the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 119 สวรรค์ประจิมอยู่ที่ใด

สุดท้ายผู้หลบหนีกับกองพลน้อยแห่งสมาคมตระกูลชิ่งก็ต่างคนต่างจ้องหน้ากันไปมา ผู้หลบหนีไม่ได้คิดจะโจมตีกองพลน้อย พวกเขาเพียงไม่อาจยอมรับความจริงตอนนี้ได้

เดิมทีทุกคนต่างคิดจะ ‘ขอพึ่งพิง’ ทหาร แต่สุดท้ายก็โดนปืนจี้ใส่จนถอยหนี

จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่มองว่าการกระทำของสมาคมตระกูลชิ่งนั้นไม่ผิดเลย ถ้าเป็นเขา เขาก็ทำแบบนี้ไม่ต่างกัน

แต่ผู้หลบหนีเหล่านี้รู้สึกว่าต่อให้พวกตนเข้าใกล้สมาคมตระกูลชิ่งไม่ได้ แต่ได้ตามพวกเขาไปก็ดีถมเถแล้ว เลยตัดสินใจพักอยู่ตรงนั้นเลย เดี๋ยวพอสมาคมตระกูลชิ่งออกเดินทางเมื่อไร พวกตนก็จะตามไป

อย่างน้อยที่สุดสมาคมตระกูลก็รู้ทางไปป้อมปราการ 109 ใช่ไหมล่ะ!

มิหนำซ้ำตอนนี้บนรถของสมาคมตระกูลชิ่งดูจะไม่มีที่เหลือแล้ว คนของสมาคมส่วนใหญ่ต่างเดินเท้ากันหมด แบบนี้ผู้หลบหนีย่อมไม่กลัวว่าจะตามไม่ทัน

“เสี่ยวซู่ พวกเราอยู่ใกล้พวกสมาคมตระกูลชิ่งขนาดนี้จะไม่มีอันตรายอะไรเหรอ” หวังฟู่กุ้ยถามอย่างเป็นกังวล อย่างไรตอนที่เกิดแผ่นดินไหว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ฆ่าคนที่เฝ้าอยู่หน้าโรงเรียนไปไม่น้อยเลย

“ไม่น่าเป็นอะไรหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองพวกสมาคมวูบหนึ่ง

ตอนนี้ระหว่างสมาคมตระกูลกับผู้หลบหนีมีพื้นที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง ดูแล้วคนของสมาคมไม่คิดจะไม่ปฏิสัมพันธ์อะไรกับผู้หลบหนีแม้แต่นิด

แบบนี้ถือว่าดีแล้ว ไหนๆ สมาคมตระกูลชิ่งก็ไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ที่นี่ด้วย

“พวกลุงอยู่ไปตามปกติแหละ” เริ่นเสี่ยวซู่เตือนพวกเขาอย่างระมัดระวัง “ถ้าสถานการณ์ผิดปกติ พวกเราก็หนีเข้าแดนรกร้างเลย จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ตอนนี้อยู่กับคนอื่นๆ ก่อนน่าจะดีกว่า ฉันกลัวอยู่หน่อยๆ ว่าถ้าพวกเราแยกตัวออกแล้วพวกหมาป่าจะโจมตีเป้าหมายที่โจมตีง่ายๆ น่ะ”

ตอนนี้พวกหมาป่าไม่กล้าโจมตีฝูงมนุษย์นับหลายพัน แต่ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกแยกตัวไปก็พูดยากแล้ว

ว่าตามตรง หลัวหลานไม่คิดจะจับเริ่นเสี่ยวซู่แม้แต่น้อย

ตอนที่ชิ่งเจิ่นใช้โทรศัพท์ดาวเทียมโทรมาสั่งให้ตามจับเริ่นเสี่ยวซู่นั้น มันเกิดเถ้าภูเขาไฟรบกวนสัญญาณพอดี พอชิ่งเจิ่นมาถึงจุดที่มีสัญญาณ ป้อมปราการ 113 ก็เหลือแต่ซากไปแล้ว หลัวหลานที่กำลังรีบร้อนหนีไม่ได้พกโทรศัพท์ดาวเทียมมาด้วย พวกเขาสองคนเลยไม่อาจติดต่อกันได้

“อืม เธอว่ายังไงว่าอย่างงั้น” หวังฟู่กุ้ยพยักหน้า

เริ่นเสี่ยวซู่ไปเก็บฟืนมาทำกองไฟตามปกติ เขาถึงกับพาเฉินอู๋ตี๋ไปด้วย ไม่ใช่เพราะเขาอยากเจ้ากี้เจ้าการเฉินอู๋ตี๋ ก็อยากกันไว้ก่อนเผื่อเฉินอู๋ตี๋มีความคิดเป็นอื่นในการเข้าร่วมกลุ่มกับเขา

ในกลุ่มนี้ มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่เท่านั้นที่สามารถปราบเฉินอู๋ตี๋ได้ ดังนั้นให้เขามาอยู่ข้างกายเสียจะดีกว่า คอยเฝ้าจับตาคนผู้หนึ่งอื่นตลอดเวลานั้นเหนื่อยอยู่บ้าง แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าระมัดระวังมากขึ้นเสียหน่อยไม่เหลือหลายหรอก พวกเขามีการเดินทางอีกไกลรออยู่ข้างหน้า หลังเริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจแล้วว่าเฉินอู๋ตี๋ไม่มีความคิดอื่นอีกเขาถึงจะยอมรับในตัวเฉินอู๋ตี๋ผู้นี้

ระหว่างทางไปเก็บฟืนนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าเหล่าผู้หลบหนีฉลาดขึ้นมากันแล้ว พวกเขารู้แล้วว่าถ้าไม่มีกองไฟไว้ให้ความอบอุ่นนั้นเกรงว่าจะไปป้อมปราการ 109 ไม่ถึง เพราะอย่างนั้นถึงมีคนมากมายมาเก็บฟืน ถึงกับมีคนยืมไฟคนอื่นมาจุดให้ตัวเองอย่างหน้าไม่อายด้วยซ้ำไป

คนหลายพันออกหาฟืนเป็นภาพที่อลังการไม่น้อย เริ่นเสี่ยวซู่โอดครวญว่าเขาไปหาฟืนตอนนี้อาจจะไม่ทันการณ์แล้วก็ได้ เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ เขาช้าไปไม่กี่นาทีเอง แต่เริ่นเสี่ยวซู่เดินตามหาฟืนตั้งนานแล้วก็ยังไม่เจอสักกะท่อน

เฉินอู๋ตี๋ที่ตามมาอยู่ข้างๆ ถาม “อาจารย์ เมื่อเช้าท่านบอกว่าสวรรค์ประจิมอยู่ข้างหน้าเราเองไม่ใช่หรือ ทำไมเดินมาทั้งวันแล้วก็ยังไม่ถึงอีกล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่โดนคำถามเช่นนี้จนพูดไม่ออกเลย เขาคิดอยู่นานแล้วว่า “สวรรค์ประจิม…มันย้ายที่ไปแล้วน่ะ…”

เฉินอู๋ตี๋ว่าอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ ท่านคิดว่าข้าโง่มากนักหรือ”

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจ ก็จริง ขนาดคนโง่ยังไม่ถูกคำตอบแบบนั้นหลอกได้เลย

“อู๋ตี๋เอ๋ย” เริ่นเสี่ยวซู่พยายามเปลี่ยนหัวข้อคุยสุดชีวิต “นายมีความปรารถนาอะไรอีกหรือเปล่านอกจากจะไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะชวนเฉินอู๋ตี๋คุยไปอีกสักหน่อย อย่างไรเสียพูดมากใจเปิด ถ้าเฉินอู๋ตี๋มีความประสงค์ร้ายในใจ ถ้าเขาพูดคุยให้มากพอ ต้องหลุดปากอะไรออกมาบ้าง

แต่เขาพบว่าเฉินอู๋ตี๋ทำท่าพิกล “ข้ามีความปรารถนาอื่นจริง”

“ความปรารถนาอะไรเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“ข้ากำลังตามหาแม่นางนามว่าจื่อเสีย” เฉินอู๋ตี๋ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง “ข้ามีสองสิ่งที่ต้องบรรลุในชาตินี้ หนึ่งคือคุ้มกันท่านอาจารย์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎก สองคือตามหาแม่นางจื่อเสีย[1]!”

เริ่นเสี่ยวซู่หันขวับไปมองเฉินอู๋ตี๋ด้วยสายตาว่างเปล่า นายอ่านไซอิ๋วฉบับไหนมาเนี่ย

ต่อให้เขาพยายามนึกไซอิ๋วฉบับต่างๆ ที่เคยผ่านตามา ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่ามีผู้หญิงชื่อจื่อเสียด้วยเหรอ

ทันใดนั้นเจียงอู๋ก็เดินมาจากอีกด้าน เธอและนักเรียนมีฟืนไม่น้อยในอ้อมแขน

เจียงอู๋เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ตาก็ทอประกาย “พวกคุณไม่ต้องเก็บฟืนแล้วก็ได้นะคะ พวกเราเก็บเผื่อพวกคุณมาเยอะเลย”

ดั่งว่าคนมากพลังก็มาก มีเจียงอู๋นำนักเรียนยี่สิบแปดคนหาฟืน ก็รวดเร็วกว่าเริ่นเสี่ยวซู่หาคนเดียวมาก ไม่ใช่แค่นั้น เริ่นเสี่ยวซู่ประมาณการแล้วว่า ฟืนที่พวกเธอหามานั้นน่าจะสร้างกองไฟได้สี่ถึงห้ากองเลยทีเดียว

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้ารับ ให้เธอตอบแทนบุญคุณก็ดีแล้ว เขาไม่รังเกียจจะรับความจิตใจดีจากอีกฝ่ายหรอก

เขาเห็นนักเรียนหญิงหลายคนกำลังจ้องมาที่เฉินอู๋ตี๋อย่างขวยเขิน พวกเธอเดินมาอย่างกระอ้อมกระแอ้มแล้วกล่าว “คุณหล่อมากเลยค่ะ”

เฉินอู๋ตี๋นิ่งไป ก่อนจะตอบ “ขอบคุณสีกา”

คำว่า ‘สีกา’ นั่นราวกับน้ำเย็นถังหนึ่งราดดับกองไฟให้ความโรแมนติกที่นักเรียนหญิงทั้งหลายมี

เริ่นเสี่ยวซู่เมินพวกเธอไปเสีย แล้วเดินต่อไปข้างหน้า ตอนคืบหน้าไปนั้นเขาก็ตะโกนว่า “มาๆ ฉันเจอของดีเข้าให้แล้วล่ะ!”

บางทีธรรมชาติก็ประทานของมาอย่างใจกว้างยิ่ง ตราบใดที่มีสายตา ‘นักส่อง’ ที่ดีพอ ก็ไม่มีทางอดตายหรอก

ขณะที่เริ่นเสี่ยวกำลังจะหันกลับหลังนั้น เขาพลันเห็นว่าพุ่มหญ้าตรงหน้านั้นมันแปลกพิกล พอตั้งใจมองดีๆ เขาก็คิดว่าเป็นมันหวานทุ่งหนึ่ง!

เขาไม่รู้หรอกว่ามันหวานนี่โตมานานขนาดไหนแล้วในแดนรกร้าง แต่ที่รู้คือฤดูนี้เป็นหน้าที่มันหวานอร่อยที่สุดเลย!

เริ่นเสี่ยวหันไปหาเจียงอู๋ “จะรออะไรล่ะ ให้นักเรียนมาขุดได้แล้ว!”

“ได้ค่ะๆ” เจียงอู๋กวักมือเรียกให้นักเรียนมาขุดมันหวาน เอาตามตรง ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่บอก เธอไม่ทางรู้หรอกว่ามีมันหวานมากขนาดนี้ซ่อนอยู่ใต้ดิน

พวกเขาต้องรีบก่อนที่ผู้หลบหนีคนอื่นจะเข้ามาเห็น ไม่อย่างนั้นคงเหลือมันหวานไม่มากแล้ว

มีผู้หลบหนีเยอะเกินไป

ขณะที่เจียงอู๋กำลังขุดมันหวานอยู่กับนักเรียนนั้น เธอก็หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่เป็นพักๆ เด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้เธอประหลาดใจอยู่เรื่อย และในท้ายที่สุดก็กลายเป็นความรู้สึกอันเป็นที่พึ่งประการหนึ่ง เจียงอู๋มีความรู้สึกว่า ตราบใดที่ตามเริ่นเสี่ยวซู่ไป พวกเธอย่อมไปถึงป้อมปราการ 109 อย่างรอดปลอดภัย

เพียงนาทีเดียว หลังจากผู้หลบหนีคนอื่นๆ เห็นว่ามีมันหวานอยู่ก็ต่างแห่โร่กันมา

ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับมันหวานของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ทุ่งมันหวานใหญ่โต ยังมีที่อื่นๆ ให้ขุดอีก

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจคนอื่นนัก เขากับเฉินอู๋ตี๋ก็ขุดกันไปกว่าสามสิบหัวแล้วถึงจะหยุดมือ หัวมันหวานเบ้อเริ่ม อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารไปหลายวัน

พอเขาลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าทุ่งมันหวานนี่โดนเหล่าผู้หลบหนีถอนจนเกลี้ยงเกลา

ฝูงตั๊กแตนยังไม่น่ากลัวขนาดนี้เลย…

…………..

[1] จื่อเสีย (紫霞) หรือเทพธิดาจื่อเสีย เป็นตัวละครในภาพยนตร์ฮ่องกงแนวแฟนตาซี-คอมเมดี้ที่ดัดแปลงจากเรื่องไซอิ๋วในปี 1995

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset