the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 79 ไม่มีเกล็ดหิมะใดบริสุทธิ์

อาจจะเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงฟ้าสว่างแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกจึงไม่เจออันตรายถึงชีวิตใดคืบคลานมา ระหว่างเดินทางนั้น พวกเขาเจอแมวป่าตัวหนึ่งจากฝั่งตรงข้าม ทว่ามันไม่ได้พุ่งจู่โจมและวิ่งหนีไป

ยิ่งพวกเริ่นเสี่ยวซู่เข้าใกล้จุดที่สมาคมตระกูลชิ่งอยู่เท่าไร ก็ยิ่งระมัดระวังตัวแจมากขึ้นเท่านั้น

“จากกลยุทธ์ที่กองพลน้อยใช้ปกติ ระหว่างการรื้อถอนและลาดตระเวนจะมีทหารสอดแนมตั้งหอสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ” สูเสี่ยนฉู่ว่า “ตอนใกล้ถึงพวกเขา ทางเราต้องระวังให้มาก”

“พวกเขามืออาชีพขนาดนั้นเลย? ขนาดตั้งหอสังเกตการณ์เลยเนี่ยนะ?” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “แต่ใช่ว่าจะมีแต่หอสังเกตการณ์ใช่ไหม พื้นที่รอบๆ เองก็คงถูกกำลังทหารจัดการจนสะอาดสะอ้าน นายก็เห็นว่าแมวป่าที่พวกเราเพิ่งเจอดูมีอาการหวาดกลัวขนาดไหนใช่ไหมล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้พฤติกรรมของสัตว์ดี แมวป่าหลังจากแสดงความดุร้ายไปแล้วจะกลับมาสงบนิ่งได้อย่างยิ่งยวด ยากมากที่จะเจอแมวป่าดูประหวั่นแบบนั้น

จริงด้วย พอพวกเขาเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นถี่รัวอยู่รางๆ

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ากองกำลังติดอาวุธของสมาคมนั้นแข็งแกร่งกว่าของกองกำลังส่วนตัวอย่างแท้จริง กองกำลังส่วนตัวได้แต่ส่งมาตาย ส่วนทหารของสมาคมกลับไล่พวกสัตว์ร้ายในเขาจิ้งซานกระเจิงไป

เขาพลันนึกคำของจางจิ่งหลินได้ ‘อาวุธปืนและระเบิดที่มนุษย์ครอบครองนั้นทรงพลังกว่าที่เธอคิดมาก’

ด้วยทักษะการใช้ปืนระดับสูงที่เขามี เริ่นเสี่ยวซู่พลันเข้าใจแจ่มแจ้งว่าคำพูดจางจิ่งหลินนั้นจริงแท้เพียงไร

ตอนนั้นเอง ก็มีหมูป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งวิ่งมาทางเริ่นเสี่ยวซู่และคณะ สูเสี่ยนฉู่กระซิบพูด “อย่ายิง ปล่อยมันไป!”

เจ้าหมูป่าตัวนี้รูปร่างใหญ่กว่าตัวที่เคยเจอเล็กน้อย ทว่าหัวกับหน้าท้องของมันกลับมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ซึ่งทำให้มันดุร้ายมากเช่นกัน

สูเสี่ยนฉู่และคนอื่นๆ รีบหลบทางให้เจ้าหมูป่า ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถฆ่ามัน…แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาได้ยินเสียงปืนของทหารจากสมาคมเอาได้ฉันใด พวกนั้นก็สามารถได้ยินเสียงปืนจากที่นี่ได้ฉันนั้น

และที่พวกเขากังวลที่สุดคือกลัวว่าพวกเขาจะโดนพวกสมาคมเจอตัวก่อนนี่แหละ

หลิวปู้หันไปมองหมูป่า แล้วว่า “พวกเราไม่ได้กินอะไรมาเกือบวันแล้วนะ ถ้าเอามันมาย่างได้คงจะเลิศไปเลย!”

เริ่นเสี่ยวซู่เบะปากมองบน คนเช่นนี้มีจริงในโลกได้เช่นไรกันหนอ คือมีตัวตนอยู่เฉยๆ เพื่อให้คนอื่นดูสูงส่งขึ้นกว่ากระนั้น? เขาหันไปกล่าวกับหลิวปู้ “ฉันละอิจฉานายจริงๆ ถึงคราวที่ต้องใช้สมอง กลับไม่ใช้ไปเสียฉิบ ดูอิสระเสรีดีแท้…”

หลิวปู้โดนคำพูดอัดหน้าจนสะอึกเงียบไป สูเสี่ยนฉู่อธิบาย “จะจุดไฟตอนนี้ คิดจะบอกพวกสมาคมเหรอไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่น่ะ”

เห็นหมูป่าผ่านไปแล้ว หวังเหลยก็อดสงสัยไม่ได้ “ไม่ใช่พวกเราต้องรีบติดต่อกับพวกสมาคมให้เร็วที่สุดเหรอ พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนี่ ทำไมต้องกลัวจะเจอพวกเขาด้วยล่ะ”

หวังเหลย หลิวปู้ และลั่วซินอวี่หวังว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเสียตอนนี้เลย!

หยางเสียวจิ่นตอบ “หลายองค์กรส่งกำลังทหารของตัวเองออกไปสำรวจสถานที่ลึกลับภายใต้การควบคุมของบริษัทหัวจ่ง แต่คนพวกนั้นล้วนเงียบหายไปหมด คิดเหรอว่าถ้าพวกสมาคมตระกูลชิ่งเจอพวกนายที่นี่แล้วพวกเขาจะดูแลป้อนอาหารอย่างดี จากนั้นก็ส่งพวกนายกลับป้อม 113 ไปเฉยๆ น่ะ เหตุผลนี้ก็คือเหตุผลเดียวกันกับที่ว่าทำไมกองกำลังส่วนตัวที่ถูกส่งออกมาโดยป้อม 113 ถึงปลอมตัวเป็นคณะดนตรี…แม้มันจะดูโจ่งแจ้งมากก็เถอะว่าไม่ใช่”

สำหรับสมาคมแล้ว ความลับล้ำค่ากว่าชีวิตมนุษย์

“พวกนายคิดจริงๆ งั้นสิว่าองค์กรแบบนั้นจะช่วยชีวิตพวกนาย?” สูเสี่ยนฉู่ถอนหายใจ

พอหลิวปู้ ลั่วซิวอวี่ และหวังเหลยที่คิดจะไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าก็ซีดเซียวไปทันที จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่เคยได้เผชิญโลกกว้างอะไรนัก ในมาตรฐานของสมาคม พวกเขาถือว่าเป็นพวกไร้ประสบการณ์ก็ว่าได้ เพราะอาศัยอย่างสงบสุขมาทั้งชีวิต จึงไม่รู้ว่าองค์กรหนึ่งประพฤติเช่นไร และไม่รู้ว่าโลกใบนี้นั้นโหดร้ายขนาดไหน

ทุกวันเพียงทำหน้าที่ในป้อมปราการของตนเองให้ดี ก็จะมีอาหารเครื่องดื่มประทัง ไม่มีอะไรอย่างอื่นเช่นการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าหรือความหิวโหยให้กังวลใจ

สมาคมกล่าวอ้างว่า โลกภายนอกปลอดภัยสงบสุข สัตว์ป่าล้วนถูกจัดการปราบปรามไปหมดรอบอาณาเขตป้อมปราการ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหน้ามืดตามัวกับความสงบสุขและความมั่งคั่งปลอมๆ ในป้อมปราการไป

“แล้วทำไมพวกเราถึงยังมุ่งหน้าไปทางนั้นอีกล่ะ” พอหลิวปู้รู้ว่าถ้าถูกพบเข้าจะถูกฆ่าปิดปาก ก็พลันดั่งสูญสิ้นเสาค้ำจิตใจไป ความคิดอยากขอความช่วยเหลือจากสมาคมตระกูลชิ่งนั้นแทบเป็นความหวังสายสุดท้ายของเขาแล้ว

หลิวปู้นั่งฟุบลงบนพื้น ร้องโอดโอย “พวกนายไปเถอะ ฉันพอแค่นี้แหละ”

เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ ก็มุ่งหน้าไปต่อทันทีโดยมินำพาอะไรหลิวปู้ สำหรับพวกเขาแล้ว หลิวปู้จะเป็นจะตายไม่ใช่เรื่องที่ตนเองสนใจ เอาตรงๆ เริ่นเสี่ยวซู่ยังอยากให้หลิวปู้อยู่นี่จริงๆ ด้วยซ้ำไป

เสียงลมพัดผ่านแมกไม้ดังซู่ๆ หลิวปู้ยิ่งขวัญผวาหนัก ก่อนที่คนอื่นจะเดินลับสายตาไป เขาก็ลุกขึ้นยืนอีกรอบแล้วตะโกน “รอด้วย!”

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เอ่ยถาม “ถ้าเจอเข้ากับกองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งเข้าจะทำไง”

สูเสี่ยนฉู่คิด ก่อนจะตอบ “เน้นหลบหนีเป็นอันดับแรก ภารกิจของพวกเขาก็คือการขุดค้นซากอารยธรรมยุคก่อนภัยพิบัติ ไม่ใช่ตามล่าพวกเรา”

“พวกนายดูถูกความตั้งใจอยากรักษาความลับของสมาคมไปแล้ว” หยางเสียวจิ่นส่ายหน้า “ถ้าพวกเขาเจอพวกเรา ต้องไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่ แถมที่หมวกพวกเขามีอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารไร้สายอยู่ เกิดว่าฆ่าพวกเราทิ้งในทันควันไม่ได้ ต้องเรียกกำลังเสริมมาแน่นอน ถึงตอนนั้น นายคงได้รู้ว่าขอไปเจอแมลงหน้าคนยังดีกว่าต้องรับมือพวกสมาคม”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป สมาคมตระกูลชิ่งน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ จึงถามออกไป “ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องกองกำลังของสมาคมต่างๆ ไม่น้อยเลยนะ”

หยางเสียวจิ่นมองเขาวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร “ถ้ามองเห็นเป้าหมายให้ลงมือสังหารได้ทันที อย่าแสดงความเมตตา เพราะพวกเขาก็ไม่คิดเมตตาเราเช่นกัน”

“แต่ทหารของสมาคมเองก็มีลูกมีเมียนะ” หวังเหลยว่าอย่างสองจิตสองใจ “แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า”

หยางเสียวจิ่นเอ่ยเสียงนิ่ง “ยามหิมะถล่ม ไม่มีเกล็ดหิมะใดบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะถูกบังคับหรืออาสามา สรรพบุคคลในสงครามล้วนเป็นโศกนาฏกรรมฉากหนึ่ง และขณะเดียวกันนั้นก็ส่งต่อโศกนาฏกรรมสู่ผู้อื่นด้วย”

“ไปกันเถอะ” สูเสี่ยนฉู่มองไปยัง ณ ผืนป่าเบื้องหน้า

ความลับแห่งเขาจิ้งซานเรียกร้องพวกเขาไป ถ้าสมาคมไม่สนใจไยดีที่นี่ พวกเขาก็คงไม่เหลือบแลเช่นกัน ทว่าถ้าความลับนี้มีค่าในสายตาของสมาคม ย่อมเป็นของสำคัญล้ำค่า

หันหลังกลับไปมีแต่ตาย เช่นนั้นทางเดียวให้รอดคือคืบสืบหน้าต่อ

สูเสี่ยนฉู่และคนอื่นๆ ตั้งใจฟังทิศทางเสียงปืน ขณะเดียวกันก็พยายามสุดชีวิตไม่ให้ไปพวกตนไปเผชิญหน้ากับกองกำลังของสมาคมเข้า เริ่นเสี่ยวซู่ประมาณการว่า อีกหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็จะได้พบเห็นความลับของเขาจิ้งซานแล้ว

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset