมินอีกครั้งเถอะอย่าปฏิเสธความเป็นไปได้ นี่เป็นกฎพื้นฐานของผู้ประเมินทุกคน”
ในฐานะของผู้ประเมินเขาจะต้องเข้มงวดและละเอียดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงเริ่มประเมินใหม่อีกครั้ง เขาไม่เพ่งสมาธิกับฤทธิ์การเพิ่มฐานพลังอีกแล้ว เขาสนใจอยู่กับเรื่องกลิ่นที่ทำให้สดชื่นเพียงอย่างเดียว
ครั้งนี้เขาทำสิ่งที่กล้าอย่างมากนั่นก็คือการกลืนโอสถเข้าไปหนึ่งหยด! มันเกินคาดมากที่เขากล้าทำไปแม้จะไม่แน่ใจว่ามันมีพิษหรือไม่! นี่แสดงให้เห็นว่าเขาทุ่มเทกับการทำงานแค่ไหน!
เมื่อเขากลืนโอสถไปหนึ่งหยดพลังอันบริสุทธิ์ได้แพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่พลังชีวิตในจุดกำเนิดพลังของเขาก็บริสุทธิ์ขึ้น แต่ผลของมันมิได้จำกัดเพียงเท่านั้น
พร้อมๆกับที่พลังบริสุทธิ์ขึ้นดวงวิญญาณของเขาร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า นั่นก็เพราะมันร้อนจนเขาคิดว่ามันเป็นของอันตราย!
แต่จากนั้นเขาก็ยินดีเป็นอย่างมากเพราะเมื่อหลังจากฤทธิ์ของโอสถหายไป ดวงวิญญาณของเขาได้มีชีวิตชีวาและแข็งแกร่งกว่าเดิม!
เขาตัวสั่นใบหน้าแสดงความปิติยินดี เขาจ้องมองกล่องหยกด้วยดวงตาสดใส เขาอุทาน
“ไม่ผิดแน่!มันคือวารีผงกลั่นดวงใจของจริง! มันมีสีม่วงและสถานะเป็นน้ำ มันสามารถเพิ่มฐานพลังได้! ที่สำคัญกว่าก็คือถ้าหากรับประทานเป็นเวลานาน มันจะทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นได้มาก นี่เป็นวารีผงกลั่นดวงใจของแท้!”
เฒ่าหยูตกตะลึง
“นี่มันเรื่องจริงเรอะ?”
ในตอนนั้นเขากลืนโอสถไปหนึ่งหยดเช่นกัน เมื่อผ่านไปนาน เขาก็ลืมตาขึ้นด้วยความดีใจและตกใจ  “วิญญาณข้าแข็งแกร่งขึ้น!นี่มันวารีผงกลั่นดวงใจ!”
ผู้ประเมินทั้งสองเคยประเมินสมบัติมานับไม่ถ้วนในช่วงชีวิตพวกเขาเห็นสมบัติมามากยิ่งกว่าจ้าวเทวะ พวกเขามีประสบการณ์และความรู้อันกว้างขวาง นี่เป็นเหตุให้พวกเขามักจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับสิ่งใด
พวกเขาเพิ่งจะมีความรู้สึกถึงขั้นนี้เพราะโอสถโบราณที่ควรจะหายไปจากโลกแล้วมันคือโอสถวิญญาณชั้นเยี่ยมที่จะเพิ่มพลังของดวงวิญญาณได้!
แม้มันจะเป็นแค่โอสถชั้นกลางที่มีผลกับเหล่าภูติเท่านั้นแต่ถ้าหากข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป แม้แต่จ้าวเทวะก็อาจจะเป็นบ้าเพราะมัน! ต่อให้มันทำให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นได้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะจ่ายในทุกราคา!
ผู้ประเมินทั้งสองมิอาจเก็บความตกตะลึงได้แม้จะผ่านไปนานพวกเขามองซือหยูด้วยแววตาเป็นประกาย หนึ่งคนถามยืนยัน
“โอสถน้ำนี่ชื่ออะไรรึ?”
ซือหยูเผยรอยยิ้มจางๆ
“วารีผงกลั่นดวงใจ”
พวกเขาหายใจเข้าลึกเมื่อยืนยันเรื่องจากทั้งสองฝ่ายแล้วพวกเขาเหลือบมองกันด้วยความดีใจ พวกเขาจะต้องได้ชมการแสดงที่ดีในการประมูลที่จะมาถึงแน่!
“ซือหยูเซี่ยนข้าขอถามเจ้า…เจ้าปรุงโอสถนี้ด้วยตัวเองใช่หรือไม่?”
เฒ่าซุนจ้องมองซือหยูอย่างกระตือรือร้น
ถ้าหากตำหนักโลหิตมีโอกาสได้ขายโอสถขัดบัญชาสวรรค์เช่นนี้พวกเขาจะต้องมอบจุดจบให้กับร้านโอสถของเขตกลางได้แน่!

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset