the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 155 โรงเตี๊ยมโจรขายยาดำ

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าหลัวหลานจะยึดติดกับผู้มีพลังพิเศษเกินไปหน่อยแล้ว

เฉินอู๋ตี๋เคยเล่าว่าเปินปัวเอ๋อร์ป้าพยายามล่อลวงเขาให้ไปอยู่ด้วย แต่การกระทำครั้งนั้นโดน ‘เนตรเพลิง’ ของเขามองออกได้ในทันที เขาเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง (ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า) จะอยู่ภายใต้ปีศาจได้อย่างไร เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นเพราะพวกปีศาจไม่คิดจะอัญเชิญพระไตรปิฎกจากสวรรค์ประจิม!

หลัวหลานเสี่ยงชีวิตช่วยตงฟู่หนานเพราะอยากได้ผู้มีพลังพิเศษมาเป็นผู้คุ้มกัน ทั้งเขายังตามเกี้ยวเธอไม่ลดละ ทว่าตงฟู่หนานไม่สนใจเขาเลย

ระหว่างนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามหลัวหลานด้วยซ้ำว่าเขาสายตาฝ้าฟางไปแล้วหรือ ถ้าตงฟู่หนานมีปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร

ถ้าปล่อยให้ตงฟู่หนานอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าเธอมีปัญหาจริงก็ไม่ต่างจากทิ้งระเบิดที่กำลังนับถอยหลังไว้เลย

แต่หลัวหลานกลับพูดว่าเธอไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะเธอดูใสซื่อมาก

“คนใหญ่คนโตแบบนายไม่ควรจะตรวจสอบประวัติเธอหน่อยเหรอไง” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเสีย

“ใช่ว่าป้อมปราการนี้เป็นของพวกเราสักหน่อย” หลัวหลานว่าตามจริง

แต่เรื่องนี้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกแปลกๆ เขาน่าจะต้องระวังตงฟู่หนานไว้ก่อน

ทันใดนั้นเสียงจากพระราชวังก็ดังขึ้น [ภารกิจรอง รับรองผู้ทุกข์ยากเป็นเวลาเจ็ดวัน 1/7 หากทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับผลิตภัณฑ์ใหม่ในตู้หยอดเหรียญ]

เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไป เขานึกว่าซื้อได้แต่ยาดำจากตู้หยอดเหรียญเสียอีก กลับกลายเป็นว่าถ้าทำภารกิจสำเร็จจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ซื้อ?

ภารกิจนี้นี่มันไม่ปลอกกล้วยเข้าปากเลยเหรอ

ระหว่างที่รับประทานอาหารเย็นกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตีหน้าซื่อถามตงฟู่หนานว่า “พลังพิเศษของเธอคืออะไรเหรอ”

“ฉันมีพละกำลังเยอะกว่าคนทั่วไป…” ตงฟู่หนานว่าเสียงเบา

“พละกำลังเยอะกว่า?” เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าพลังเธอดูใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เท่าไรนัก “เยอะกว่าคนทั่วไปแค่ไหน”

“น่าจะชายฉกรรจ์สองคนได้” ตงฟู่หนานว่า “แต่พละกำลังของฉันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตน่าจะมากกว่านี้”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “พูดตามตรงนะ ถ้าไม่ได้หลัวหลานกับคนของเขาช่วย แค่พลังพิเศษของเธอคนเดียวคงไม่รอดออกมาแน่”

“แต่เขาไม่มีเจตนาดี!” ตงฟู่หนานว่า “สายตากับน้ำเสียงเขาไม่ชอบมาพากล!”

“มีแผนจะทำอะไรต่อล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม ว่าตามตรงแล้วเขาไม่ชอบหญิงสาวเอาแต่ใจผู้นี้เท่าไรนัก ถึงเธอจะไม่ชอบหลัวหลาน แต่อย่างน้อยก็ควรขอบคุณเขาหน่อยหรือเปล่า เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับหลัวหลานเลย

ตงฟู่หนานคิดพักหนึ่งแล้วว่า “พรุ่งนี้หลังอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ฉันจะไปล้างแค้นบริษัทหัวจ่ง!”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “เธอไปไม่ได้”

“ทำไม” ตงฟู่หนานฟงะ

“อย่างแรกเลย บริษัทหัวจ่งโดนไล่ออกไปจากป้อมปราการแล้ว ต่อให้ยังมีคนของบริษัทอยู่ในป้อม เธอก็หาไม่เจอหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “อย่างที่สอง ถ้าเธอโดนจับและถูกทรมาน เธออาจจะปากโป้งเรื่องพวกเราก็ได้”

และอีกด้านหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิด ถ้าเธอไปตอนนี้ ฉันจะทำภารกิจยังไง!

แต่ที่เขาพูดไปก็ไม่ผิด ถ้าบริษัทหัวจ่งมาตามล่าล้างแค้นเขาหลังตงฟู่หนานรับการทรมานไม่ไหวจะทำอย่างไร หญิงสาวคนนี้ทั้งเห็นแก่ตัวทั้งไม่สนใจความปลอดภัยคนอื่น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ไว้วางใจในตัวเธอแม้แต่นิดเดียว

ตงฟู่หนานพูดอย่างดื้อดึง “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่บอกใครหรอกว่าพวกนายเป็นคนช่วยฉัน”

“เธอจะรับประกันยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “อู๋ตี๋ หน้าที่นายช่วงนี้คือการจับตาตงฟู่หนาน!” แต่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าเฉินอู๋ตี๋ดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

เหยียนลิ่วหยวนกระซิบอะไรบางกับเฉินอู๋ตี๋ ก่อนเขาจะพยักหน้าตกลงอย่างชื่นมื่น

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความสงสัยเลยถามเหยียนลิ่วหยวน “พูดอะไรเขาถึงได้หน้ารื่นขนาดนั้น”

“จะให้เขามีความสุขง่ายจะตาย” เหยียนลิ่วหยวนกินข้าวต้มคำโต ก่อนจะพูด “ก็เรียกเขาว่าฉีเทียนต้าเซิ่งไง”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเหยียนลิ่วหยวนจับจุดคนเก่งจริงๆ

ตงฟู่หนานพยายามหนีตอนเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนคุยกัน เธอกลัวว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้ล้างแค้นอีก แต่ก่อนจะได้ไปไหนไกล ก็โดนเฉินอู๋ตี๋แบกกลับมา

ไม่ว่าเธอจะมีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเฉินอู๋ตี๋ตอนนี้ไปได้

เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างเฉินอู๋ตี๋พูด “ฉีเทียนต้าเซิ่งเจ๋งมาก!”

“แหงล่ะ!” เฉินอู๋ตี๋พูดอย่างภาคภูมิใจ

เฉินอู๋ตี๋ได้แต่เต้นอยู่ในมือของเหยียนลิ่วหยวน เขารู้ดีว่าจะจัดการเฉินอู๋ตี๋อย่างไร

เฉินอู๋ตี๋จับตงฟู่หนานเข้าห้องเสี่ยวอวี้ไป แถมยังหาเชือกมามัดเธอไว้เบ็ดเสร็จ

ตงฟู่หนานตะลึงไป เธอนึกว่าตนเองถูกกลุ่มคนจิตใจดีช่วยไว้เสียอีก แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตัวเองโดนโจรลักพาตัวมาเลยล่ะ ที่ขาดไปคือโทรเรียกค่าไถ่กับครอบครัว!

ตงฟู่หนานร้องเสียงดัง “ปล่อยฉันออกไปนะ นี่มันร้านอะไรกันแน่ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมโจรสินะ นายต้องขายยาดำ[1]ด้วยแน่!”

ทุกคนมองเธออย่างเงียบงันไปพักหนึ่ง เสี่ยวอวี้ยิ้มพูด “พวกเราขายยาดำจริงๆ…”

ตงฟู่หนาน “???”

ก่อนหน้านี้เธอมองว่าเสี่ยวอวี้ทั้งอ่อนหวานทั้งนุ่มนวล เธอน่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอพบว่าเสี่ยวอวี้เองก็เป็นพวกคนเลวเหมือนกัน

“ไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะเป็นแบบนี้!” ตงฟู่หนานโมโห

“พวกเราเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะเป็นคนอย่างนี้” เริ่นเสี่ยวซู่

ตงฟู่หนานพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่เฉินอู๋ตี๋เอาปลอกหมอนยัดปากเธอเรียบร้อย

เริ่นเสี่ยวซู่แค่นเสียง “พวกเราให้เธออยู่ที่นี่ก็บุญแค่ไหนแล้ว ต่อให้เธอไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่ครอบครัวเราหน่อย ถ้าพยายามหนีอีก ฉันจะหักขาเธอทิ้งซะ!”

ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้รับภารกิจหรือรับเงินของหลัวหลานมา เขาคงลงมือจัดการเธอไปแล้ว…

วันต่อมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หลัวหลานมาเยี่ยมมาชวนตงฟู่หนานคุยแต่เช้า แต่ไม่ว่าเธอจะเรียกเธอหน้าประตูแค่ไหน ก็ไม่มีเสียงตอบรับเลย

ก่อนหน้านี้ตงฟู่หนานยังปริปากด่าเขาบ้าง แต่ตอนนี้คำด่าสักคำยังไม่มี

หลัวหลานหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ “ตงฟู่หนานไปแล้วเหรอ หรือพวกนายทำอะไรเธอ”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เปล่า เธอแค่ไม่อยากคุยกันนาย”

หลัวหลานถาม “ทำไมเธอไม่ด่าฉันสักนิดเลยล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ครุ่นคิด “อาจจะด่านายจนเหนื่อยแล้วมั้ง”

“อ้อ” หลัวหลานพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้ว

“ว่าไป ฉันละสงสัยว่านายจะรับมือผู้หญิงคนนี้ได้หรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะโน้มน้าวให้หลัวหลานยอมแพ้เรื่องเธอไปเสีย หลังจากนี้เจ็ดวันเขาจะได้จัดการกับตงฟู่หนานได้

หลัวหลานไม่ยิมยอม “ฉันยังหาเป้าหมายใหม่ไม่เจอเลย”

ใช่แล้ว! เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วได้ว่าหลัวหลานไม่ใช่คนที่ทุ่มเทอะไรหรอก ถ้าเจอเป้าหมายใหม่คงยอมแพ้เรื่องตงฟู่หนานไปเอง จึงเขากล่าวกับหลัวหลานว่า “โชคดีนะ”

ตอนนั้นเอง ถังโจวก็เดินมาหาหลัวหลาน หลังจากนั้นหลัวหลานก็รีบร้อนจากไป

“พี่” เหยียนลิ่วหยวนมองตามหลังหลัวหลานที่ออกจากร้านไป “หลัวหลานต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ ผมกลัวว่ามันจะพัวพันพวกเราเข้าไปด้วยน่ะสิ”

พวกเขาได้รับการรับรองเป็นพลเมืองของป้อมปราการมาได้เพราะหลัวหลาน ถ้าหลัวหลานสร้างปัญหาขึ้นมา สมาคมตระกูลหลี่ก็คงไม่ปล่อยพวกเขาไว้เช่นกัน

“ช่างเรื่องนั้นไปก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น “วันนี้นายเฝ้าหน้าห้อง ฉันจะทำระเบิด ฉันจะใช้มันเป็นไพ่ไม้ตายของพวกเรา…อ้อใช่ ฉันต้องทดลองอะไรบางอย่างก่อน”

เริ่นเสี่ยวซู่ดึงเหยียนลิ่วหยวนเข้าห้องไป เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันได้รับพลังเปิดประตูในเงามาใหม่ ขอลองหน่อยว่าฉันจะดึงนายเข้ามาในประตูได้หรือเปล่า”

“อ่าฮะ” เหยียนลิ่วหยวนไม่ถามว่าเขาไปได้พลังมาจากไหนหรือรู้วิธีทำระเบิดได้อย่างไร

เริ่นเสี่ยวซู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถอยหลังไปหน่อย ฉันจะเปิดประตูเงาตรงหน้านาย”

วินาทีต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็สั่งการเปิดประตูเงา เหยียนลิ่วหยวนมองฝ้าด้วยสายตาว่างเปล่า “พี่ พี่ควบคุมประตูได้จริงๆ ใช่ปะ?”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะเปิดประตูเงาหน้าเหยียนลิ่วหยวน แต่กลับไปโผล่บนเพดานเสียได้

“ฉิบ ขอลองใหม่แป๊บ เชื่อฉัน รอบนี้ไม่พลาด พลาดนิดพลาดหน่อยเอง ใครๆ ก็ทำพลาดกันได้เนอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ขวยเขิน จากนั้นประตูเงาก็เปิดบนพื้น

เหยียนลิ่วหยวนกระซิบกระซาบพูด “พี่ อย่าเพิ่งเอาผมไปเป็นตัวทดลองก่อนได้มะ…รู้สึกหวาดๆ แฮะ”

[1] ร้านค้า (店铺 เตี้ยนพู่) โรงเตี๊ยมโจร (黑店 เฮยเตี้ยน) ยาดำ (黑药 เฮยเย้า) เป็นการเล่นคำ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset