the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 81 ซากอารยธรรม

ในทำเนียบกำลังรบ[1]ของสมาคม ทหารหนึ่งหน่วยรบจะบรรจุด้วยสมาชิกทั้งสิ้นสามสิบนาย เมื่อพบอันตราย ก็จะใช้กำลังทั้งหมดพุ่งจู่โจม ด้วยเหตุนี้ยามสัตว์ป่าเจอพวกเขาถึงต้องหนีกันจ้าละหวั่น

แต่ถึงจะเป็นหน่วยที่ทรงพลังเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่รีรอจะร้องเรียกขอกำลังเสริมในทันทีที่พบเข้ากับ ‘ตัวทดลอง’ ซึ่งหมายความว่าแม้ด้วยกำลังของพวกเขาในตอนนี้ ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับมันไหว!

หลิวปู้ ลั่วซินอวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น หูฟังเสียงปืนสนั่นรอบกาย มีทหารนายหนึ่งสะบัดปืนไรเฟิลพาดหลัง จากนั้นก็เข้ามาใช้สายรัดพลาสติกมัดนิ้วโป้งของสองมือพวกเขาเข้าด้วยกัน ทหารนายนั้นมัดแน่นจนหลิวปู้และลั่วซินอวี่ปวดหนึบ

จากนั้นทหารนายนั้นก็ค้นตัวหลิวปู้เร็วๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชายหญิงคู่นี้ไม่ได้เป็นภัย

เขาไม่ถามอะไรทั้งสิ้น เพียงพาทั้งสองเข้ากลุ่มทหาร และกลับไปสู้รบยิงปืนต่อ

ทหารนายอื่นๆ ก็ไม่สนใจหลิวปู้ ราวกับเห็นเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ พวกเขาต่างมีภาระหน้าที่ของตน ทุกคนต่างเหมือนเฟืองที่อยู่บนเครื่องจักรที่ทำงานอย่างเที่ยงตรง ทุกการเคลื่อนไหวแม่นยำเฉียบขาด

มีคนพึมพำ “ไอ้ตุ๊กตาพลาสติกที่อยู่ข้างหลังเขาคืออะไรวะนั่น…”

มีคนกล่าวผ่านช่องสัญญาณสื่อสาร “ตัวทดลองหนีไปทางเก้านาฬิกา เตรียมพร้อมรับมือ ย้ำ ตัวทดลองหนีไปทางเก้านาฬิกา”

ตัวทดลองดูเหมือนไม่ได้อยากจะเผชิญหน้ากับทหารทั้งหน่วยอาวุธครบมือ จึงพยายามหลีกหนี

ขณะนี้หลิวปู้พลันรู้สึกว่าพลังรบระหว่างกองกำลังของสมาคมและทหารกองกำลังส่วนตัวช่างต่างราวฟ้ากับเหว มองแวบเดียว ถ้าเทียบกันแล้ว ทหารกองกำลังส่วนตัวไม่ต่างไปจากหมูในอวยเลย!

หลิวปู้กลัวว่าพวกสมาคมจะลงมือสังหารเขาในทันทีเสียอีก อย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นก็บอกว่าพวกเขานั้นโหดเหี้ยมราวปีศาจร้าย แต่ดูๆ ไปหาเป็นเช่นนั้นไม่ นอกจากมัดเขาเข้ากับลั่วซินอวี่แล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก

ด้วยเหตุนี่หลิวปู้จึงถอนหายใจออกมาได้ในที่สุด อย่างน้อยเขาก็คงไม่ตายแล้ว…มั้ง?

ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา หลิวปู้ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากทหารเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าจะมีผู้บาดเจ็บแล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของป่า ทั้งยังซ่อนร่างอยู่ในแนวพุ่มไม้อย่างดี ตะขาบพุ่งมาหาเขาเร็วรี่ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็เอามีดปักมันเข้ากับพื้นดินในทันควัน เริ่นเสี่ยวซู่เปลี่ยนมาใส่ชุดยูนิฟอร์มทหารกองกำลังส่วนตัวของซุนจวินเจิ้ง ที่เปลี่ยนชุดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะตนยากจนข้นแค้นอะไร แต่เพราะลายพรางทหารบนชุดเป็นประโยชน์แก่การซ่อนตัวในป่าต่างหาก

ไม่นานนัก เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากเบื้องหน้า เขาไม่ได้ไปไหนไกลนัก จึงได้ยินเสียงทหารสมาคมขอกำลังเสริมอยู่เนืองๆ

สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะลอบเร้นผ่านแนวรบของสมาคม ถ้ามีการขอกำลังเสริมจากทางด้านนี้ แสดงว่าแนวรบส่วนใหญ่ของทหารย่อมมาอยู่จุดนี้ด้วย สุดท้ายแนวรบก็จะเกิดช่องโหว่ไป!

ตอนที่เขากับสูเสี่ยนฉู่แยกทางกัน ดูแล้วน่าจะไม่มีทางได้กลับมาพบกันอีกแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันเคลื่อนไหวคนเดียว ด้วยเชื่อว่าทักษะเฉพาะตัวของตนมีศักยภาพมากกว่าการเคลื่อนไหวแบบเป็นกลุ่ม

ทว่าด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอจะเคลื่อนไหวคนเดียวหรอก ที่สำคัญที่สุดก็คือการที่พวกเขาไม่เชื่อใจกันนี่แหละ

ยามหยางเสียวจิ่นยังอยู่ ย่อมมีความพะว้าพะวงประการหนึ่ง สามคนตั้งคอยตรวจตรากันเอง เกิดเป็นพันธมิตรชั่วคราวที่มั่นคง แต่ตอนนี้หยางเสียวจิ่นหายไปแบบไม่เห็นฝุ่น กลุ่มก็แยกสาแหรกขาดไป

เริ่นเสี่ยวซู่กลั้นลมหายใจ รอทหารที่ผ่านมาชุดนี้เลยเขาไปก่อน ดูเหมือนว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะมีข่าวสารครบถ้วนกว่าของสูเสี่ยนฉู่มาก ถึงกับรู้ว่าสัตว์ประหลาดลากโซ่คือตัวอะไร

ตัวทดลอง? ที่ภูเขาลึกเช่นนี้ มีคนทำการทดลองอะไรบางอย่างอยู่อย่างนั้นหรือ

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดข้อสงสัยอยู่หลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้สนใจจะคิดอะไรตอนนี้ หลังจากกองกำลังเสริมผ่านไปแล้ว เขามุ่งไปที่แดนหลังเขาจิ้งซานด้วยความเร็วยิ่ง ระหว่างทาง เริ่นเสี่ยวซู่พบทหารอีกสองหน่วยกำลังเดินทางไปเป็นกำลังเสริม โชคดีที่เขาสามารถหลบพวกนั้นได้หมด

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้างแล้ว ฆ่าสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ต้องใช้คนมากขนาดนี้เลย? หรือว่า…เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นแข็งแกร่งเกินไปกัน…

ตอนนี้เขายังไม่สนใจอะไรเรื่องนั้นมากนัก เพราะลำดับแรกที่ต้องทำคือการผ่านแนวรบชั้นในไปให้ได้ ไม่ว่าจะหนีออกจากเขาจิ้งซาน หรือตามหาความลับของมัน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งห้อผ่านป่า รากไม้ยุ่งเหยิงหลุมบ่อตามทางไม่เป็นอุปสรรครั้งฝีเท้า ของพวกนั้นไม่อาจเป็นอุปสรรคต่อการท่องไปในป่าของเขา

สุดท้าย เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรกลหนักอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าไซต์งานจะใหญ่ไม่น้อยเลย

ข้างหน้าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเนินเขาหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ปีนขึ้นไปอย่างเงียบเชียบ แล้วมองไปทางอีกด้าน ทันใดนั้นก็ต้องตะลึงไป ไม่คิดเลยว่าในแดนหลังเขาจิ้งซานจะมีสถานที่ที่คึกคักเช่นนี้ได้

เขาเห็นรถขุดหลายสิบเครื่องกำลังขุดดินอยู่ห่างไปราวห้าร้อยเมตรหลังเนินเขาที่เขาอยู่นี่ จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาละสายตาไม่ได้ ไม่ใช่เจ้าพวกรถขุด หากแต่เป็นเมืองมหึมาที่อยู่หลังเนินนี้ต่างหาก

ทว่าเมืองนี้กลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง รถขุดหลายเครื่องกำลังขุดหลุมที่เหมือนว่าเพิ่งโดนสมาคมตระกูลชิ่งใช้ดินระเบิดโพรงไป ดูแล้วพวกเขาคงกำลังค้นหาอะไรบางอยู่

ในความเป็นจริงเมืองนี้ถือว่าไม่สมบูรณ์เลย เรียกได้ว่าห่างไกลคำนั้นอยู่มากโข ไกลสุดตาที่เริ่นเสี่ยวซู่เห็น เป็นเส้นขอบฟ้าที่มีซากเมืองฝังอยู่ใต้เขาและผืนดิน

ซากเมืองแห่งยุคก่อนภัยพิบัติราวกับวงกตขนาดใหญ่ ทว่าเป็นเขาวงกตที่พังทลายสิ้นแล้ว

ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะเห็นเมืองแค่ส่วนเดียว ก็พอคาดเดาได้ว่าในอดีตนั้นเมืองนี้ยิ่งใหญ่เพียงไร!

เขาเห็นป้ายเหล็กที่ดูไม่ย่ำแย่แขวนอยู่บนตึก เป็นอักษรสามตัว ‘เสี่ยวหลงข่าน[2]’…

เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจเล็กน้อย ‘เสี่ยวหลงข่าน’ คือชื่ออะไรกัน หมายถึงปลาหลีกระโดดข้ามกำแพงกลายเป็นมังกร[3]อย่างนั้นหรือ เป็นสถานที่ลึกลับจริง…

แต่ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะคิดอะไรออก ป้ายนั้นก็โดนรถขุดกระทบใส่จนแหลกเป็นชิ้นๆ ผ่านไปตั้งนานนมขนาดนี้ ทุกอย่างเลยอยู่ในสภาพพร้อมจะพังในพริบตา

ด้วยเหตุบางประการ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกอยากเข้าไปสืบเสาะภายในเมืองจริงๆ การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกได้ฝังซากอารยธรรมจากยุคก่อนภัยพิบัติส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว และการเคลื่อนที่ของเปลือกนั้นก็ทำให้เกิดเหล่าภูเขาไฟในเขาจิ้งซานด้วย

แต่เมืองใหญ่นี้กลับไม่ถูกทำลายลงไปด้วยเหตุอันใดไม่อาจทราบได้ แม้เหล่าสิ่งก่อสร้างจะพังทลายหมดแล้ว แต่พวกโครงสร้างหลักๆ ยังอยู่ดี!

เริ่นเสี่ยวซู่อยู่บนยอดเนินเขาหรี่ตามองไปไกลๆ ก็เห็นว่าพื้นที่หลายกิโลเมตรได้ถูกขุดค้นไปเรียบร้อย ทั้งไซต์งานขุดค้นบางแห่งก็หยุดลงกลางคันด้วย

ดูเหมือนว่า…พวกเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าพบว่าจุดที่ขุดค้นอยู่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาตามหาอยู่ ก็รีบหยุดงานแล้วขยับไปที่อื่นแทน

เริ่นเสี่ยวซู่พอสัมผัสได้รางๆ ไม่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งกำลังหาอะไรอยู่ มันต้องสำคัญต่อพวกเขามากแน่ๆ ที่สำคัญคือพวกเขารู้ว่าตนเองกำลังหาอะไรนี่แหละ

จากการมองจากไกลๆ เริ่นเสี่ยวซู่พบสถานแห่งหนึ่งที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากพวกทหาร ที่นั่นมีตู้คอนเทนเนอร์วางเรียงเป็นชั้นๆ ที่ข้างๆ กันมีทหารกำลังฉีดสารบางอย่างเข้าร่างสัตว์ที่นอนหมดสติอยู่ จากนั้นก็ส่งพวกมันเข้าตู้คอนเทนเนอร์ไป

สัตว์ป่าพวกนั้นเป็นพวกสมาคมตระกูลชิ่งจับมาหรืออาจจะเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการแล้วแต่ไม่อาจหลุดพ้นชะตาต้องถูกจับไปศึกษากัน?

“ฉันควรหนีเลยดีไหมเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าโอกาสที่ตนจะพบ ‘เป้าหมาย’ ที่สมาคมตระกูลชิ่งหาอยู่นั้นแทบไม่มีเลย

อย่างไรเขาก็ได้พบเห็นความยิ่งใหญ่ของสมาคมตระกูลชิ่งมาแล้ว รู้ดีว่าไม่มีทางที่ตนจะแอบฉก ‘ความลับ’ ของพวกเขาไปได้

ทันใดนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวกำลังยืนอยู่เหนือไซต์งาน สายตาทอดมองจับจ้องไปในนคร

ในแดนรกร้าง ชุดสูทสีขาวนี้สะอาดไร้มลทินนี้แทบทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริดไป

ภาพแห่งความป่าเถื่อนและความซิวิไลซ์ปะทะขัดแย้งกันนี้ ราวตราตรึงในห้วงความทรงจำของผู้พบเห็น

………..

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset