the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 15 โฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวเอง

เริ่นเสี่ยวซู่เดินออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ อยากจะอัดหมอหนุ่มคนนี้สักรอบจริงๆ แต่เหตุผลให้ต่อยตีกลับไม่หนักแน่นพอ อย่างไรเสียความตั้งใจเดิมของเขาก็คือแย่งชามข้าวผู้อื่นอยู่แล้ว

เขาจะต้องเป็นหมอให้ได้ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเหยียนลิ่วหยวนสุดๆ พวกแพทย์พวกหมอได้รับคำขอบคุณจากผู้อื่นง่ายจริงๆ นั่นแหละ

แต่หากไม่มีทักษะทางการแพทย์ เขาจะกลายเป็นหมอได้อย่างไร

พอมาถึงโรงเรียน เขาก็เค้นสมอง จากนั้นก็นึกไปถึงตอนที่ตนเดินออกมาจากโรงจำนำเมื่อคืน

หญิงวัยกลางคนร้องไห้คร่ำครวญหน้าประตูคลินิก ชายคนหนึ่งเลือดไหลไม่หยุด สุดท้ายก็สิ้นใจไป

เริ่นเสี่ยวซู่เผลอไปเห็นผิวบริเวณง่ามมือตนเอง อ๊ะ วันนี้แผลติดเชื้อตกสะเก็ดหมดแล้ว?

หมายความว่าเจ้าขี้ผึ้งสีดำนั่น นอกจากจะลดอักเสบได้ ยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นอีก?

เริ่นเสี่ยวซู่เคยบาดเจ็บมาก่อน จึงรู้ดีว่าร่างกายมนุษย์นั้นมีความสามารถในการรักษาตัวขนาดไหน รอยแผลจิกของนกกระจอก ต่ำสุดต้องใช้เวลาเจ็ดวันจึงจะตกสะเก็ด

เดี๋ยวนะ! เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดความคิดแล้วว่าตัวเองจะเป็นหมอได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าคนที่คลินิกนั่นโม้แหลกกับหลอกลวงคนจนเป็นหมอได้ ถ้าอย่างนั้นเขาที่ตอนนี้มียาเทพอยู่ด้วย ทำไมถึงจะเป็นหมอบ้างไม่ได้

ถ้าเขาลองเปิดคลินิกที่รับรักษาเฉพาะรอยแผลจากมีดจะดีขนาดไหนกันนะ เขาก็แค่เย็บแผลให้ แล้วก็โปะขี้ผึ้งสีดำ แค่นี้งานก็เสร็จแล้ว!

ย้อนกลับไปตอนที่หมอชรายังอยู่ เขาเคยบอกที่ตนเองไม่รับเย็บแผลว่าไม่ใช่เพราะตนไม่มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อไว้ใช้งาน แต่คือถ้าแบคทีเรียจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายแล้ว คนไข้ต้องเสียชีวิตแน่นอน เย็บแผลไปก็เท่านั้น

ซึ่งหมอชราเข้าใจเรื่องนี้ดี

แต่ไม่ใช่กับเริ่นเสี่ยวซู่ เขาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย!

ว่าแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดบรรเจิด ถึงกับวางแผนอนาคตบางประการไว้ให้เสี่ยวอวี้แล้วด้วย

เสี่ยวอวี้กำลังวางแผนไว้ว่าจะไปหางานเย็บปักถักร้อยมาเป็นเงินประทังชีวิต แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าแบบนั้นเธอจะลำบากเกินไป ถ้าเธอไปบริการเย็บปักในป้อมปราการได้ น่าจะมีลูกค้ามามากกว่ามาก

แต่ทุกคนในเมืองต่างยากจนกันทั้งนั้น จึงเย็บปักถักร้อยซ่อมชุดตัวเองกันที่บ้านอยู่แล้ว ใครจะมาเสียเงินจ่ายให้กับอะไรพวกนี้ล่ะจริงไหม

เริ่นเสี่ยวซู่คิดไว้ว่าถ้าเธอเย็บเสื้อผ้าไม่ได้ งั้นมาเย็บแผลแทนก็แล้วกัน แต่เขาไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถ้าเสี่ยวอวี้เห็นเลือดแล้วจะหน้ามืดเป็นลมไปเลยหรือเปล่า…

เริ่นเสี่ยวซู่ไปถามเรื่องราวกับอาจารย์จางจิ่งหลินเป็นพิเศษ อย่างไรเสียจางจิ่งหลินก็รู้อะไรๆ เยอะกว่า

จางจิ่งหลินมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างประหลาดใจ “อยากจะเปิดคลินิกรักษาแผลจากของมีคมโดยเฉพาะ? มีไหมเย็บแผลเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบด้วยคำถาม “ไหมเย็บแผลคืออะไรเหรอครับ”

จางจิ่งหลิน “…แล้วมียาชาหรือเปล่า”

“ยาชาคืออะไร”

จางจิ่งหลิน “…”

วินาทีนี้เองจางจิ่งหลินก็ได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีอะไรเตรียมการไว้เลย…

จางจิ่งหลินพูดอย่างใจเย็น “เคยคิดไหมว่าทำไมในเมืองมีคนบาดเจ็บจากมีดมามากขนาดนั้นแต่คลินิกถึงไม่เคยลงมือรักษาคนไข้เลย ปัญหาไม่ใช่แค่การติดเชื้อจากแบคทีเรีย แต่ยังเป็นเพราะว่าไม่มีไหมเย็บแผลกับยาชาด้วย ฉันได้ยินมาว่าขนาดในป้อมปราการเองยังขาดแคลนของพวกนี้เลย”

จางจิ่งหลินพูดต่อ “การฉีดยาชามีวิธีเฉพาะอยู่ ถ้าใช้น้อยไป คนไข้ก็จะปวดมาก ถ้าใช้มากไป คนไข้จะสามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้ ส่วนไหมเย็บแผล เรื่องนี้ยากกว่าอีก ไม่เพียงแต่ต้องดูเรื่องความคงทนต่อแรงดึงของเส้นไหมแล้ว ยังต้องดูเรื่องค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างทะลุผ่านเนื้อเยื่ออีก”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” เริ่นเสี่ยวซู่โบกมือ “ไม่มีปัญหาครับ คนใกล้ตายไม่สนใจเรื่องความเจ็บปวดหรอก ใช้ด้ายเย็บผ้ามาเย็บเอาก็ได้”

“…แล้วเรื่องการฆ่าเชื้อล่ะ?” จางจิ่งหลินถามอย่างขวัญผวา

“ผมมีสูตรลับ!” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

เป็นอย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ไว้ จางจิ่งหลินไม่ได้รู้ทุกเรื่อง มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็จริง แต่ความรู้ที่เหลือนั้นอยู่ระดับ ‘รู้’ เท่านั้น

เพราะแบบนี้ จางจิ่งหลินจึงไม่รู้ว่าจะตอบโต้เริ่นเสี่ยวซู่อย่างไรดี สุดท้ายได้แต่โบกมือ แล้วว่า “เตรียมสอนเถอะ คาบต่อไปเป็นวิชาเอาตัวรอดแล้ว”

วันแรกของการสอน เริ่นเสี่ยวซู่ได้ชิมรสชาติอันหวานหอมไปแล้ว เขากะจะยืดคาบจนตกดึกแล้วค่อยปล่อยนักเรียน…

พวกนักเรียนไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อจากนี้ของตนจะเป็นอย่างไร

หลังเลิกเรียน เหล่านักเรียนเดินออกจากห้องเรียน พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าวันนี้ไม่มีใครขอบคุณเขาเลย จึงอดถามออกมาไม่ได้ “พวกนายไม่คิดจะขอบคุณอาจารย์หน่อยเหรอไง”

พวกนักเรียนตัวสั่นหงึกๆ ด้วยความขวัญผวา ก่อนค่อยๆ หันมาขอบคุณเหล่าอาจารย์

ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองพระราชวังในห้วงจิตก็ต้องผิดหวัง เขาไม่ได้เหรียญคำขอบคุณแม้แต่เหรียญเดียว

จางจิ่งหลินเคยบอกเขาแล้วว่า พวกนักเรียนธรรมดาไม่เข้าใจมุมมองของฝ่ายครูบาอาจารย์หรอก เริ่นเสี่ยวซู่อดรู้สึกไม่ได้ว่าหนทางนี้ของตนยังอีกยาวไกลนัก

ระหว่างทางกลับบ้านช่วงดึก เริ่นเสี่ยวซู่เห็นแสงไฟลอดมาจากกระท่อมตนเองแต่ไกล เขารีบวิ่งเข้าไปยกม่านประตูออกดู พอเดินเข้าไป กลับต้องประหลาดใจนักที่เห็นเสี่ยวอวี้นั่งบนเก้าอี้หักๆ มือกำลังปะชุนเสื้อผ้าของสองพี่น้อง ด้านข้างยังมีโจ๊กข้าวโพดกับผักป่าด้วย

ปกติพวกเขาจะทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่กระท่อม เพราะอย่างไรก็คงไม่มีใครมาขโมยหรอก

แต่ถึงมีคนขโมยเสื้อไปจริง สักวันหนึ่งโจรก็ต้องใส่ออกมา และพอทำแบบนั้นก็จะถูกจำได้ แน่นอนว่าถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตีโจรให้ตายก็ไม่ใช่เริ่นเสี่ยวซู่แล้ว

พอเสี่ยวอวี้เห็นพวกเขากลับมา ก็ยิ้มพลางพูด “ขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต พอดีฉันเห็นว่าเสื้อผ้าพวกเธอขาดหมดแล้ว เลยจะเย็บให้น่ะ มากินข้าวเย็นกัน”

เหยียนลิ่วหยวนยื่นมือคิดจะไปตักโจ๊กสักหน่อย อาหารมื้อนี้ ถือว่าเป็นอาหารหรูในเมืองได้เลยทีเดียว ปกติแล้วพวกเขาจะกินขนมปังดำหรือมันฝรั่งเป็นอาหาร ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับตีมือเหยียนลิ่วหยวนเข้าให้ฉาดหนึ่ง “ขอบคุณพี่เสี่ยวอวี้แล้วหรือยัง”

เหยียนลิ่วหยวนต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ย่อมทำตัวเป็นเด็กดีมาก “ขอบคุณครับพี่เสี่ยวอวี้”

เสี่ยวอวี้รีบพูด “อย่าตีลิ่วหยวนสิ”

“ตอนนี้ยังสั่งสอนได้ แต่ต่อไปไม่มีใครสั่งสอนแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พูด จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังยิ่ง “ขอบคุณพี่เสี่ยวอวี้”

“ยินดีจ้ะ” เสี่ยวอวี้ยิ้ม “ปกติพวกเธอสองคนกินอะไรเป็นข้าวเย็นเหรอ”

เหยียนลิ่วหยวนตอบ “ปกติพวกเราไม่กินข้าวเย็น”

“ทำอย่างนั้นได้ยังไง พวกเธอสองคนกำลังโตนะ” เสี่ยวอวี้เอ่ย

ไม่รู้ว่าทำไม เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าเสี่ยวอวี้น่าจะเป็นเหมือนพี่สาวพวกตนมานานแล้ว ไม่มีใครเคยกล่าวคำเช่นนี้กับพวกตนมาก่อนเลย

“พี่เสี่ยวอวี้” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ทักษะเย็บปักถักร้อยพี่ไม่เลวเลยนะ ทำไมไม่มาช่วยพวกเราตอนคลินิกรักษาแผลจากมีดเปิดกิจการล่ะ”

“คลินิกรักษาแผลจากมีด?” เสี่ยวอวี้นิ่งงันไป “ทำไมจู่ๆ ก็จะเปิดคลินิกสำหรับรักษาแผลจากมีดโดยเฉพาะล่ะ”

“ก็เพราะว่าผมมีสูตรสมุนไพรลับสำหรับการรักษาแผลจากมีดน่ะสิ มันช่วยลดอาการอักเสบ แถมยังช่วยให้แผลหายไวขึ้นด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ ก็แสดงรอยแผลที่มือให้เธอดู เสี่ยวอวี้ก้มลงมอง ก่อนจะสังเกตว่าแผลเริ่นเสี่ยวซู่ตกสะเก็ดเรียบร้อยแล้ว

เสี่ยวอวี้คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วว่า “แต่ทุกวันนี้คนทะเลาะกันน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อก่อนวันหนึ่งมีคนบาดเจ็บเป็นสิบ แต่ตอนนี้ทุกสองสามวันถึงจะมีคนบาดเจ็บที”

มันเป็นเรื่องจริง นอกจากคนที่โดนเริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าทิ้งกับชายที่นอนตายหน้าคลินิกเมื่อวานแล้วก็ด้วย เหมือนช่วงนี้จะไม่ได้มีการต่อสู้อะไรกันอีก

ส่วนกรณีที่ว่ามีโจรบุกบ้านยามค่ำคืนนั้นไม่นับ เพราะส่วนใหญ่อย่างไรก็คงไม่มีผู้รอดชีวิตเหลือออกมาอยู่แล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิดตามอยู่พักหนึ่ง “ให้ฉันไปสับเล่นสักคนดีไหม”

เหยียนลิ่วหยวนพูดออกมาอย่างตกตะลึงทันที “พี่ พี่โหดร้ายไปแล้ว เอาแบบนี้สิ โฆษณาผลิตภัณฑ์ของเราเป็นไง”

“ไม่ได้ ไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก พวกเราไม่อาจมัวเมาไปกับผลประโยชน์ได้”

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset