the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 127 ได้รับสถานะพลเมืองในป้อมปราการอย่างเป็นทางการ!

มีรถพังข้างหน้าอย่างนั้นเหรอ

พอได้ยินแบบนั้น คนในรถก็เริ่มตระหนกขึ้นมา ทำไมแถวนี้ถึงมีรถด้วยล่ะ

“ทุกคนอยู่บนรถบรรทุกไปก่อน” เริ่นเสี่ยวหันไปหาเฉินอู๋ตี๋ “อู๋ตี๋ นายออกไปดูกับฉัน”

รถบรรทุกจอดสนิทแล้ว หลังจากกระโดดลงจากท้ายรถบรรทุก เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าหลัวหลานเองก็กระโดดลงมาด้วย พวกเขาค่อยๆ คืบหน้าไปยังรถที่เสียหาย แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปใกล้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้กลิ่นเลือดโชยมา

อย่างที่พลขับรถว่าไว้เลย มีรถสามคันจอดขวางถนนอยู่ด้านหน้า รถพังยับเยินแถมมีเลือดไหลนองออกมาอีก

“ระวังตัวนะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด ระหว่างที่กล่าวนั้น เขาก็สำรวจทางเดินรอบๆ หาว่าอะไรกันที่โจมตีขบวนรถ

“แปลกแฮะ” หลัวหลานว่าอย่างประหลาดใจ “เป็นรถจากป้อมปราการ 109 จริงๆ แต่ทำไมถึงส่งออกมายามนี้ล่ะเนี่ย แถมกำลังมุ่งไปทางป้อมปราการ 113 เองด้วย”

ตอนนี้หลัวหลานไม่รู้เลยว่าชิ่งเจิ่นขู่ผู้ปกครองป้อม 109 ลู่หย่วนอยู่ ทำให้เขาหมดทางเลือก ต้องต่อสู้แรงต้านจากสมาคมตระกูลหลี่ และส่งทหารกองกำลังส่วนตัวของตนออกมาหน่วยเล็กๆ เพื่อตามหาหลัวหลาน

แต่พวกเขาก็เจอเข้ากับเรื่องไม่คาดฝันจนได้

รถสามคันจอดระเกะระกะบนถนน เริ่นเสี่ยวซู่ เฉินอู๋ตี๋ และหลัวหลานสามคนไม่เห็นศพ เห็นแต่ทางโลหิตลากยาวเข้าไปในแดนรกร้างอันมืดมิด

รอยเลือดแห้งกรังลงไปแล้ว ดูจากสีเสือด เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าการต่อสู้น่าจะเกิดขึ้นเมื่อครึ่งวันที่แล้ว

เดี๋ยวสิ! เริ่นเสี่ยวเห็นขนสีขาวหย่อมหนึ่งบนพื้น ใบหน้าเขากลับกลายเป็นตะลึงพรึงเพริด “ขนหมาป่า!”

เริ่นเสี่ยวซู่พาเฉินอู๋ตี๋ล่าถอยทันที เขาจำได้แล้วว่ามีรอยเลือดเป็นทางเข้าแดนรกร้างหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเป็นรอยเลือดของเหยื่อที่โดนหมาป่าขย้ำลากเข้าป่าอย่างไรเล่า!

ครึ่งวันที่แล้วเข้าพวกหมาป่ามาทำอะไรที่นี่

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดอะไรให้มากความ เขาอยากกลับขึ้นรถบรรทุกและออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!

“รอฉันแปป” หลัวหลานกระซิบ

เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาวิ่งเหยาะๆ ไปที่รถสามคันนั้น ดูเหมือนว่าเขากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

วินาทีต่อมา หลัวหลานก็หยิบเครื่องมือที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน “เจอแล้ว!”

เมื่อพวกเขาทั้งสามคนกลับขึ้นรถบรรทุกแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถาม “ไปหาอะไรในรถพวกนั้นน่ะ”

“ฮี่ฮี่” หลัวหลานหัวเราะคิกคัก “โทรศัพท์ดาวเทียม! หวังว่ารหัส PIN ยังจะเป็น 1111 เหมือนเดิมนะ ไม่งั้นฉันใช้งานไม่ได้แหง ต้องเสี่ยงดวงเอาแล้วละ”

เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจดู โทรศัพท์ดาวเทียมในตำนานหน้าตาเป็นอย่างนี้หรอกเหรอเนี่ย แต่รหัส PIN ที่หลัวหลานว่าคืออะไร เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ตอนที่รถบรรทุกเริ่มเคลื่อนตัวอีกครา หลัวหลานที่ใส่รหัส 1111 บนโทรศัพท์ดาวเทียมก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ใช้ได้แล้ว!” เขากดปุ่มโทรออกอีกเบอร์อย่างคุ้นชิน เขาจำเบอร์นี้ได้มาตั้งนานนมแล้ว

“โทรหาใครน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“น้องฉัน” หลัวหลานตอบ จากนั้นก็รอให้ปลายสายรับอย่างใจเย็น

ทันใดนั้นเสียงชายผู้หนึ่งก็ดังมาจากปลายสาย “สวัสดี นี่ใคร”

“ฉันหลัวหลาน ให้น้องฉันมารับสายหน่อย” หลัวหลานว่าอย่างมีความสุข

มีคนพูดมาจากปลายสายอย่างรวดเร็วทันควัน “นายอยู่ไหนน่ะ”

“พยายามหนีอยู่ อย่างมากวันครึ่งน่าจะถึงป้อมปราการ 109” หลัวหลานตอบ “ฝั่งนายเป็นไงบ้างล่ะ ออกจากเขาจิ้งซานยัง?”

ชิ่งเจิ่นที่อยู่ปลายสายเงียบไป แล้วว่า “ยังอยู่ในเขาจิ้งซานอยู่เลย…สูเสี่ยนฉู่ ไอ้ส้นตีน!”

เสียงจากโทรศัพท์ดาวเทียมดังไม่น้อย เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินคำพูดของชิ่งเจิ่นแล้วร้อนตัวอยู่หน่อยๆ เขารู้ดีว่าทำไมชิ่งเจิ่นถึงติดอยู่ในเขาจิ้งซาน เขาเป็นคนกรีดล้อรถเองแหละ

หลังจากระบายอารมณ์ไปรอบ ชิ่งเจิ่นก็ว่าเสียงนิ่ง “นายใช้โทรศัพท์ใครโทรมา คนของลู่หย่วนไปรับนายมาแล้วเหรอ”

ตอนนี้เองหลัวหลานถึงได้รู้ว่าเป็นรถของลู่หยวนที่ส่งออกมาภายใต้คำสั่งของชิ่งเจิ่นนั่นเอง เขาตอบ “เกิดเรื่องกับคนของลู่หย่วนระหว่างทางน่ะสิ ฉันเจอโทรศัพท์ดาวเทียมในรถคันหนึ่งของพวกเขา”

ชิ่งเจิ่นไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนของลู่หยวน เขาคิดพักหนึ่งแล้วว่า “ถึงป้อมปราการ 109 แล้วจัดการตัวเองให้ดี ฉันจะไม่กลับสมาคมตระกูลชิ่งพักหนึ่ง”

“ทำไมล่ะ” หลัวหลานผงะ แต่ก็ตอบสนองได้ทันควัน “พวกตาแก่ในสภาตัดสินใจลงโทษนายงั้นสินะ”

“พวกเขาจะกักตัวฉันในบ้านที่ป้อมปราการ 111 น่ะสิ” ชิ่งเจิ่นว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แต่มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่พอใจนาย ถ้านายกลับไปตอนนี้ นายอาจจะโดนลงโทษหนักกว่าฉันก็ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ ช่วงนี้นายก็อยู่ป้อมปราการ 109 ไปก่อนเถอะ”

“ก็ได้” หลัวหลานรับคำเสียงค่อย

“ว่าแต่” ชิ่งเจิ่นพูด “พอไปถึงป้อมปราการ 109 แล้วบอกให้ลู่หย่วนจับเริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่ หยางเสียวจิ่น และก็ลั่วซินอวี่ด้วย ฉันเดาว่าสี่คนนี้หลังออกจากเขาจิ้งซานแล้วน่าจะมุ่งไปที่ป้อมปราการ 109 ต่อ ยังไงป้อมปราการ 111 และ 109 ก็อยู่ใกล้เขาจิ้งซานที่สุด”

หลัวหลานหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่แบบเขินๆ “เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ข้างๆ ฉันเองเนี่ย…”

ชิ่งเจิ่นเงียบไปพักใหญ่ แล้วถามอย่างตะลึง “นายจับเขาได้แล้วเหรอ!”

หลัวหลานอับอายกว่าเดิม “พูดไปนายอาจจะไม่เชื่อนะ แต่คือสถานการณ์มันบังคับนะ แบบว่าฉันน่าจะเป็นคนถูกจับแทน…”

ชิ่งเจิ่น “…”

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปทางหลัวหลานที่กำลังเครียดจัดด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขารีบโพล่งอธิบายว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนช่วยชีวิตตนไว้ ถ้าไม่ได้เริ่นเสี่ยวซู่ เขาคงตายไปแล้ว

ชิ่งเจิ่นเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในที่สุด เสียงของชิ่งเจิ่นดังมาจากปลายสาย “บอกเขาว่าฉันจะลืมข้อบาดหมางทุกอย่างที่เขามีกับสมาคมตระกูลชิ่ง และบอกเขาด้วยว่าฉัน ชิ่งเจิ่น เป็นหนี้บุญคุณเขาหนึ่งครั้งและหนี้ชีวิตหนึ่งชีวิต”

“พวกเขาอยากเข้าป้อมปราการ 109 และกลายเป็นพลเมืองอย่างทุกกฎหมายน่ะ” หลัวหลานเอ่ย

“บอกลู่หย่วนได้เลย” ชิ่งเจิ่นดูไม่ได้นำพาเรื่องนี้อะไรนัก

ฟู่! เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจยกใหญ่ ชื่อของสมาคมตระกูลชิ่งทำให้จิตใจเขาอยู่ไม่สุขมาพักใหญ่แล้ว

ถูกองค์กรใหญ่เช่นนี้จับตามองทำให้รู้สึกขนลุกขนพองมาก โลกนี้ใครกันอยากจะเป็นศัตรูกับองค์กรที่ควบคุมป้อมปราการยี่สิบป้อมกัน

แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ต้องปิดปากให้สนิท ห้ามชิ่งเจิ่นรู้เด็ดขาดว่าคืนนั้นเป็นเขาเองที่กรีดยางรถจนหมด จากที่ชิ่งเจิ่นผรุสวาทใส่สูเสี่ยนฉู่ก่อนหน้านี้ เริ่นเสี่ยวซู่มีลางว่าเรื่องนี้นี่เอาเรื่องอยู่

แต่เริ่นเสี่ยวซู่จำที่ชิ่งเจิ่นพูดได้ และอดสงสัยไม่ได้ว่าหยางเสียวจิ่นไปอยู่ที่ไหนแล้วหลังจากออกจากเขาจิ้งซานไป เป็นป้อมปราการ 109 หรือป้อมปราการ 111 หรืออาจจะเป็นสถานที่ที่ห่างไกลกว่านั้นก็ได้

ในเมื่อพลังเดินทางในเงาของลั่วซินอวี่อยู่น่าจะมีข้อจำกัดอยู่ หยางเสียวจิ่นไม่น่าไปไกลมาก

เริ่นเสี่ยวซู่ปรายตามองเหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้ ทุกคนได้ยินบทสนทนาของหลัวหลานกับชิ่งเจิ่นกันหมด ณ ตอนนี้ในดวงตาของเริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวนเผยให้เห็นความตื่นเต้นวิบวับ พวกเขารับรู้แล้วว่าแต่นี้ไปพวกตนจะไม่ใช่ผู้อพยพอีก หลังจากนี้ไป พวกเขาจะได้กลายเป็นพลเมืองของป้อมปราการ 109 อย่างเป็นทางการแล้ว!

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset