the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 83 เด็กไม่ธรรมดา

เริ่นเสี่ยวซู่มองเศษซองบุหรี่ด้วยความปวดใจ ร้านของหวังฟู่กุ้ยขายบุหรี่มวนละยี่สิบหยวน แล้วทั้งร้านนี้จะตีเป็นเงินได้ในราคาเท่าไรกันเนี่ย

แถมเริ่นเสี่ยวซู่เห็นคร่าวๆ ว่าถนนเส้นนี้มีร้านเหล้ายาสูบอีกอย่างน้อยห้าแห่ง

เริ่นเสี่ยวซู่ลองคำนวณมูลค่าของ แล้วรู้สึกว่ามนุษย์ในยุคก่อนภัยพิบัตินี่รวยใช่เล่นเลย

เพราะกำลังรีบเร่ง เริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่ทันนึกว่าก่อนยุคภัยพิบัตินั้น ยาสูบไม่ได้เป็นสินค้าหายากอะไร เขาหันกลับไปมองขวดเหล้าที่อยู่บนชั้นวางตรงกำแพง เพราะว่าไม่ได้ใส่ในบรรจุภัณฑ์พลาสติก เหล้าในนั้นจึงระเหยไปหมดแล้ว ทุกขวดหลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า

ดูเหมือนว่าที่พื้นมีเศษขวดอยู่ไม่น้อย อาจจะตกมาตอนที่เกิดแผ่นดินไหว ส่วนที่เหลือก็ยังอยู่ที่บนชั้นวาง แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ลองไปเปิดสักขวดหนึ่ง ก็พบว่าในนั้นไม่เหลืออะไรแล้วเช่นกัน

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่านับตั้งแต่เกิดภัยพิบัตินั้นมาผ่านมากี่ปีแล้ว เหล้าถึงสามารถระเหยไปจนไม่เหลืออะไรได้เช่นนี้

เริ่นเสี่ยวซู่บ่นออด “โรงเหล้าสมัยก่อนไม่คิดวิธีเก็บเหล้าให้มันดีๆ กว่านี้หน่อยฟะ”

เขายังคงปฏิเสธความเป็นจริง เข้าไปหาขวดที่ดูดีหน่อยหนึ่ง ก่อนลองเขย่ามัน ทว่าในนั้นก็ไม่มีเหล้าเลยแม้แต่นิด

ซึ่งในความเป็นจริง เหล้าแบบนี้หากต้องการเก็บไว้อย่างดี ก็ต้องใช้วิทยาการพิเศษจำเพาะเพื่อการนั้น อย่างเช่นใช้ขี้ผึ้งปิดปากขวดเป็นต้น ไม่อย่างนั้นผ่านไปเสียห้าสิบปีแล้วเหลือเหล้าเพียงครึ่งขวดก็เป็นเรื่องธรรมดามาก

ยุคสมัยนี้ ของที่แพงที่สุดก็คือพวก บุหรี่ เหล้า และยา โดยเฉพาะเหล้าที่ถูกสั่งห้ามดื่มยิ่งแพง ทว่ามันก็ยิ่งล่อตาล่อใจคนในเมืองเข้าไปใหญ่

ตอนแรกเห็นร้านพวกนี้ เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าตนเองพบขุมสมบัติเข้าให้แล้ว แต่ตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองฝันหวานไปเสียฉิบ

ภัยพิบัติเป็นดั่งกระบี่ยักษ์ที่ตัดแบ่งแยกอารยธรรมเก่าและใหม่ออกจากกัน เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าเหล้ากับยาสูบยังเป็นแบบนี้ พวกยารักษาเองก็คงไม่รอดแน่

ก่อนหน้านี้คิดอยู่ว่าถ้าเห็นร้านยาจะเข้าไปดูสักหน่อย แต่คงไม่ต้องเสียแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิดหนักระหว่างก้าวเดินออกไปที่ถนน มีของอะไรที่ไม่มีวันหมดอายุไหมนะ หรืออย่างน้อยก็ขอของแบบที่อยู่ได้เป็นร้อยปีก็ยังดี

เขาพลันเห็นร้านค้าตรงหน้ามีชื่อว่า ‘ศูนย์วางแผนครอบครัว’ ทว่าเขาไม่ได้เข้าไปในนั้น เพราะในใจมองว่าคงเป็นร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพอะไรเทือกนั้น แต่ผลิตภัณฑ์สุขภาพก็คงไม่น่าเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นหรอกมั้ง

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าคนของสมาคมตระกูลชิ่งยังไม่ได้แบ่งสมาธิมาสนใจเขาก็รู้สึกโล่งอก เริ่นเสี่ยวซู่ยังคนได้ยินเสียงปืนดังมาจากแนวรบชั้นนอกอยู่ ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวทดลองแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ

ชั่วลัดนิ้วนั้นเอง เขาพลันคิดอะไรออก…อะไรผ่านไปร้อยปีไม่เน่า ก็พวกโลหะไง!

เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองรอบๆ เร็วรี่ เขาเคยได้ยินจากหวังฟู่กุ้ยมาก่อนว่า ในป้อมปราการนั้นมีร้านเครื่องประดับอยู่ หมายความว่าเมืองใหญ่แบบนี้ก็ต้องมีร้านเครื่องประดับเช่นกัน!

เริ่นเสี่ยวซู่ที่หดหู่ตัวลีบก่อนหน้านี้กลับมามีจิตวิญญาณลุกโชนโดยพลัน!

ในยุคสมัยนี้ทองยังคงเป็นสกุลเงินแข็ง[1] เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามจางจิ่งหลินว่าทำไมทองถึงยังมีค่าอีก ทั้งที่ธนาคารของสมาคมตระกูลชิ่งมีสกุลเงินของตัวเอง

จางจิ่งหลินยิ้ม แล้วตอบ “เพราะว่าไม่ได้มีแต่สมาคมตระกูลชิ่งที่พิมพ์สกุลเงินของตัวเองน่ะสิ ในเขตของสมาคมตระกูลชิ่ง เงินนี้อาจจะใช้ได้ แต่พอไปป้อมปราการที่พวกเขาไม่ได้ควบคุมก็ถือว่าไร้ค่าแล้ว เพราะงี้เลยต้องการของอะไรบางอย่างที่วัดค่าได้ง่ายมาแทนเงินกระดาษ”

ว่าตามตรง องค์กรต่างๆ ใช้สกุลเงินของตนเป็นวิธีควบคุมป้อมปราการจำนวนมากอีกทางหนึ่ง พวกเขาทำให้ผู้คนในป้อมปราการเคยชินกับการใช้เงินกระดาษ ทว่าสุดท้ายแล้วองค์กรก็เป็นผู้กำหนดอยู่ดีว่าเงินนั้นมีค่าเท่าใด

เป็นเส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นหนึ่งในรากฐานขององค์กรหนึ่งด้วย

ทว่าจางจิ่งหลินอธิบายต่อ “เพราะปัญหาด้านการไหลเวียนของสกุลเงินนี้ หลากหลายสมาคมจึงรวมตัวกันตั้งเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลการเงิน ทุกองค์กรจะมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดในการพิมพ์เงินของตนเอง เพื่อโลกอันเป็นระเบียบเรียบร้อย เรื่องนี้พวกเขายังถือว่ามีข้อตกลงกันดีอยู่ แต่ก็นะ ใครจะไปรู้ว่าในอนาคตจะยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า”

เริ่นเสี่ยวซู่ที่นึกคำพูดของจางจิ่งหลินได้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าจางจิ่งหลินไม่ใช่คนธรรมดาเลย ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์ผู้นี้มาจากแห่งหนใด เขาอาศัยอยู่ในป้อมปราการ 113 มานานหลายปีมากแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากกลับไปที่เมือง จะเฝ้าจับตาดูจางจิ่งหลินไว้

เขาเคลื่อนตัวถอยห่างจากคนของสมาคมตระกูลชิ่งไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มองหาพวกร้านเครื่องประดับไปด้วย ถ้าเจอสักร้าน เขาคงรวยเละเลยไหมนะ

ที่สวนหลังโรงเรียน จางจิ่งหลินเพิ่งกลับมาจากการสอน เขาพลันเห็นเหยียนลิ่วหยวนเดินออกมาอาบแดดข้างนอก เขายิ้วพลางกล่าว “หายดีแล้วเหรอ”

“ครับ” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม ก่อนจะยิ้มว่า “อาจารย์ พี่เสี่ยวอวี้ ขอบคุณที่คอยดูแลผมนะครับ”

อารมณ์ของเหยียนลิ่วหยวนตอนนี้สดใสมาก ซึ่งไม่ใช่เป็นผลจากการที่เขาฟื้นจากอาการป่วยอะไร แต่เป็นเพราะที่ร่างเขาไม่เน่า หมายความว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พึ่งพา ‘โชค’ ของเขามากนัก หรืออีกในแง่หนึ่ง ก็คือว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่พบอันตรายร้ายแรงใดนั่นเอง

ตอนนั้นเอง เสี่ยวอวี้ก็เดินมาจากนอกโรงเรียนพร้อมตะกร้าในมือ พอเธอเห็นเหยียนลิ่วหยวนก็ร้องอย่างประหลาดใจ “ลิ่วหยวน หายดีแล้วเหรอ เข้าห้องไปเร็ว เดี๋ยวเป็นหวัดหรอก”

เหยียนลิ่วหยวนยามยิ้มนี้ดูน่ารักน่าชังมาก “พี่เสี่ยวอวี้ ผมสบายดีแล้วครับ พี่วางใจได้เลย ว่าแต่เย็นนี้เรากินอะไรกันเหรอครับ”

“งั้นฉันไปทำผักผัดไข่ให้เธอกับอาจารย์จางก่อน” เสี่ยวอวี้ยิ้ม พลางว่า “ก่อนหน้านี้เข้าเมืองไปหาเนื้อมันๆ มา จะใช้มันเป็นน้ำมันผัดแล้วกันนะ อาหารจะได้มีกลิ่นเนื้อด้วย”

“ครับผม” เหยียนลิ่วหยวนตอบ แต่เขาก็เดินออกนอกสวนไป “ผมออกไปข้างนอกหน่อยนะ จะกลับมาก่อนฟ้ามืด!”

เสี่ยวอวี้กำลังจะห้ามเขา ทว่าพอเธอหันไปหาเหยียนลิ่วหยวน เขาก็หายไปไม่ทิ้งฝุ่นแล้ว

เธอรีๆ รอๆ อยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่อย่างนั้น จางจิ่งหลินคิด เมื่อกี้กำลังจะไปทำอาหารอยู่เลย จะต้องรออีกนานไหมเนี่ย แต่เขาหน้าบางเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป

สำหรับจางจิ่งหลิน สองพี่น้องนี่ไม่ใช่จะเป็นฝ่ายถูกสะกดข่มเลยยามออกไปข้างนอก เป็นผู้อื่นเสียอีกที่ต้องระวังตัวไว้

เมื่อกี้นี้จางจิ่นหลินเห็นเต็มสองตาว่าเหยียนลิ่วหยวนมีมีดทำครัวซ่อนไว้ตรงหน้าอก เด็กที่ไหนกันจะพกมีดออกไปข้างนอก ไม่มีเด็กดีๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอก

และเหยียนลิ่วหยวนก็กลับมาก่อนฟ้ามืดจริง จางจิ่งหลินกับเสี่ยวอวี้ไม่รู้หรอกว่าเขาไปไหนมา พอถามไป เขาก็ได้ยิ้มรับ และทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

ที่สวนหลังโรงเรียนมีห้องอยู่สามห้อง แต่หนึ่งในนั้นเป็นห้องครัว ที่เหลืออีกสองเป็นห้องของจางจิ่งหลิน กับของเหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้

ตกดึก เสี่ยวอวี้จะจัดที่นอนให้เหยียนลิ่วหยวน ส่วนตัวเธอเองนั้นใช้เบาะนอนรองบนพื้นเป็นที่นอนของตน นี่ก็เข้าหน้าหนาวแล้ว พื้นเย็นจับใจ แต่เสี่ยวอวี้ไม่พูดไม่บ่นอะไร

หลังจากดับตะเกียง เสี่ยวอวี้พลันถามเหยียนลิ่วหยวน “คิดว่าพี่เธอยังปลอดภัยดีไหม”

เหยียนลิ่วหยวนยิ้มพูด “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ปลอดภัยดีแน่นอน”

เสี่ยวอวี้ชะงักไป ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหยียนลิ่วหยวนถึงมั่นใจได้ขนาดนั้น

………………….

[1] สกุลเงินแข็ง (Hard Currency) หมายถึงกลุ่มสกุลเงินที่มีความเสถียรสูง อาทิดอลลาร์สหรัฐ ยูโร, เยน, ปอนด์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset