the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 120 กักตัวในบ้าน

คืนนี้ดูผ่านไปอย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก คนนับหลายพันรวมตัวกันพิงกองไฟและโยนมันหวานลงไปเผาในนั้น

ท้ายที่สุด ทั่วทั้งแคมป์ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวาน

ในช่วงรัตติกาลนี้ ราวกับมีโคมไฟมากมายถูกจุดกลางความมืดมิด เป็นดินแดนเปลี่ยวร้างที่วูบวาบไปด้วยแสงไฟสีเหลือง คนมากมายต่างมองมันเผาในกองเพลิงด้วยสายตาคาดหวัง

มันหวานแต่ละหัวใหญ่เท่าขวดเหล้า ตอนเฉินอู๋ตี๋กินทีเดียวไปสามหัว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตาค้างไปเลย เขาพลันมีความรู้สึกว่าที่เฉินอู๋ตี๋เห็นเขาเป็นอาจารย์นั้นก็เพราะจะได้เขมือบอาหารของเขากินได้อย่างไม่อายใครต่างหาก!

เฉินอู๋ตี๋เลียปากจนสะอาดสะอ้านแล้วหันไปมองคนรอบๆ ทั้งเริ่นเสี่ยวซู่ หวังฟู่กุ้ย เหยียนลิ่วหยวน เสี่ยวอวี้ และหวังต้าหลง

“มองอะไรน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่จ้องเขาเขม็ง

“อาจารย์ ท่านไม่คิดบ้างเหรอว่ากลุ่มพวกเราขาดอะไรไปบางอย่าง” เฉินอู๋ตี๋ถาม

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “ขาดอะไร”

เฉินอู๋ตี๋หันไปมองเหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้ไปๆ มาๆ “พวกเรายังขาดม้ามังกรขาว”

เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้หน้าเหยเกทันที ดีที่เฉินอู๋ตี๋มีหลักการเป็นของตน เขาเอ่ย “พวกเจ้าทั้งสองอย่ามองข้าเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งคู่มิใช่ม้ามังกรขาวหรอก ข้าไม่ใช่ว่าเรียกชื่อมั่วๆ ไปเรื่อยหรอกนะ”

หวังฟู่กุ้ยและหวังต้าหลงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอีกครา หมายว่าพวกเขาคือตือโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งจริงๆ อย่างนั้นน่ะสิ!

เริ่นเสี่ยวซู่ทั้งพูดไม่ออกทั้งเศร้าสร้อย แรกเริ่มกลุ่มเขาก็อยู่ดีๆ มาตลอด ไฉนพอเฉินอู๋ตี๋เข้าร่วมถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้ล่ะ

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังประหลาดใจกว่าอีกที่แม้เฉินอู๋ตี๋จะสติไม่ดี แต่เขาก็มีหลักตรรกะเฉพาะตน ว่าแต่ทำไมเขาถึงเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เป็นท่านอาจารย์ได้นะ

เขาพลันเมินเฉินอู๋ตี๋ไปแล้วลอบคำนวณปริมาณอาหารที่ทุกคนกินไป ตอนนี้มันหวานที่มีน่าจะให้พวกเขาอยู่ต่อได้อีกสองวัน แถมมันหวานต่อให้เก็บผ่านหน้าหนาวไปก็ยังกินได้อยู่ แต่จะให้แบกไปจนถึงป้อมปราการ 109 นั้นก็ยากอยู่บ้าง อย่างไรมันหวานก็น้ำหนักไม่เบาเลย

พวกเขาอยู่ห่างจากป้อมปราการ 109 ราวๆ ร้อยกิโลเมตร คำนวณจากความเร็วในการเดินทางของคนทั่วไปต่อวันนั้น ก็จะได้ประมาณสี่สิบกิโลเมตร ถ้าเร่งรีบเสียหน่อยก็อาจจะเดินถึงห้าสิบกิโลเมตรได้ แต่หวังฟู่กุ้ย หวังต้าหลง และเสี่ยวอวี้น่าจะทนไม่ไหว

ตอนบ่าย เสี่ยวอวี้ควักเข็มเย็บผ้ามาเจาะแผลพุพองใหม่ที่เท้าของเหยียนลิ่วหยวน ส่วนเหยียนลิ่วหยวนก็พิจารณาเครื่องหน้าของเธออยู่เงียบๆ พลางคิดว่ามีพี่สาวเช่นนี้ประเสริฐนัก

ตอนนี้แผลพุพองที่เท้าของผู้หลบหนีนั้นแตกออกและตกสะเก็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การหลบหนีไปให้ไกลที่สุดนี้ไม่ใช่เรื่องของการแค่ ‘หนึ่งวันเดินทางได้กี่กิโลเมตร’ อีกต่อไป

ดังนั้นแล้วเริ่นเสี่ยวซู่จึงคำนวณว่าต้องใช้เวลาอย่างต่ำสามวันถึงจะไปถึงป้อมปราการ 109 ได้ ถ้าจัดสรรปันส่วนมันหวานดีๆ ก็ไม่ต้องออกไปหาอาหารอื่นอีก

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเจียงอู๋ดังมาจากข้างๆ “ทุกคนทนกันอีกหน่อยนะ อีกไม่นานก็ถึงป้อมปราการ 109 แล้วก็อย่าลืมเอามันหวานที่ขุดมาเมื่อตอนบ่ายไปด้วยนะ ถึงแบกไปจะหนักสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าทนหิวนะ”

นักเรียนที่ได้รับแต่ความคุ้มครองมาตลอดได้ก้าวผ่านความคิดถึงบ้านและความอ่อนแอของตัวเองจนเข้มแข็งขึ้นแล้ว มีนักเรียนบางคนพลันถาม “ครูครับ พวกเราจะไปถึงป้อมปราการ 109 ได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า”

“แน่นอน” เจียงอู๋ว่า “ตราบใดที่พวกเราตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป พวกเราก็จะไปถึงป้อมปราการ 109 แน่ๆ”

ตอนนี้เองก็มีนักเรียนหลายคนขยิบตาบวกเลิกคิ้วใส่เจียงอู๋ บอกเป็นนัยๆ ให้เธอหันหลังไปมอง เจียงอู๋หันไป ก็สบตาเข้ากับเริ่นเสี่ยวซู่พอดี เธออุทานแล้วรีบหันหนี พวงแก้มระเรื่อราวประกายจากกองไฟ

เจียงอู๋กดเสียงลงต่ำแล้วกระซิบกับพวกนักเรียน “ทำไมไม่บอกครูให้ไวกว่านี้!”

“ฮาๆ” พวกนักเรียนหัวเราะหัน “ครูเขินแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่มองไป แล้วพบว่ามนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจที่สุดในการหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ ถ้ายังมีความหวังแม้เพียงน้อยนิด มนุษย์ก็อยากจะมีชีวิตสืบไป

หลังจากพักหนึ่ง นักเรียนของเจียงอู๋ก็คลอเพลงเสียงนุ่ม เหมือนกับว่าเป็นเพลงประจำหน้าเสาธง

เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ เขาเองก็อยากอาศัยอยู่ในป้อมปราการอย่างไร้ข้อกังวลและสุขสบาย แต่แน่ละ บางทีชีวิตในป้อมปราการก็อาจจะไม่สุขสบายอย่างที่คิดก็ได้

ณ แคมป์ของสมาคมตระกูลชิ่งที่อยู่ไกลออกไป หลัวหลานได้กลิ่นของมันหวานเผาลอยมา ระหว่างที่กินเสบียงทหารที่เอาลงมาจากรถของกองพลน้อยอยู่นั้น เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “คนจนรู้วิธีใช้ชีวิตจริงหนอ”

ข้างกายเขาคือลูกน้องคนสนิท “เจ้านายครับ คิดว่าน้องของท่านจะส่งคนมาช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ” หลัวหลานเศร้าใจ “ฉันเป็นห่วงเขามากกว่าอีก ตอนเกิดเรื่องเขายังอยู่ในเขาจิ้งซานอยู่เลย ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”

มือขวาของหลัวหลานพูดเสียงค่อย “ผมคิดว่าเถ้าแก่ชิ่งไม่น่าจะเป็นอะไร เขาพึ่งพาได้ขนาดนั้นเชียวแหละ”

“พึ่งพาได้?” หลัวหลานถอนหายใจ “แต่ก็เกิดเรื่องไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอไง แต่ก็แหงละ แผ่นดินไหวกับภูเขาไฟระเบิดเป็นภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นเหตุสุดวิสัย”

“คิดว่าป้อมปราการ 112 จะเกิดเรื่องเหมือนพวกเราไหมครับ” มือขวาเขาถาม “ยังไงระยะทางของทั้งสองป้อมกับเขาจิ้งซานก็เท่ากัน ถ้าฝั่งเราโดนแผ่นดินไหวทำลายยับขนาดนี้ อีกฝั่งหนึ่งก็น่าจะไม่ต่างกัน”

“ก็จริง” หลัวหลานคิดพักหนึ่ง แล้วว่า “ฉันกลัวว่าป้อมปราการ 112 จะเหลือแต่ซากเหมือนกันน่ะสิ จู่ๆ สมาคมตระกูลชิ่งเสียป้อมปราการไปสองป้อมเช่นนี้ ชิ่งเจิ่นคงถูกสมาคมลงโทษอย่างหนักแน่”

“แต่มันไม่ใช่ความคิดของพวกเรานะครับ” มือขวาเขาว่าเสียงเบา “ไม่ว่าใครเป็นผู้นำอยู่ ยังไงป้อมก็พังลงมาอยู่ดี”

“ชิ่งเจิ่นมีศัตรูในสมาคมมากเกินไป” หลัวหลานว่า “แถมชิ่งเจิ่นเพิ่งฆ่าคนของสมาคมอื่นไปไม่น้อยด้วย สมาคมกังวลมาตลอดว่าจะควบคุมชิ่งเจิ่นไม่ได้ พวกเขาอาจจะปล่อยเกาะชิ่งเจิ่นก็ได้ แต่ยังไงก็คงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสมาคมต้องการใช้เขาทำงานอยู่ คนอื่นๆ ปฏิบัติงานได้ไม่ดีเท่าชิ่งเจิ่นเลย..หรือจะพูดว่าคนอื่นๆ ไม่อำมหิตเท่าชิ่งเจิ่น…”

ตอนนี้ชิ่งเจิ่นยังตะลุยป่าในเขาจิ้งซานอยู่เลย ใบหน้าเปรอะเปื้อนควันเขม่าจากการประทุของภูเขาไฟ ทำเอาภาพลักษณ์ป่นปี้ยับเยิน

ข้างๆ เขาเป็นสู่หมานที่กำลังใช้โทรศัพท์ดาวเทียมอยู่ “เจ้านายครับ ทางสภาต้องการคุยกับท่าน”

ตอนนี้พวกเขาออกมาจากเถ้าภูเขาไฟแล้ว โทรศัพท์ดาวเทียมกลับมาใช้ได้ตามปกติ

“บอกพวกเขาว่าฉันมีเวลาว่างไม่เยอะหรอกนะ” ชิ่งเจิ่นว่า ดูหัวเสียมาก

สู่หมานรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ยังถ่ายทอดข้อความไปตามนั้นเป๊ะๆ หลังจากไม่กี่วินาที เขาก็หันมาหาชิ่งเจิ่น “พวกเขาสั่งว่าพอออกจากเขาจิ้งซานได้ก็ให้ท่านกลับป้อม 111 ไปฟังการสอบสวนทันทีครับ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ให้ออกจากป้อมปราการ 111 เด็ดขาด ส่วนป้อมปราการ 112 และ 113…ถูกทำลายแล้ว…”

“บอกพวกเขาว่าฉันเข้าใจแล้ว” ชิ่งเจิ่นว่าอย่างมินำพา

สู่หมานตอบกลับเสร็จก็วางสายไป แล้วหันมากล่าวกับชิ่งเจิ่น “พวกเขาคิดจะกักตัวท่านในบ้านอย่างงั้นสินะ”

“อีกนานกว่าจะถึงป้อมปราการ 111” ชิ่งเจิ่นเอ่ย “โทรหาลู่หย่วนแห่งป้อมปราการ 109 บอกเขาให้ส่งคนออกหาหลัวหลาน”

สู่หมานลังเล ก่อนจะตอบ “ถึงเป็นผู้ปกครองป้อม ลู่หย่วนก็ไม่น่ามีอำนาจอะไรมากในป้อมปราการที่ควบคุมโดยสมาคมตระกูลหลี่นะครับ”

“ใช้งานกองกำลังส่วนตัวนิดหน่อยไม่น่ามีปัญหาสำหรับเขาหรอก ในเมื่อป้อมปราการ 109 อยู่ใกล้ป้อมปราการ 113 ที่สุด ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นกับหลัวหลาน เขาน่าหลบหนีไปทางลู่หย่วน” ชิ่งเจิ่นเงยหน้าบอกท้องฟ้าสีเทาข้างหลังตนแล้วว่า “บอกเขาว่าถ้าหาหลัวหลานไม่เจอ ความตายรอเขาอยู่”

สู่หมานพลันรู้สึกว่าชิ่งเจิ่นไม่เห็นเหมือนคนที่กำลังจะโดนกักตัวในบ้านและถูกสอบสวนโดนสมาคมตรงไหนเลย แถมความสัมพันธ์ระหว่างชิ่งเจิ่นและหลัวหลานก็ดีกว่าในข่าวลือมาก

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset