the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 57 ผู้มีพลังพิเศษ!

พอเห็นว่าบรรยากาศในกลุ่มเริ่มไม่ชอบมาพากล สูเสี่ยนฉู่ก็เอ่ยเสียงเย็น “ทำตัวให้ดีหน่อย สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาอาหารกับออกไปจากที่นี่ หรืออยากเป็นศพอยู่ที่นี่กันหมดหา”

หลิวปู้หัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “ใช่ๆ พวกเราต้องร่วมมือร่วมแรงกันนะ”

เมื่อครู่หลิวปู้เกิดความคิดชั่วร้าย แต่ทว่าข้างกายตนกลับไม่มีเพื่อนอยู่เลย ถ้าเกิดเรื่องบัดสีขึ้นที่นี่ และเกิดว่าจับพลัดจับผลูรอดออกไป เจ้าพวกทหารย่อมปิดปากคนที่ไม่ได้อยู่ในกองกำลังส่วนตัวแน่

“แล้วพวกเราจะไปหาอาหารมาจากไหนมิทราบ” มีคนบ่นออด “พวกนายยังคิดอยากจะเข้าไปในป่าอีกเหรอ ฉันไม่ไปหรอกนะ”

สูเสี่ยนฉู่มองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ “ในเมื่อนายมีวิชาเอาตัวรอดในแดนรกร้างสูงสุดแล้ว นายจะเป็นคนช่วยเราหาอาหาร”

ทันใดนั้น ในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ เสียงจากพระราชวังก็ดังมา [ภารกิจ ช่วยกลุ่มหาอาหาร]

หาอาหาร?

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนจะชี้ไปที่ทหารนายหนึ่งข้างกายสูเสี่ยนฉู่ “ก่อนจะเข้าหุบเขามา ฉันเห็นเขาหยิบอาหารมาจากท้ายกระบะ ที่กระเป๋าเขาน่าจะมีอาหารอยู่นะ”

ทหารนายนั้นนิ่งไป เขาบอกให้นายไปหาอาหารจากแดนรกร้างต่างหาก จะมาชี้มือชี้ไม้บอกว่าฉันมีอาหารทำเพื่อ!

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน]

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกขบขันขึ้นมา เพราะพระราชวังพูดเพียงว่าให้ช่วยกลุ่มหาอาหาร ไม่ได้บอกให้เขาไปหาอาหารให้กลุ่มสักหน่อย ถึงจะเป็นอาหารของคนอื่น แต่อาหารก็คืออาหารอยู่ดีนั่นแหละ

เขาเริ่มชอบวิธีตัดสินว่าภารกิจจะผ่านไม่ผ่านของพระราชวังแล้วสิ

สูเสี่ยนฉู่จ้องไปที่ทหารข้างกาย “เอาอาหารออกมา”

“ทำไมฉันต้องเอาอาหารตัวเองออกมาด้วย” ทหารนายนั้นพลันแสดงความดุร้าย “ตอนฉันไปเอาอาหารพวกแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ บางคนก็ไปหยิบเสื้อพงเสื้อผ้าตงเต็นท์ของตัวเอง และยัยดารานั่นถึงกับไปหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางด้วยซ้ำ ทำไมฉันต้องเอาอาหารตัวเองให้พวกแกด้วยวะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ “ฟังขึ้นอยู่นะ”

ทุกคนหันขวับไปมองเริ่นเสี่ยวซู่

ว่าตามสัตย์จริง เริ่นเสี่ยวซู่เห็นด้วยกับคำโต้แย้งของทหารนายนี้ ด้านหนึ่งตอนกำลังวุ่นวายกัน คนอื่นนั้นรับมือได้ย่ำแย่มาก ไม่มีใครรีบวิ่งไปโกยเสบียงเก็บไว้ ตอนนี้ยังมีหน้าขอให้ผู้อื่นแบ่งอาหารให้อีก เป็นการใช้ศีลธรรมบีบบังคับคนโดยแท้ แต่มองอีกมุม เริ่นเสี่ยวซู่ชมดูอย่างสนุกสนานโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้เช่นกัน อย่างไรเสียแต่เดิมเขาไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว

ทุกคนพลันเมินเริ่นเสี่ยวซู่ไป พอลั่วซินอวี่นั่งลงข้างเริ่นเสี่ยวซู่ เขารีบผลักเธอไปทันที

ดังนั้นลั่วซินอวี่จึงไปนั่งข้างหยางเสียวจิ่นแทน แต่ความสัมพันธ์ของลั่วซินอวี่และหยางเสียวจิ่นดูเหมือนเป็นเพียงความสัมพันธ์ฉันนายจ้างลูกจ้าง ณ จุดๆ นี้ หยางเสียวจิ่นไม่สนใจจะแสดงท่าทีอะไรแล้ว เมินลั่วซินอวี่ ก้มหน้าก้มตากินเนื้อหนู

แต่ในมือยังมีปืน ทว่าทำราวกับจะไม่ได้เอาไว้ใช้ทำอะไร

สูเสี่ยนฉู่มองไปที่ทหารนายที่ซ่อนอาหารไว้ แล้วว่า “ส่งอาหารมา ในเมื่อเรากำลังร่วมด้วยช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน จะเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอก เดี๋ยวพอเช้าพวกเราก็หาอาหารได้เองแหละ นายไม่หิวตายหรอก”

“ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้เราจะรอดหรือเปล่า” ทหารนายนั้นว่า “แถมไม่ใช่ฉันคนเดียวด้วยที่ไปหยิบเสบียงตอนนั้นน่ะ หลีเหมาเสี้ยนกับเจียงหยางก็ไปเก็บเสบียงมาเหมือนกัน ทำไมฉันต้องเป็นคนเดียวที่แบ่งอาหารให้ด้วย”

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินชื่อหลีเหมาเสี้ยน (ไหมพรม แซ่หลี่) ก็ตะลึงไป ในป้อมปราการก็มีคนชื่อระคายหูแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย

และที่สำคัญตอนนี้สถานการณ์พลันแปรเป็นเย็นยะเยือก น่าแปลกใจจริงแท้ กลุ่มที่ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นหายนะมาด้วยกันกลับเริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องอาหารจำนวนเล็กๆ น้อยๆ

สูเสี่ยนฉู่เอ่ยคำแนะนำอย่างแนบเนียน “ฉันทำแบบนี้ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของทั้งกลุ่มหรอกนะ”

ทหารที่อยู่ข้างเขาแค่นเสียง “ยังพยายามจะใช้อำนาจอยู่อีกเหรอ นายมีปืน ฉันก็มีเหมือนกันแหละ!”

พูดจบก็คิดจะควักปืนจากข้างเอวขึ้นมา แต่สูเสี่ยนฉู่เคลื่อนไหวเร็วทันควัน ยกขาขึ้นถีบใส่หน้าอกทหารนายนั้น ส่งเขากระเด็นลอยไปหลายเมตร

ไม่คิดเลยว่าสูเสี่ยนฉู่จะมีพละกำลังมากขนาดสามารถล้มคนได้ภายในเพียงลูกเตะเดียว!

เริ่นเสี่ยวซู่ประเมินคร่าวๆ ด้วยพละกำลังของตนตอนนี้ น่าจะทำแบบสูเสี่ยนฉู่ได้ไม่ต่างกัน เอาตามตรงแล้วเขาน่าจะมีพละกำลังมากกว่าสูเสี่ยนฉู่ด้วยซ้ำ คิดแบบนี้ได้แล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย

ทหารนายที่ถูกเตะกระเด็นไปอาจจะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกจากป่าก็ได้ ลูกเตะของสูเสี่ยนฉู่รุนแรงมากจนสร้างอาการภายเจ็บภายในแก่ทหารผู้นั้น

นับแต่นี้ไป เขาต้องแบกอาการภายเจ็บภายในของตัวเองเดินทางไปในป่า ท้ายที่สุดก็จะยิ่งเหนื่อยอ่อนลงเรื่อยๆ และจบชีวิตลงในป่านั่นเอง

ดูเหมือนว่าสูเสี่ยนฉู่ตั้งใจใช้เขาเพื่อเตือนคนอื่นว่า ต่อจะต้องให้เสียสมาชิกในกลุ่มไปอีกหนึ่ง เขาก็ไม่สนใจหรอก

แต่ก่อนที่สูเสี่ยนฉู่จะชักเท้ากลับ ทหารอีกนายที่อยู่ข้างหลังเขาก็จู่โจมมา ทหารนายนั้นชักดาบปลายปืนออกมาจากเอว เตรียมแทงใส่สูเสี่ยนฉู่ คิดจะแทงสูเสี่ยนฉู่ให้ตายระหว่างที่วุ่นอยู่กับการรับมือผู้อื่นอยู่!

ตอนนี้กระทั่งหยางเสียวจิ่นก็หยุดเคี้ยวอาหารแล้ว ถ้าการลอบแทงนี้เกิดสำเร็จผล สูเสี่ยนฉู่ต้องตายแน่นอน

เดี๋ยวนะ!

เริ่นเสี่ยวซู่พลันประหลาดใจที่เห็น ‘เงา’ แยกออกมาจากร่างของสูเสี่ยนฉู่ เงาสีเทาหม่นนั้นมีลักษณะเหมือนกับสูเสี่ยนฉู่ทุกประการ

ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตนเองตาฝาดไป แต่เขาก็บรรลุในทันควัน ผู้มีพลังพิเศษ!

สูเสี่ยนฉู่เป็นผู้มีพลังพิเศษ!

ถึงว่าสูเสี่ยนฉู่จะยืนกรานไปต่อให้ได้แม้จะประสบเข้ากับตัวชวนขวัญผวาทั้งหลาย เป็นเพราะเขามีของดีให้พึ่งพาอย่างไรเล่า!

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกมานานแล้วว่าสูเสี่ยนฉู่มีอะไรแปลกๆ แม้เขาจะอยากทำภารกิจให้สำเร็จขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะกลัวโดนไล่ออกจากป้อมปราการเพียงไร ก็ไม่น่าเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งหรือเปล่า

ไม่ใช่ว่าสูเสี่ยนฉู่ไม่กลัว แต่เพราะเขามีความลับซุกซ่อนไว้

เมื่อโดนดาบปลายปืนลอบจู่โจม เงาสีเทาก็หมุนหันกลับมา มันประพฤติเช่นมนุษย์คนหนึ่ง คว้าจับดาบปลายปืนที่ไสแทงเข้ามาอย่างแม่นยำ พริบตานั้นทหารผู้นั้นก็ตกอยู่ในช่วงสับสน ไม่คิดเลยว่าตนต้องมาเผชิญหน้ากับผู้มีพลังพิเศษเข้า และก็ไม่คิดด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามจะจับดาบปลายปืนด้วยมือเปล่า!

ขณะที่ทหารผู้นั้นกำลังงุนงนอยู่นั้น เงาสีเทาก็ชิงมีดไปจากเขา แล้วแทงใส่เข้าท้องทหารผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยม

ทุกคนในแคมป์ตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงแต่เสียงหอบอย่างวิตกดังมาให้ได้ยิน ทหารนายนั้นล้มลงกับพื้น โลหิตสะท้อนจันทร์เกิดเป็นสีม่วง ไหลหลั่งลงดินแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ

ทว่าทหารนายนั้นไม่ได้เสียชีวิตคาที่ ขณะนอนหมอบอยู่กับพื้นแบบยังมีลมหายใจอยู่

ทหารคนเดิมที่โดนเตะออกไป ในที่สุดก็พยายามชักปืนออกมาจนได้ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนตะลึงก็บังเกิด เงาสีเทานั้นโผลทะยานเข้ามาอยู่หน้าสูเสี่ยนฉู่ และกันกระสุนไว้ได้หมด!

เงาสีเทามีรอยปุปะ กระสุนตกลงสู่พื้นทีละนัด

มีบางคนอยากกล่าวตำหนิที่สูเสี่ยนฉู่สังหารเพื่อนทหาร แต่พวกเขามิกล้าปริปากออกมาแม้เสียงเดียว

ทุกคนตะลึงมองสูเสี่ยนฉู่ พลังของเขาคือการสร้างเงาที่หน้าตาเหมือนตนเองออกมาอย่างนั้นหรือ แต่ดูแล้วร่างเงานี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าสูเสี่ยนฉู่อยู่บ้าง

ขนาดกระสุนปืนยังไม่สามารถทะลุผ่านเงาสีเทาได้เลย!

ผู้มีพลังพิเศษที่แท้จริงเป็นแบบนี้เองสินะ

ขณะเริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็เห็นว่าใบหน้าของสูเสี่ยนฉู่พลันขาวซีดเล็กน้อย หมายความว่าตอนที่เงาสีเทานั้นกันกระสุนไว้ ก็ส่งผลกระทบต่อร่างต้นเหมือนกัน?

‘สูเสี่ยนฉู่’ สองตนหันมองรอบๆ สำรวจสถานการณ์ หลังจากนั้นเงาสีเทาก็ค่อยเดินไปหาสูเสี่ยนฉู่ร่างต้น แล้วรวมเข้ากับเขาจากทางด้านหลัง

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset