the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 6 กำแพงและวิทยาศาสตร์

โรงเรียนนี้มีอาจารย์สอนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขาชื่อว่าจางจิ่งหลิน

คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกว่าอาจารย์นั้นเป็นผู้เลิศล้ำด้วยปัญญา รอบรู้สารทิศ ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่นั้นกลับข้องใจมาตลอด เพราะคนต่างอาชีพมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ย่อมหมายความว่าคนเราจะเก่งเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นคุณจางจะกลายเป็นผู้ทรงสัพพัญญูและทรงสรรพานุภาพไปได้อย่างไร

เริ่นเสี่ยวซู่ต่างจากคนอื่นตรงที่เขาชอบที่จะคิดพิจารณาไปตามแนวคิดที่ผ่านเข้ามาในหัว หลังจากได้ฟังบทเรียนจากคุณจาง ก็มารู้จักมันในคำเรียก ‘ตรรกวิทยาวิภาษวิธี[1]’

บางครั้งเหยียนลิ่วหยวนก็หัวหมุนสุดๆ เพราะว่าเริ่นเสี่ยวซู่ชอบโต้แย้งกับมุมมองของจางจิ่งหลิน แต่ถึงอย่างนั้นหากมีเวลาว่างเมื่อไร เขาเป็นต้องเข้ามาฟังในชั้นเรียนด้วย

คาบบ่าย เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนออกไปฉลอง ที่ฉลองก็ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไรที่ไหนหรอก เป็นเรื่องที่ว่าต่อไปเขาสามารถเข้าไปนั่งฟังบทเรียนที่สวนได้แล้ว

ปกติเขาจะนั่งอยู่บนกำแพง ซึ่งไกลเกินกว่าจะได้ยินบทเรียนอย่างชัดเจน ช่วงกำลังสอนอยู่นั้นจางจิ่งหลินจะคอยปิดหน้าต่างไว้ตลอด เพราะกลัวว่าเสียงภายนอกจะรบกวนการเรียนและทำให้นักเรียนเสียสมาธิเข้า

แต่หลังจากที่เขารู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังแอบฟังบทเรียนจากนอกห้อง เขาก็จะเปิดหน้าต่างไว้เพื่อเจ้าตัวโดยเฉพาะ

และแล้วตอนนี้เขาก็ยอมให้เริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาฟังได้ถึงในสวน

ในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ พ่อแม่ของเด็กส่วนใหญ่ ไม่ได้ส่งลูกมาเรียนเพราะอยากได้ความรู้อะไรหรอก แต่เป็นเพราะทำแบบนี้จะหาคู่แต่งงานได้ง่ายในอนาคตต่างหาก โดยเฉพาะพวกเด็กผู้หญิงที่เข้ามาเรียนมักจะได้เข้าไปแต่งในครอบครัวดีๆ

ในยุคสมัยนี้ การได้เรียนหนังสือกับสามารถคิดเลขสามหลักได้ก็ไม่เลวแล้วละ

ทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการเอาชีวิตรอด ไหนจะมีข้าวให้กินหรือเปล่าอีก ผู้ใดเล่าจะสนใจว่าคุณเป็นผู้มีการศึกษาหรือไม่มี

พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ส่งลูกหลานมาเล่าเรียนเพราะมีแผนการระยะยาวอะไร เมืองเล็กๆ นี้มีทั้งคนจนคนรวย ยามใดผู้คนรวมตัว ยามนั้นย่อมมีการอวดเบ่งใส่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้

เหยียนลิ่วหยวนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปซื้อบุหรี่แบบมีก้นกรองจากร้านขายของชำ เหล่าหวังพูดอย่างภาคภูมิใจทีเดียวเชียวว่าบุหรี่นี่ไม่ใส่สารเพิ่มเติม สูบได้อย่างปลอดภัยหายห่วง

ราคาบุหรี่มวนละยี่สิบ แพงโคตร!

เหยียนลิ่วหยวนถามอย่างสงสัย “พี่ ซื้อบุหรี่มาทำไมน่ะ”

“อาจารย์นายอนุญาตให้ฉันเข้าไปฟังบทเรียนถึงในสวนแล้ว ต่อให้ฉันไม่จ่ายค่าเล่าเรียน ยังไงก็ต้องแสดงความสำนึกรู้คุณหน่อยสิ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด “ฉันรู้มาว่าคุณจางชอบสูบมาก”

ใครปฏิบัติต่อเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยดี เขาย่อมต้องตอบแทน

ขณะทุกคนออกไปรับประทานอาหารที่ลานหลังโรงเรียน ทั้งสองก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปหาจางจิ่งหลิน เขากำลังทานผัดผักกาดขาวอยู่ขณะที่ยิ้มรับบุหรี่จากเริ่นเสี่ยวซู่

จางจิ่งหลินไม่ได้ปฏิเสธ แต่เขาสั่งให้เหยียนลิ่วหยวนอยู่ห่างออกไปจากตัวเขาหน่อย “เธอกำลังโต สูดควันบุหรี่ไม่ดี”

เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยขอบคุณเขา “ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาเรียนที่สวนครับ”

“ฟู่” จางจิ่งหลินใช้ไม้ขีดจุดบุหรี่ จากนั้นก็พ่นควันออกมาด้วยใบหน้าพึงพอใจ “นักเรียนที่ตั้งใจเข้าเรียนแบบเธอหายากมาก ถ้าอยากเรียนก็เข้ามาเรียนเถอะ แต่ให้ยืนได้แค่ตรงประตูเท่านั้น ห้ามเข้ามาในห้องเรียน”

“ได้ครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “อาจารย์ ผมมีคำถาม”

“พูดมา” บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าจางจิ่งหลินไม่ค่อยมีโอกาสได้สูบบุหรี่ จึงไม่ว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่จะมีคำถาม

“อาจารย์ ท่านบอกว่าก่อนยุคภัยพิบัติ มนุษย์มีเทคโนโลยีมากมาย ในเมื่อมนุษย์ยังไม่ถูกล้างออกไปจนหมด แล้วเทคโนโลยีพวกนั้นหายไปไหนกัน”

จางจิ่งหลินมองเริ่นเสี่ยวซู่ “หลังจากผ่านยุคภัยพิบัติ มนุษย์ไร้ขื่อแปมากี่หลายปีก็ไม่รู้ แค่สามารถเอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็หรูมากแล้ว จะมามีปัญญาชนได้ยังไง”

“แต่อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะมีข้อมูลอะไรหลงเหลือบ้างนี่ ถ้าพวกเราศึกษา อารยธรรมจะไม่กลับมาเร็วขึ้นหรอกเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจ

“สูญหายไปตามเวลา” จางจิ่งหลินเอ่ยอย่างรู้สึกเสียดายนัก “ขอฉันถามบ้าง ถ้าเกิดฉันให้คู่มือสร้างเครื่องบินกับเธอ เธอจะสร้างเครื่องบินมาได้ซักลำหรือเปล่า”

“ผมไม่เคยเรียนวิธีการสร้างมาก่อน ถึงแม้การมีคู่มือจะทำให้ประหยัดเวลาขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องเริ่มใหม่จากศูนย์อยู่ดี” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ

“ใช่แล้ว ทุกคนล้วนเริ่มจากศูนย์” จางจิ่งหลินมองบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนของตนอย่างปวดใจเล็กน้อย เหมือนเขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะสูบต่อดีไหม

เขากะจะเก็บอีกครึ่งมวนไว้สูบทีหลัง แต่ถ้าตอนนี้ดับบุหรี่ต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวน เขาจะไม่เสียหน้าเอาหรอกเหรอ…

เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงมีข้อข้องใจ “ทำไมตลอดหลายปีมานี้ถึงไม่มีใครเอาชนะความยากลำบาก ทุ่มเทวิจัยจนสร้างองค์ความรู้ได้อีกครั้งล่ะ”

“ไม่มี หิวตายไปหมดแล้ว” จางจิ่งหลินว่า

“องค์ความรู้ทั้งหลายต้องสูญหายไปตามกาลเวลาจริงๆ งั้นเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกยากจะทำใจยอมรับ

คราวนี้จางจิ่งหลินจ้องเขม็งไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “พวกมันไปตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยน่ะสิ”

“เอาละ” จางจิ่งหลินลุกขึ้น แล้วว่า “ไม่ต้องถามเรื่องนี้ต่อล่ะ ได้เวลาเรียนแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงดื้อแพ่งถามคำถามสุดท้ายกับจางจิ่งหลิน “อาจารย์ กำแพงของป้อมปราการสร้างขึ้นเมื่อไหร่ และทำไมถึงต้องสร้างด้วย”

“หลังจากยุคภัยพิบัติ สัตว์ป่าวิ่งอาละวาดไปทั่ว เมื่อหลายปีก่อนนู้น เกิดวิกฤติฝูงแมลงบุก มนุษยชาติไม่มีทางเลือก จึงต้องสร้างกำแพงสูงเพื่อหลบหนีจากอันตราย” จางจิ่งหลินอธิบาย

“ถึงพวกสัตว์ส่วนใหญ่จะเกิดวิวัฒนาการ แต่ก็ยังไม่เริ่มโจมตีมนุษย์ก่อนอยู่ดี” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเรื่องนี้มากทีเดียว ลิงยังคงกินผักผลไม้ นกกระจอกยังคงกินเมล็ดพืช ดูเหมือนพวกมันไม่ได้มองมนุษย์เป็นอาหารอะไรเทือกนั้นเลย

มนุษยชาติในป้อมปราการ 113 อาศัยอยู่ใน ‘วงใน’ สัตว์ร้ายส่วนใหญ่จริงๆ แล้วอยู่ใน ‘วงนอก’

ยิ่งตัวเลขของป้อมปราการสูงเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ป้อมปราการ 178 มักจะมีผู้เสียชีวิตมากมายทุกปีขณะพยายามไล่เหล่าสัตว์ร้ายออกไปจากอาณาเขต

ส่วนป้อมประการ 113 ความจริงแล้วยังถือว่าอยู่ใน ‘แผ่นดินใหญ่[2]’

ในแดนรกร้างข้างนอกนั้นมีอันตรายแฝงอยู่มากมายนัก อย่างเช่นฝูงหมาป่าที่เขาเคยเจอมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางดิ้นรนต่อสู้นี่นา งั้นทำไมถึงมีกำแพงสูงลิบลิ่วมาสร้างในแหล่งที่ชุมนุมของมนุษย์แบบนี้ได้

จางจิ่งหลินยิ้ม พลางว่า “ตราบใดที่ข้างนอกนั้นยังมีอันตราย เหล่าผู้อพยพก็ต้องพึ่งพาป้อมปราการเพื่ออยู่รอด เพราะแบบนี้ทางป้อมจึงได้รับแรงงานราคาถูกจำนวนมาก เธอคิดว่าพวกกลุ่มอำนาจในป้อมปราการไม่มีพลังมากพอจะออกมาขจัดอันตรายข้างนอกนี่เหรอ อาวุธปืนกับระเบิดที่มนุษย์มี ทรงพลังมากกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ แต่ว่าทำไมพวกเขาต้องออกมากำจัดด้วยล่ะ พวกมันไม่ได้คุกคามอะไรพวกเขาเสียหน่อยนี่”

เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในภวังค์ ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาไม่รู้ เพราะแบบนี้ไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่เข้าใจคนในป้อม และเพราะแบบนี้เอง จึงทำให้เขาขวนขวายหาความรู้

จางจิ่งหลินพูดต่อ “พวกเขาจะไม่ล้มกำแพงลง ทำไมกลุ่มคนเบื้องหลังกำแพงนั้นต้องสละป้อมปราการที่เป็นดั่งชนชั้นอำนาจของตนด้วยล่ะ”

จากนั้นจางจิ่งหลินก็เข้าไปเปลี่ยนชุด เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “อาจารย์ ทำไมท่านต้องเปลี่ยนชุดด้วยล่ะ ชุดก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะสกปรกอะไรเลยนี่”

จางจิ่งหลินขยับปกคอเสื้อ ตอบ “เสื้อผ้าที่ใส่ก่อนหน้านี้เปื้อนควันบุหรี่หมดแล้ว ถ้าให้นักเรียนดมจะไม่ดี”

เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกเคารพเขายิ่งกว่าเดิม แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลับรู้สึกไม่ค่อยดีนัก “งั้นผมไม่สำคัญเหรอ ไม่เห็นจะบอกให้ผมถอยห่างไปไกลๆ บ้างเลย”

จางจิ่งหลินนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูด “ไสหัวไป”

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากพระราชวังอีกครั้ง

[ภารกิจ: กระหายในความรู้มิได้เป็นเรื่องไม่ดี เพียงเรียนแล้ว ต้องสอนผู้อื่นด้วย]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าภารกิจต้องการให้เขาทำอะไร

คาบบ่าย พอพวกนักเรียนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่โตกว่าพวกเขาหลายปีมายืนอยู่ตรงประตู ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก มีนักเรียนหลายคนหันมามองเขาอยู่เรื่อยๆ

จางจิ่งหลินเคาะกระดานดำเรียกให้พวกนักเรียนกลับมาสนใจบทเรียนอยู่หลายครั้ง เขาพูดว่า “คาบบ่ายวันนี้จะสอนเกี่ยวกับการเอาตัวรอด”

ในยุคสมัยนี้ โรงเรียนนอกจากสอนศิลปะศาสตร์กับวิทยาศาสตร์แล้ว ยังต้องสอนการเอาชีวิตรอดด้วย

แต่เวลาจางจิ่งหลินสอนวิชานี้ทีไรก็รู้สึกงุ่นง่านมากเพราะตนไม่เคยมีประสบการณ์เอาชีวิตรอดในป่ามาก่อน

ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจึงสอนไปตามที่เขียนไว้ในตำราที่หลงเหลือมาจากอดีต

จางจิ่งหลินมองเหล่านักเรียนในห้อง “ตั้งใจฟังให้ดี อย่าคิดว่าอันตรายอยู่ไกลจากพวกเธอ ตอนนี้พวกเธอยังมีพ่อแม่คอยคุ้มครองอยู่ แต่พอโตขึ้นไป พวกเธอต้องรู้จักเรียนรู้วิธีในการปกป้องตนเองด้วย บทเรียนวันนี้จะมาคุยกันว่า เธอต้องรับมือยังไงเวลาเจอฝูงหมาป่า”

พวกนักเรียนชอบฟังวิชาการเอาชีวิตรอดที่สุด วัยแบบพวกเขา วิชาอื่นๆ ล้วนน่าเบื่อไม่น้อย มีวิชาการเอาชีวิตรอดนี่แหละที่น่าสนุกสุดแล้ว

ห้องเรียนเงียบลง จางจิ่งหลินมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่ยืนฟังการสอนอย่างตั้งใจอยู่ตรงประตู “มา เธอบอกซิ เวลาเจอฝูงหมาป่าข้างนอกนั่นต้องทำยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ “คงหาเนินดินสักแห่ง รายล้อมด้วยต้นไม้ เพราะที่แบบนี้ถือเป็นชัยภูมิตั้งสุสานชั้นดีเลย”

จางจิ่งหลิน “???”

[1] ตรรกวิทยาวิภาษวิธี (Dialectical Logic) หมายถึง การคิดหาเหตุผลโต้ การโต้แย้งในแนวคิดที่ตนมีความเชื่อขัดแย้งกัน เพื่อเสาะหาซึ่งบทสรุปที่ถูกต้องที่สุด ส่วนใหญ่มักใช้สองคนขึ้นไป

อีกทั้งไม่เท่ากับการโต้วาทีหรืออภิปราย (Debate) เพราะการโต้วาทีนั้นผู้อภิปรายมักแสดงความยึดติดทางอารมณ์ซึ่งอาจบดบังการตัดสินด้วยเหตุผลได้ ขณะเดียวกันผู้อภิปรายก็เอาชนะโดยการโน้มน้าวฝ่ายตรงข้าม พิสูจน์ว่าการให้เหตุผลของตัวเองถูกต้อง หรือพิสูจน์ว่าการให้เหตุผลของฝ่ายตรงข้ามผิดรวมกัน

[2] วงใน (圈内) ในที่นี้หมายถึงเขตชั้นในได้ด้วย

วงนอก (圈外) ในที่นี้หมายถึงเขตรอบนอกได้ด้วย

แผ่นดินใหญ่ (内地) ในที่นี้สามารถแปลว่า ‘ในแผ่นดิน’ กับ ‘แผ่นดินหลัก’ ก็ได้

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset