the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 87 สิ่งมีชีวิตทดลอง

ขณะเดียวกันหลัวหลานเองกำลังหอบแฮกๆ หลังรถออฟโรด เขากำลังใช้โทรศัพท์ดาวเทียมโทรหาคนอยู่ “เฮ้ย จางจิ่งหลินปรากฏตัวแล้ว!”

คู่สายเงียบไปพักใหญ่ “ข้อมูลได้รับการยืนยันหรือยัง”

“ยัง แต่ถ้าข้อมูลถูกต้อง ฉันควรฆ่าเขาเลยไหม” หลัวหลานเอ่ยถามขอความคิดเห็นจากอีกฝ่าย “ทำไมเจ้าเฒ่าทารกนั่นถึงมาโผล่ที่นี่ได้”

จากน้ำเสียง เหมือนว่าหลัวหลานจะเห็นจางจิ่งหลินเป็นเผือกร้อนประการหนึ่ง

ทุกคนต่างเห็นว่าหลัวหลานนั้นมักยิ้มเสมอ ทั้งยังเข้าหาง่าย แต่ผู้มากปัญญาย่อมรู้ว่าหลัวหลานเองก็บ้าคลั่งไม่ต่างกับน้องชายของเขา เป็นฆาตกรหน้านิ่งใจอำมหิต

ถ้าเหยียนลิ่วหยวนได้ยินคำถามของหลัวหลานคงกังวลแทนจางจิ่งหลินเป็นอันมาก แต่ว่าปลายทางสายกลับถามกลับ “ฆ่าเขา?”

“ใช่ไง” เจ้าอ้วนหลัวว่า “เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตเลยนะ!”

“ตอนนี้มีคนรู้เรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่ไม่น้อยแล้วใช่ไหม” อีกด้านถาม “อย่าได้เกิดความคิดเช่นนั้นเชียว ถ้าเกิดนายฆ่าเขาตอนนี้ เจ้าพวกเวรที่ป้อม 178 อาจจะทิ้งฐานที่มั่นตนเองแล้วแห่มาฆ่านายก็ได้”

หลัวหลานได้ยินคำนั้นก็ตัวสั่น “ฉันลงมือแบบปิดบังอำพรางได้”

“โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมไม่อาจผ่าน[1]” ปลายสายว่า “ส่งเขากลับป้อม 178 ไป ให้เขาเฝ้านอกด่านแทนเราไม่ดีกว่าเหรอไง ต่อให้เขาตาย…สมาคมตระกูลชิ่งไม่อาจเป็นผู้ลงมือ นายยิ่งไม่อาจเป็นผู้ลงมือ”

“แต่ถ้าวันหนึ่งเขา…”

“ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าเขายังทัน ตอนนี้ปล่อยให้คนอื่นๆ ปวดหัวไปเถอะ” น้ำเสียงอีกฝ่ายไม่สั่นคลอน จากนั้นเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ “อ้อใช่ ตอนนี้ฉันอยู่เขาจิ้งซาน ที่นั่นมีผู้อพยพชื่อเริ่นเสี่ยวซู่ใช่ไหม”

หลัวหลานนิ่งไป “คนขายยา?!”

คราวนี้เป็นอีกฝ่ายที่ประหลาดใจไป “ขายยาอะไร ใครขายยา”

“เปล่าๆ” หลัวหลานกระอักกระอ่วน “นายเจออะไรในเขาจิ้งซานหรือเปล่า ฉันเพิ่งรู้มาเมื่อสองวันก่อนว่าเหล่าหลิวของป้อม 113 เราลอบส่งทหารกองกำลังส่วนตัวไปที่เขาจิ้งซานด้วย แถมยังเดินทางภายใต้เปลือกนอกว่าเป็นคณะดนตรีซะด้วย เด็กชะมัด ฉันชอบยัยนักร้องคนนั้นอยู่บ้าง แต่ต้องไปตายที่เขาจิ้งซานเสียฉิบ น่าเสียดายแฮะ”

“อ้อ นักร้องสาวคนที่นายพูดถึง…ยังไม่ตายหรอก” อีกฝ่ายพูดแกมหัวเราะ “เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนขายยา ลั่วซินอวี่เป็นนักร้อง แล้วหยางเสียวจิ่นคือใครล่ะ”

“หยางเสียวจิ่น? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” หลัวหลานพึมพำ “สรุปเจออะไรในเขาหรือเปล่า”

“ฉันอยู่ใกล้ห้องทดลองของยุคก่อนภัยพิบัติแล้ว” คน ณ ปลายสายว่า “แต่พี่ชาย นายเป็นคนรั้งอยู่ดูแลป้อม 113 เรื่องนี้ดูจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่นายต้องถามฉันนะ”

“เอ่อ…” หลัวหลานนิ่งไปพักหนึ่ง ครอบครัวทั่วไป พี่ใหญ่คงมีปากเสียงมากกว่า แต่เถ้าแก่หลัวไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงเหนืออะไรน้องชายเขา

“คำถามสุดท้าย” อีกฝ่ายว่า “ลั่วซินอวี่เป็นนักร้องในป้อมปราการมานานขนาดไหนแล้ว”

“สองปีได้มั้ง?” หลัวหลานตอบ

“เริ่นเสี่ยวซู่มีเพื่อนสนิทหรือเครือญาติที่ไหนหรือเปล่า” ปลายสายถาม

“รู้สึกว่ามีน้องชายอยู่คน” หลัวหลานตอบ จากนั้นก็หันไปถามหวังฉงหยางที่อยู่ด้านข้าง “เริ่นเสี่ยวซู่มีเพื่อนหรือญาติที่ไหนหรือเปล่า”

หวังฉงหยางนิ่งไป “จางจิ่งหลินเป็นเพื่อนเขา…”

หลัวหลานผงะ “บังเอิญเสียจริง”

“ปล่อยน้องเขาไป ยังไงก็เป็นแค่ผู้อพยพ” ความมุ่งร้ายในน้ำเสียงอีกฝ่ายลดทอนไป “ตอนที่ส่งจางจิ่งหลินไปนอกด่าน ก็ส่งเหล่าหลิวออกไปจากป้อม 113 ด้วย ที่นี่ไม่มีที่ให้เขาอยู่แล้ว”

หลัวหลานบ่นออกมา “ทำไมไม่ฆ่าเขาไปให้จบๆ ส่งเขาออกไปมันยุ่งยากจะตายชัก”

“ทำตามที่ฉันพูดพอ” มีเสียงกึก มีฝ่ายวางสายไปแล้ว

หวังฉงหยางที่นั่งอยู่ข้างหลัวหลานปิดปากเงียบ ไม่คิดเลยว่าสองพี่น้องจะตัดสินชะตาผู้ปกครองแห่งป้อมปราการด้วยการโทรสายหนึ่ง นี่สินะอำนาจของสมาคม

ตอนนี้เขาจิ้งซานมืดแล้ว สมาคมตระกูลชิ่งตั้งไฟสปอตไลต์ขนาดมหึมาไว้ส่องทั่วไซต์งานขุดค้น หนึ่งเสาส่องไฟได้สี่ทิศทาง ทำเมืองในหุบเขาสว่างโร่

สมาคมเชี่ยวชาญในการดำเนินปฏิบัติการทางทหารมาก มองทุกภารกิจดั่งเช่นสนามรบจริง เพียงว่าบางสนามรบใหญ่โตกว่าสนามอื่นเท่านั้นเอง

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของสนามรบคือข้อมูลข่าวกรองและการลาดตระเวน

หลังจากชายหนุ่มในชุดสูทสีขาววางสายไป เขาก็หันไปมองหลิวปู้และลั่วซินอวี่ที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม การสู้รบระหว่างกองกำลังกับตัวทดลองจบลงมาหลายชั่วโมงแล้ว จากนั้นหลิวปู้กับลั่วซินอวี่ก็ถูกพาตัวเข้ามาในเมืองร้าง

“ลืมแนะนำตัวเองไปสนิทเลย” ชายหนุ่มในสูทขาวว่าพร้อมรอยยิ้ม “ผมชื่อชิ่งเจิ่นแห่งตระกูลชิ่ง หรือรู้จักกันว่าเป็นน้องชายของหลัวหลานน่ะ ยินดีที่ได้พบแขกทั้งสองท่านนะ คุณหลิวปู้ คุณลั่วซินอวี่”

มือของลั่วซินอวี่และหลิวปู้ยังถูกมัดไพล่หลังด้วยสายรัดพลาสติก พวกเขาไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองเป็นแขกอะไรเลย หลิวปู้พลันพูดว่า “เรื่องที่ผมพูดไปเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ได้ปิดอะไรแม้แต่นิดเดียว สูเสี่ยนฉู่เป็นผู้มีพลังพิเศษ หยางเสียวจิ่นก็เหมือนจะเป็นเช่นกัน แต่คนที่คุณต้องระวังที่สุดคือเริ่นเสี่ยวซู่ ผมแนะนำว่าถ้าเจอเขาก็ให้ฆ่าทิ้งได้เลย! ที่พวกเขาคิดมาเขาจิ้งซานต้องไม่ใช่เพราะอยากมาเฉยๆ แน่ ผมมั่นใจว่าพวกเขาคิดยื่นมือเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์จากสมาคมตระกูลชิ่ง ผมรู้จักกับเถ้าแก่หลัว คุณอย่าฆ่าผมเลยนะ!”

ชิ่งเจิ่นคิดพักหนึ่งก่อนถาม “พวกคุณสองคนพอรู้เรื่องจางจิ่งหลินที่เป็นอาจารย์ในเมืองไหม”

หลิวปู้หน้าซีดเซียว “ผมได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่เล่าถึงเขาอยู่สองสามครั้ง แต่คุณถามเรื่องนี้ทำไมครับ จางจิ่งหลินมีปัญหาอะไรเหรอ เริ่นเสี่ยวซู่ดูสนิทกับจางจิ่งหลินมาก ดังนั้นเขาก็คงมีปัญหาจริงๆ แหละ!”

หลิวปู้ร้อนอกร้อนใจ เขาตอบคำถามเกือบทุกอย่างแล้ว ปกติสมาชิกของสมาคมจะดูสุภาพมากมารยาท ยามพบในงานเลี้ยงล้วนมีท่าทางสง่างดงาม

แต่ตอนนี้พวกเขาถูกรายล้อมด้วยทหารจำนวนมาก ทั้งต่างยืนนิ่งเป็นหุ่น สายตากวาดรอบสังเกตรอบด้าน

สุภาพบุรุษเผยคมเขี้ยวความป่าเถื่อน ด้านดุร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกอันสง่างามนั้นปรากฏกายออกมาแล้ว!

หลิวปู้เคยได้ยินชื่อชิ่งเจิ่นมาจากเถ้าแก่หลัว ชาวป้อมปราการไม่น้อยต่างซุบซิบกันเรื่องความแปลกประหลาดของสองพี่น้อง ทว่าชื่อเสียงของชิ่งเจิ่นไม่ดีนักเพราะเขาเป็นผู้บงการการลอบสังหารของสมาคมตระกูลชิ่งมาหลายปี

เคยมีคำร่ำลือจากผู้คนว่า ชิ่งเจิ่นเป็นมารร้ายสังหารคนที่ต้องถลกเนื้อหนังมังสาเหยื่อ

…………………..

[1] ไม่มีกำแพงที่ลมไม่อาจผ่าน (不透风的墙) อุปมาเป็น กำแพงมีหู ประตูมีช่อง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset