the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 134 เจอหยางเสียวจิ่นอีกครั้ง!

สมาคมตระกูลชิ่งจัดให้เจียงอู๋ เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน หวังต้าหลง และพวกนักเรียนไปโรงเรียนที่ชื่อว่าโรงเรียนมัธยมที่สิบสาม หรือชื่อเต็มคือโรงเรียนมัธยมศึกษาที่สิบสามแห่งป้อมปราการ 109

พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก ก็คิดก่อนเลยว่าป้อมปราการนี้ต้องใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงได้มีโรงเรียนมัธยมตั้งสิบสามแห่ง ไม่สิ น่าจะมีมากกว่านั้นอีก

เอกสารสมัครเรียนที่สมาคมตระกูลชิ่งส่งมานั้น มีใบรับรอง มีใบแสดงตนผู้พำนักในป้อมปราการ มีเอกสารแจ้งว่าเข้าเรียนชั้นไหน ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนและอื่นๆ ถังโจวบอกว่าโรงเรียนให้เขาไปรายงานตัว แล้วทางนั้นจะลงชื่อเขาเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการ

เหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลงจะเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่จะเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตอนที่ถังโจวอธิบายมาถึงตอนนี้ เขาก็ถามเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยว่าเขาจะสามารถตามเรียนทันหรือเปล่า อย่างไรเสียในเมืองน้อยนั้นก็ไม่น่ามีอะไรให้เรียนมากนัก ถ้าเกิดเขาไปเรียนแบบไม่เข้าใจบทเรียนเลยจะขายขี้หน้าเอาหรือเปล่า

แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลับแค่นเสียงใส่ เด็กตั้งใจเรียนแบบเขา ถังโจวจะไปเข้าใจอะไร

พอถังโจวได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดแบบนั้นก็เงียบไปเลย

ในความจริงนั้น ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่กับหลัวหลานจะไม่ชอบหน้ากัน แต่ประสบการณ์เฉียดตายช่วงหนึ่งนั้นทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ถึงพวกเขาจะบอกว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ทว่ายามถังโจวช่วยเหลือพวกเริ่นเสี่ยวซู่นั้นเขาก็เอาใจใส่มาก

ถ้าไม่ใช่เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ ถังโจวคงได้ตายไปแล้ว

จากที่ถังโจวว่า ป้อมปราการ 109 มีมหาวิทยาลัยอยู่แห่งหนึ่งที่นักเรียนจากต่างป้อมปราการพยายามเข้ามาสมัครเรียน

แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเรื่องนั้นน่าจะเป็นอดีตไปแล้ว สมัยก่อนแดนรกร้างยังปลอดภัยสำหรับการเดินทางอยู่ ตอนนี้มีคนไม่มากแล้วที่กล้าเดินทางออกจากป้อมปราการ

ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง หวังฟู่กุ้ยก็หัวเราะ เขาพูดว่าถึงตอนเด็ก แม้ว่าแดนรกร้างไม่มีสัตว์ขนาดใหญ่หรือหมาป่า แต่ก็ยังมีผู้อพยพที่กลายเป็นโจรป่าคอยปล้นฆ่าคนอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนยอมเสี่ยงชีวิตเดินทางผ่านแดนรกร้างไปป้อมปราการอื่นอยู่ดี

บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนั้นคิดอะไรอยู่ ไม่กล้าหาญชาญชัยก็โง่งมบรม แต่คนเช่นนี้มีอยู่เสมอ

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รีบพาเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงไปลงทะเบียนเข้าโรงเรียน เขากะว่าพรุ่งนี้เช้าหลังจากอาบน้ำล้างตัวแล้วจะพาทุกคนไปเดินเล่นในป้อมปราการเสียก่อน พวกเขาหกคนยังไม่คุ้นกับของต่างๆ ในป้อมปราการเลย

แทนที่จะรีบหาเงิน พวกเขาขอไปดูสถานที่ที่เฝ้าแสวงหามาตลอดหลายปีหน้าตาเป็นอย่างไรก่อนดีกว่า

เช้าวันต่อมา จู่ๆ เหยียนลิ่วหยวนก็ตะโกนลั่นมาจากหน้าบ้าน “พี่ มาดูสิ มีคนทิ้งโน้ตไว้แน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินไปดู เขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อย่างแรกคือเห็นเงาร่างคุ้นตาบนถนน อย่างที่สองคือการที่รู้สึกว่ามีคนคอยจ้องมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกโดนจับตามองแบบนี้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย

ตอนนี้จู่ๆ ก็มีโน้ตโผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบอีก ไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะให้คำตอบบางอย่างกับเขาก็ได้

เริ่นเสี่ยวซู่รับโน้ตจากเหยียนลิ่วหยวนมา และเห็นบนนั้นเขียนตัวอักษรเล็กๆ ว่า ‘สถานที่มากเรื่อง ไม่ควรอยู่นาน’

“พี่ บนนั้นเขียนว่าอะไรเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนถาม “แล้วใครเป็นคนเขียน”

“นายไปเจอโน้ตนี่ที่ไหน” เริ่นเสี่ยวซู่ถามกลับ

เหยียนลิ่วหยวนชี้ไปที่ประตูทางเข้า “มาจากช่องใต้ประตู คิดว่าน่าจะมีคนเอามาสอดเมื่อคืน มีคนคิดแกล้งเราหรือเปล่า”

“ไม่หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า เขามั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกัน เพราะว่า…เขาจำลายมือบนโน้ตนี้ได้

ตอนอยู่เขาจิ้งซานนั้น ระหว่างทางกลับป้อมปราการ เขาเห็นตัวอักษรตัวน้อยสลักอย่างงดงามประโยคหนึ่งในถ้ำ ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของหยางเสียวจิ่น

และลายมือบนโน้ตนี้ก็แทบเหมือนกับที่อยู่บนถ้ำเลย

บวกกับเงาร่างคุ้นเคยที่ถนนเมื่อวาน เริ่นเสี่ยวซู่ก็มั่นใจได้ทันทีว่าหยางเสียวจิ่นอยู่ในป้อมปราการ 109 แถมยังทิ้งเจ้าโน้ตนี้ไว้ให้เขาอีก

เดี๋ยวในป้อมปราการ 109 จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เธอจึงมาโน้มน้าวให้เขาออกไปจากที่นี่อย่างนั้นเหรอ

เริ่นเสี่ยวซู่แน่ใจว่าหยางเสียวจิ่นต้องมีองค์กรทรงอำนาจคอยหนุนหลังเธออยู่ เธอถึงได้รู้ข้อมูลบางอย่าง และมาที่นี่อย่างมีเป้าหมายในใจไว้อยู่แล้ว

เธอคิดจะลอบสังหารหลัวหลานอย่างนั้นเหรอ ถึงอย่างไรหยางเสียวจิ่นก็เคยลอบสังหารชิ่งเจิ่นมาก่อน ดังนั้นจะมาลอบสังหารหลัวหลานด้วยก็ไม่แปลก แต่ว่าเรื่องนี้ดูไม่เข้าเค้าเลย ตอนนี้หลัวหลานไม่มีทหารมากนัก บุคคลทรงพลังข้างกายก็ไม่มี จะฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าหลัวหลานเป็นเป้าหมายของเธอจริง เจ้าอ้วนหลัวน่าจะตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหยางเสียวจิ่นถึงมาเตือนเขา ตอนที่หยางเสียวจิ่นหนีไป เธอถึงกับขโมยมีดของเธอกลับไปด้วยซ้ำ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหยางเสียวจิ่นจะใจดีขนาดนั้น แต่หยางเสียวจิ่นอาจจะไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เคยกลับไปที่ถ้ำนั่นก็ได้ ไม่รู้เสียแล้วว่าโน้ตที่เธอลอบมาทิ้งไว้นั้นเป็นการเปิดเผยตัวเธอแล้ว

เรื่องราวบนโลกนี้ ช่างบังเอิญจริงหนอ…

แต่ถ้าเขาไปจากที่นี่ เขาจะไปที่ไหนต่อได้อีกล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่เศร้าอยู่หน่อยๆ เพิ่งจะได้เข้าป้อมปราการมา ชื่อถนนที่ตัวเองอยู่ยังไม่รู้เลยว่าชื่ออะไรก็ต้องจากไปเสียแล้ว

แถมที่สำคัญคือ เขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้!

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพลังของลั่วซินอวี่น่าจะทะลุผ่านกำลังป้อมปราการได้ ดังนั้นเธอก็น่าจะอยู่กับหยางเสียวจิ่นด้วย

แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะไปหาพลังทะลุกำแพงป้อมปราการมาจากไหนกัน

“ช่างเรื่องนี้ไปก่อนแล้วกัน” เริ่นเสี่ยวซู่บอกเหยียนลิ่วหยวน “อย่าเพิ่งบอกเหล่าหวังกับพี่เสี่ยวอวี้นะ เดี๋ยวทำให้พวกเขากังวลใจเสียเปล่าๆ”

“ได้” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า

“ไม่นอนต่อแล้วเหรอไง” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“ไม่อะ” เหยียนลิ่วหยวนส่ายหน้า “ผมนอนพอแล้ว”

ต่อให้ตอนนี้พวกเขาอยู่ในป้อมปราการแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนก็ยังคงนิสัยเดิมที่จะเฝ้ากะตอนกลางคืนไว้อยู่

ไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดว่ามีอันตรายแฝงตัวอยู่แถวนี้ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาคุ้นชินกับกิจวัตรนี้ไปแล้ว

ถ้าชาวป้อมปราการรู้เรื่องนี้ละก็ พวกเขาคงหัวเราะกับความไม่รู้อะไรของพวกเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ในป้อมปราการมีโจรมีผู้ร้ายจริง บางคนก็ลอบเข้าปล้นบ้านที่อยู่ห่างจากตัวเมืองของของผู้อื่นกลางดึก แต่เรื่องพวกนั้นนานๆ ทีจะเกิดสักครั้ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืนเลย

การใช้ชีวิตในป้อมปราการ และการใช้ชีวิตในแดนรกร้างนั้นช่างแตกต่าง

ตอนเช้าหวังฟู่กุ้ยออกไปแลกเงินของสมาคมตระกูลชิ่งที่พวกเขามี เขาไปสอบถามที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างสมาคมที่ธนาคารของสมาคมตระกูลหลี่ แต่พอถามเสร็จ ก็ได้คำตอบมาว่าค่าธุรกรรมการแลกเปลี่ยนคือ 23%!

เริ่นเสี่ยวซู่แนะไม่ให้เขาแลกเปลี่ยนเงินเยอะเกินไป ถ้าวันหนึ่งต้องไปอยู่ป้อมปราการอื่นอีก ค่าธุรกรรมการแลกเปลี่ยนที่จ่ายไปไม่สูญเปล่าเลยเหรอ

พอหวังฟู่กุ้ยได้ยินแบบนั้นก็ไม่สบายใจอยู่ขึ้นมาอยู่หน่อยๆ “เสี่ยวซู่ เธอกำลังบอกว่าเดี๋ยวพวกเราต้องไปป้อมปราการอื่นอย่างนั้นเหรอ พวกเรากำลังไปที่ไหน”

“ฉันไม่ได้บอกว่าพวกเราต้องไปแน่ๆ สักหน่อย” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้ต้องการเงินอะไรมากมายนี่ แต่แลกเงินนิดหน่อยติดตัวไว้พอ เก็บที่เหลือไว้เถอะ”

เริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะได้ออกไปจากที่นี่ในสักวันหนึ่ง และต้องได้เดินทางไปยังต่างป้อมปราการจริงๆ แต่ตอนนี้ที่เขาสนใจมากกว่าคือหยางเสียวจิ่นและลั่วซินอวี่มาที่ป้อมปราการ 109 ทำไม

เขาสงสัยเหลือว่าตัวเองจะมีโอกาสได้คัดลอกทักษะของหยางเสียวจิ่นหรือเปล่า

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset