the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 4 โชคก็เป็นพลังอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ

“ฉันเองก็คงมีพลังบางอย่างเหมือนกัน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดขึ้น

เหยียนลิ่วหยวนที่นั่งตรงทางเข้ากระท่อมนิ่งไป ก่อนจะยกม่านประตูขึ้นมองท้องฟ้าดาราดาษหลังฝนซา “พี่หมายถึง…”

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ต้องขอลองก่อนแล้วดูว่าเป็นยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่นั่งลงข้างเหยียนลิ่วหยวน “ตามตำนานในเมืองกล่าวขานไว้ มีคนสามารถดึงรถไฟออกจากอากาศอันว่างเปล่าได้ ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอก แต่หลังจากที่ได้เจอนาย ก็คิดว่ามันอาจเป็นไปได้ก็ได้ ตอนนี้ฉันเองก็น่าจะมีพลังแปลกๆ เหมือนกัน รู้สึกประหลาดดีแท้”

‘พลังพิเศษ’ ของเหยียนลิ่วหยวนคือ ‘โชค’

เป็นพลังอันซับซ้อนยากจะทำความเข้าใจ เมื่อไรที่เหยียนลิ่วหยวนอธิษฐานให้เริ่นเสี่ยวซู่กลับบ้านมาพร้อมกับเหยื่อ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะแค่เดินอยู่ในป่าเฉยๆ ก็ตามที ก็จะมีนกกระจอกหล่นตุบมาที่เขาอย่างลึกลับเสมอ

พลังนี้ย่อมมีผลข้างเคียงอยู่ หลังจากที่เหยียนลิ่วหยวนอธิษฐานไปแล้ว ก็จะเป็นไข้ที่รักษาไม่หาย ไม่ก็เกิดอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่อยากปกป้องเหยียนลิ่วหยวน เดิมทีเขาก็ไม่เชื่อนัก แต่ต่อมาก็ได้แต่ต้องยอมรับความจริงแล้ว

พริบตานั้นเอง ดาวตกสายหนึ่งก็พุ่งผ่านไปบนท้องนภา เหยียนลิ่วหยวนยกมือขึ้นพนมเตรียมจะอธิษฐานขอพรตามสัญชาตญาณ แต่เริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาห้ามไว้ “อย่าขอพรอะไรนะ เดี๋ยวก็เป็นอะไรไปหรอก”

เพราะความสามารถในการล่าของตนปัจจุบันนี้เริ่นเสี่ยวซู่จึงแทบไม่ต้องพึ่งโชคของเหยียนลิ่วหยวนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้เหยียนลิ่วหยวนใช้งานพลังพิเศษอีก และเหยียนลิ่วหยวนเองก็ไม่คิดจะขัดคำสั่งด้วย

ร่างผอมบางของเหยียนลิ่วหยวนเหม่อมองดาวตกลอยลับฟ้าไป “ทำไมดาวตกถึงมาเร็วไปเร็วนักนะ ถ้าคนขอพรไม่ทันจะทำยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดตามอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ “บางทีที่พวกมันรีบไปก็เพราะไม่อยากฟังคำอธิษฐานขอพรจากใครก็ได้มั้ง?”

เหยียนลิ่วหยวนหันหน้ามามองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาว่างเปล่า

……

เหยียนลิ่วหยวนเป็นยามเฝ้ากะกลางคืนของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเฝ้าตลอดทั้งคืน เริ่นเสี่ยวซู่จะเข้ามาแทนกะบ้าง เพราะอย่างไรเสีย เหยียนลิ่วหยวนต้องไปเรียนตอนเช้าอยู่ดี

นี่เป็นสถานการณ์ที่หลังชนฝามาก การนอนหลับไม่เพียงพอถือเป็นปัญหาร้ายแรง แต่เพื่อที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเริ่นเสี่ยวซู่หรือเหยียนลิ่วหยวนก็ต้องฝืนทนอดกลั้นกันไป

รุ่งสางเริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนออกมาข้างนอก พวกเขาพกของมีค่าติดตัวไปด้วย ซึ่งรวมไปถึงหม้อใบใหญ่ของเริ่นเสี่ยวซู่

มิเช่นนั้นหลังจากกลับบ้านช่วงดึกๆ ต้องเจอกับเศษซากจากคนบุกเข้ามาขุดคุ้ยกระท่อมของพวกเขาแน่นอน

“ได้ยินว่าคนในป้อมไม่ปิดประตูบ้านตอนกลางคืนเพราะว่าไม่มีใครเข้าไปขโมยของ” เหยียนลิ่วหยวนแบกม้วนที่นอนไว้บนหลัง ก่อนจะมองไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ที่แบกหม้อไปไหนมาไหนตามใจ นี่แทบจะเป็นสมบัติทั้งหมดที่พวกเขามีแล้ว

ปกติเวลาเหยียนลิ่วหยวนไปโรงเรียน ก็มักจะพกม้วนที่นอนไปด้วย ซึ่งนักเรียนคนอื่นๆ ก็แทบจะทำอย่างนี้กันหมด ทุกคนล้วนชินสภาพแบบนี้กันแล้ว

“ขี้โม้” ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะอยากเข้าไปอาศัยอยู่ในป้อมปราการ แต่เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคนพวกนั้นจะยอมเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ตอนกลางคืน “ยังมีคนเชื่อด้วยซ้ำว่าตดของคนในป้อมหวานหอมมาก”

“แต่ไงก็เหอะ พี่ไม่น่าจะแบกหม้อที่หลังไปไหนมาไหนเลย” เหยียนลิ่วหยวนว่า

“นายจะไปรู้อะไร” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย “กว่าฉันจะได้เจ้าหม้อนี่มาไม่ง่ายหรอกนะ ใช้ทำอาหารก็ได้ ใช้จับนกกระจอกก็ได้ ถ้าพวกเราทำมันหาย จะใช้ชีวิตต่อยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ใช้มือหนึ่งหิ้วหม้อพาดไหล่ อีกมือหนึ่งคว้านกกระจอกตัวโตห้อยหัว ระหว่างทางมีคนไม่น้อยมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยความอิจฉาตาร้อน

ต้องรู้ไว้ด้วยว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไปแล้ว

มีข่าวลือว่าในอดีตนกกระจอกขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น แต่ในยุคนี้ แค่ถูกนกจิกอาจถึงชีวิตได้

ใช่ว่าทุกคนจะจับนกกระจอกได้ หรือใช่ว่าทุกคนจะสามารถนอนนิ่งๆ ในป่าทั้งวันเพื่อจับนกสักตัว พวกเขาไม่ได้เห็นอาหารจานเนื้อจานปลามานานมากแล้ว ถ้าบอกว่าไม่อิจฉาเริ่นเสี่ยวซู่คงเป็นเรื่องโกหก

เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนเดินไปที่ประตูป้อมปราการ กำแพงสูงลิบลิ่วทำให้พวกเขารู้สึกตนเองเล็กจ้อยนัก

พอเข้ามา สภาพสิ่งก่อสร้างรอบกายก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่บ้านอิฐก็ยังมีให้เห็น

ขณะเข้าไปในป้อม สถานที่ต่างๆ ช่างดูสะอาดสะอ้านขึ้น เป็นระเบียบขึ้น และ ‘ดูรวย’ ขึ้นมาก คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ได้มักมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคนที่อาศัยอยู่ในป้อม บางทีอาจจะประจบสอพลอเก่ง หรือไม่ก็มีญาติอยู่ข้างใน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร บรรดาเหล่าผู้อพยพที่รู้จักกันดีว่าเป็นพวก ‘ปนเปื้อนนั้น’ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในป้อมโดยเด็ดขาด

เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปในร้านที่ป้ายแปะไว้บนทางเข้าว่า ‘ร้านขายของชำ’ ที่นี่ขายของหลากหลายประเภท เช่น บุหรี่ ไม้ขีด ภาชนะอุปโภคทำจากเหล็ก อาหาร เสื้อผ้า ส่วนราคาย่อมสูงมากเช่นกัน

ชายชราในร้านพอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้มกว้าง “ดูเหมือนวันนี้นกกระจอกจะตัวใหญ่ไม่เลว!”

เริ่นเสี่ยวซู่โยนซากนกกระจอกไปบนเคาน์เตอร์กระจก “ตัวนี้ได้ราคาเท่าไร”

“โอ๊ย เบามือหน่อยสิ เคาน์เตอร์กระจกที่โยนของมานี่แพงมากเชียวนะ” เหล่าหวังร้องอย่างปวดใจ จากนั้นก็ยกร่างนกกระจอกไปวางบนตราชั่งด้านข้าง “1.74 กิโลกรัม ไม่เลวนี่เสี่ยวซู่”

ทันใดนั้นนิ้วแหลมราวกรงเล็บของเหล่าหวังก็ดีดลูกคิดเสียงป๊อกแป๊ก “ราคาตลาดวันนี้ครึ่งโลสองร้อย เหยื่อตัวนี้ฉันให้เจ็ดร้อยแล้วกัน!”

“เก้า” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ใกล้หน้าหนาวแล้ว ออกไปก็หานกกระจอกยากมาก เก้าร้อยไม่ลด”

เหล่าหวังไม่ยอม ดันลูกคิดมาตรงหน้าเริ่นเสี่ยวซู่และพูด “ฉันจะส่งนกกระจอกไปให้พวกชนชั้นสูงในป้อมกิน ถึงในป้อมปราการจะขาดแคลนเนื้อ แต่ทุกอย่างมีราคาแน่นอน พวกเราต้องทำตามระเบียบการ”

พอเหล่าหวังพูดจบ เขาก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่หยิบซากนกกระจอกกลับไป และเตรียมออกไปจากร้าน เขารีบเข้าไปดึงชายเสื้อแจ็กเก็ตปุปะของเริ่นเสี่ยวซู่ “จะไปไหนน่ะ”

“จะไปดูราคากับร้านเหลาหลี่ไง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

เหล่าหวังกำชายเสื้อแน่นกว่าเดิม วันนี้คนดูแลของป้อมแจ้งมาเป็นพิเศษว่าจะออกมารับเนื้อ ข่าวนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่รู้

เหล่าหวังยิ้มจนเกิดริ้วรอย “อยากจะขายเท่าไร”

เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงพยายามจากไปอยู่ดี “เดี๋ยวพอฉันไปถามคนอื่นแล้วค่อยกลับมาคุย”

เหล่าหวังยิ้มฉอเลาะ “งั้นลิ่วหยวนก็ไปโรงเรียนสายสิ ก็ได้ เก้าร้อยก็เก้าร้อย!”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามเสียงเรียบนิ่ง

“งั้นลิ่วหยวนก็ไปโรงเรี…”

“ประโยคก่อนหน้านั้นอีก”

“อยากจะขายเท่าไร”

“หนึ่งพันสองร้อย”

เหล่าหวัง “…”

พริบตาต่อมาเหล่าหวังก็ต้องยืนนับเงินอย่างปวดใจ เขาเลียนิ้วและนับเงินซ้ำไปซ้ำมา กลัวว่าจะนับผิดไปแม้แต่หน่วยเดียว

การซื้อขายตกลงได้ในที่สุดด้วยตัวเลขหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปด ซึ่งเริ่นเสี่ยวซู่ยอมลดให้นิดหน่อย…

ขายนกกระจอกไปด้วยราคาหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดไม่ได้เรียกว่าสูงเกินจริง และไม่ใช่เพราะว่าเจ้านกกระจอกนี่ตัวใหญ่ด้วย แต่เป็นเพราะคนในป้อมปราการ 113 น้อยนักจะได้กินเนื้อสัตว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้

ของบางอย่างมีค่าเพราะหายาก เหล่าหวังเองก็ไม่เคยทำการค้าขาดทุน พอขายเจ้านกกระจอกนี่ไปยังผู้มีอำนาจแล้ว เขายังพอมีกำไรอยู่ แถมยังได้รับการโปรดปรานจากพวกนั้นอีก

เหล่าหวังยื่นเงินไปให้เริ่นเสี่ยวซู่อย่างปวดใจ ไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ขณะกดเสียงตัวเองลงต่ำกระซิบว่า “เสี่ยวซู่ ต่อไปถ้าจับนกกระจอกได้อย่าเพิ่งฆ่า พวกชนชั้นสูงบางคนอยากได้มันแบบตัวเป็นๆ แถมพร้อมจะให้ราคาสูงกว่าด้วย!”

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะไป “พวกเขาจะเอานกกระจอกแบบเป็นๆ ไปทำไม อยากเอาไปฆ่าเอง?”

“ไม่ใช่” เหล่าหวังส่ายหน้า พลางว่า “เธอไม่รู้สินะ? มีคนอยากเอามันไปเป็นสัตว์เลี้ยง!”

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset