the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 88 เงา ชิ่งเจิ่น

สมาชิกของสมาคมตระกูลชิ่งแบ่งเป็นหลายกลุ่มก้อน หนึ่งในนั้นคือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ทำหน้าที่ดูแลพวกเครื่องจักรของสมาคม ทำงานอันมีเกียรติ ได้รับความเคารพและมีอิทธิพลอย่างสูงในสมาคม

อีกกลุ่มคือพวกว่างงาน อย่างหลัวหลานเป็นต้น เป็นพวกที่เพียงดำรงชีวิตและเสวยสุขอย่างดีในป้อมปราการ ไม่ต้องเก่งกาจอะไร แค่อยู่ไปวันๆ จนถึงวาระสุดท้าย

อีกกลุ่มคือพวกเงาอย่างชิ่งเจิ่น ทำงานสกปรกให้สมาคม และน้อยมากจะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน ทั้งยังหาเงินได้มากสุดด้วย ปกติแล้วลูกนอกสมรสอย่างหลัวหลานไม่มีทางขึ้นมาควบคุมป้อมปราการได้หรอก แต่ชิ่งเจิ่นกลับสามารถช่วยเขามาถึงจุดนี้ได้

ที่คู่ต่อสู้ของหลัวหลานไม่กล้าเข้ามายุ่งย่าม หนึ่งอาจเพราะพวกเขากำลังกลัวชิ่งเจิ่นอยู่ หรือไม่ก็มีอะไรบางอย่างต้องให้ชิ่งเจิ่นช่วยเหลือ นี่เป็นครั้งแรกที่สมาคมตระกูลชิ่งส่งลูกนอกสมรสมารับตำแหน่งควบคุมป้อมปราการเช่นนี้ สิ่งนี้ยิ่งสื่อถึงจุดยืนของชิ่งเจิ่นในสมาคมสูงด้วย

ชิ่งเจิ่นมองหลิวปู้และลั่วซินอวี่ “เล่าเรื่องสามคนนั้นมาหน่อย สูเสี่ยนฉู่ หยางเสียวจิ่น แล้วก็เริ่นเสี่ยวซู่…อะ เริ่นเสี่ยวซู่เกี่ยวข้องอะไรกับหยางเสียวจิ่นหรือเปล่า ชื่อพวกเขาฟังเข้ากันไม่เลวนะ”

“เปล่าครับ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน” หลิวปู้ส่ายหน้า “เริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ผู้อพยพนอกป้อมปราการ พวกเราบังคับให้เขามาเป็นคนนำทางในการเดินทางนี้ เขามีพลังกำลังเยอะมาก ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ”

ชิ่งเจิ่นส่ายหน้า “ก็คือแค่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นนิดหน่อยใช่ไหม”

“ไม่ใช่แค่นั้น เขายกชายฉกรรจ์ได้ด้วยมือข้างเดียวเลยนะ” หลิวปู้ว่าอย่างกระสับกระส่าย “แล้วก็เจ้าสูเสี่ยนฉู่นั่น ถึงพละกำลังกับความทรหดค่อนข้างธรรมดา แต่เขามีพลังพิเศษเป็นที่สามารถโคลนร่างแยกเงาของตัวเองได้ แถมเจ้าเงานั่นยังเคยป้องกันเขาจากกระสุนมาแล้วด้วย!”

ชิ่งเจิ่นรู้สึกสนใจขึ้นมา หันไปสั่งผู้หนึ่งข้างกาย “จดไว้ด้วย สูเสี่ยนฉู่ พลังพิเศษยังใช้งานได้ไม่เต็มศักยภาพ ความอันตรายระดับ C เริ่นเสี่ยวซู่ คาดว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษสายพละกำลัง ความอันตรายระดับ F”

รอบกายชิ่งเจิ่น นอกจากจะมีทหารแล้ว ยังมีนักวิจัยในชุดป้องกันสารเคมีแบบเต็มตัวอีกไม่น้อย หนึ่งในนั้นทำหน้าที่จดคำสั่งของชิ่งเจิ่น

หลิวปู้ก็พบว่าชิ่งเจิ่นสนใจในตัวสูเสี่ยนฉู่มากกว่า ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก

“คือเริ่นเสี่ยวซู่ก็นับว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วยใช่ไหม ดังนั้นพวกคุณน่าจะรีบไปจับตัวเขานะ” หลิวปู้รีบพูด ส่วนลั่วซินอวี่ที่อยู่ข้างหลังไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรออกมา

ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “ผมไปตามจับเขาแน่ เชื่อว่าเขาคงอยู่ในเมืองแล้วละ แต่ผู้มีพลังพิเศษสายพละกำลังไม่ได้หายากอะไรหรอกนะ”

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหลิวปู้หรือลั่วซินอวี่ ก็ได้รู้แล้วว่าความเข้าใจของสมาคมตระกูลชิ่งต่อผู้มีพลังพิเศษนั้นหาใช่แต่เพียงผิวเผินไม่

เหมือนว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะเข้าใจผู้มีพลังเศษอย่างลึกซึ้งยิ่ง แต่คิดๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เหล่าองค์กรต่างคอยควบคุมโลกใบนี้ พวกเขาย่อมเข้าถึงข้อมูลลับระดับสูงได้อย่างง่ายดาย พวกเขากอปรด้วยทรัพยากรและข่าวสารมากมายในครอบครอง

กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าพวกสมาคมตระกูลชิ่งยังไม่สามารถวัดกะเกณฑ์พลังของผู้มีพลังพิเศษได้อย่างแท้จริง จึงได้เพียงแต่วัดเป็นระดับความอันตรายแทน

ระดับความอันตรายที่ว่านี่หมายถึงความอันตรายที่มีต่อสมาคมสินะ?

อย่างเช่นสูเสี่ยนฉู่ที่เสกร่างแยกเงามาสู้แทนตัวเองได้ ได้รับประเมินว่ามีความอันตรายระดับ C เพราะร่างแยกเงากันกระสุนได้ ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ที่แค่มีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป จึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก ไม่ว่าจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางทรงพลังไปกว่าอาวุธและระเบิดหรอกใช่ไหมเล่า

หมัดเท้าเข่าศอกย่อมไม่อาจสู้รบตบมือกับลูกกระสุนลูกระเบิดได้ สมาคมมองว่าถ้าตราบใดที่พละกำลังนั้นยังไม่อาจเหนือกว่าพลังอำนาจของปืนได้ พลังทำลายของผู้มีพลังพิเศษคนนั้นก็นับว่าจำกัดมาก

และก็เพราะว่าอาวุธปืนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรต่างๆ ด้วย

ตอนนี้ชิ่งเจิ่นมั่นใจแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเพียงผู้อพยพคนหนึ่งในเมืองนอกป้อมปราการ สูเสี่ยนฉู่ก็เป็นเพียงเจ้าพนักงานในกองกำลังส่วนตัว มีเพียงหยางเสียวจิ่นที่ยังไม่รู้ที่มา แน่นอนว่าแม้หลัวหลานจะเล่าลักษณะนิสัยของพวกเขาให้แล้ว ชิ่งเจิ่นก็ยังไม่เชื่อคำเหล่านั้นเสียหมด

หลิวปู้ไม่ค่อยเข้าใจนัก ถ้าเทียบกับเริ่นเสี่ยวซู่และสูเสี่ยนฉู่แล้ว ชิ่งเจิ่นดูจะสนใจในตัวหยางเสียวจิ่นมากกว่า จากที่หลิวปู้พูดมา หยางเสียวจิ่นรู้เรื่องบริษัทหัวจ่งและองค์กรอื่นๆ ดีมาก ดังนั้นตัวตนของหยางเสียวจิ่นน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าสูเสี่ยนฉู่และเริ่นเสี่ยวซู่

ตอนนี้ชิ่งเจิ่นกำลังยืนอยู่ในเมืองร้าง สูทสีขาวยังคงสะอาดกระจ่าง รอบกายรายล้อมด้วยซากปรักแห่งอารยธรรมเก่าและทหารของสมาคม เขาถามด้วยความสนใจยิ่งว่า “หยางเสียวจิ่นได้แสดงพลังอะไรออกมาหรือเปล่า”

“หยางเสียวจิ่นดูจะไม่มีอะไรพิเศษ” หลิวปู้คิดพิจารณาอยู่นาน นอกจากความดุดันดุร้ายแล้ว หยางเสียวจิ่นก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ดูไม่มีพลังพิเศษอะไรคนหนึ่ง

ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ที่นี่ต้องไม่เห็นด้วยแน่ ทักษะกระโดดเชือกระดับสูงกับทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กระดับสูงเป็นทักษะที่น่าประทับใจมากนะ! แค่นั้นก็โคตรพิเศษแล้วไหม!

แหงละว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่แถวนั้น ตอนนี้เขาเจอร้านขายเครื่องประดับที่ฝันใฝ่หาแล้ว!

ชิ่งเจิ่นไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงมองจ้องหลิวปู้เขม็ง “คิดดีๆ”

หลิวปู้พลันรู้สึกได้ถึงอำนาจสะกดข่ม จึงกัดฟันกรอด แล้วพูด “หยางเสียวจิ่นไม่มีทักษะพิเศษอื่นใดจริงๆ ผมว่าคุณน่าจะต้องระมัดระวังเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่า”

“หืม?” ชิ่งเจิ่นพยักหน้า จากนั้นหันไปหาลั่วซินอวี่ “เริ่นเสี่ยวซู่มีอะไรพิเศษนักหนาหลิวปู้ถึงกัดไม่ปล่อยแบบนี้ หรือว่าเขามีพลังอื่นนอกจากพละกำลังนั่น”

ลั่วซินอวี่นิ่งไป พลังพิเศษของเริ่นเสี่ยวซู่อย่างนั้นเหรอ

เธอคิด ก่อนจะพูดหยั่งเชิง “เหมือนเขาจะกวนโอ๊ยคนเก่งไม่น้อยนะ…”

ลั่วซินอวี่ไม่ได้พูดออกไปมั่วๆ ใจลึกๆ เธอคิดแบบนี้จริงๆ!

แต่พอชิ่งเจิ่นได้ยินก็หัวเราะฮา หันกลับไปกล่าวกับลูกน้องด้านข้าง “สู่หมาน นำกำลังคนออกไปสืบเสาะหาสามคนนั้น กลับมาที่นี่ก่อนสิบสองนาฬิกา”

“รับทราบ” ทหารนาม สู่หมาน นำกำลังออกไปหกหน่วย ใช้กำลังทั้งสิ้นร้อยแปดสิบนายเพื่อล่าคนสามคน แม้แต่สมาคมตระกูลชิ่งเอง ‘การรับรอง’ นี้ถือว่าเป็นระดับสูงสุดทีเดียว

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของชิ่งเจิ่น สู่หมานทราบดีว่าความลับแห่งเขาจิ้งซานไม่อาจหลุดไปเข้าหูผู้อื่นเด็ดขาด บุคคลภายนอกทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่อาจปล่อยให้หลุดรอดไป

ชิ่งเจิ่นยืนนิ่ง ปากฮัมเพลงไปเรื่อย แลดูปลอดโปร่งมาก ทว่าหลิวปู้และลั่วซินอวี่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย ลั่วซินอวี่อดใจลองหยั่งเชิงชิ่งเจิ่นไม่ได้ “ความเปลี่ยนแปลงในเขาจิ้งซานเกี่ยวอะไรกับกับห้องทดลองนั่นหรือเปล่า”

“เปล่า เปล่าเลย” ชิ่งเจิ่นยิ้ม “ความเปลี่ยนแปลงในเขาจิ้งซานเองก็เกินความคาดหมายของพวกเราเช่นกัน ปกติพวกเราเรียกที่นี่ว่า…แดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในตัวคนผู้หนึ่ง ทั้งเทือกเขาจึงแปรเปลี่ยนไป แต่พวกเราพบการเปลี่ยนแปลงในเขาจิ้งซานช้าไป เลยไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร”

หลิวปู้ว่าอย่างวิตก “แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรานะครับ!”

ชิ่งเจิ่นหยุด “ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ เพราะถ้าเป็นงั้น คงเป็นฝ่ายผมแล้วที่ต้องกังวลน่ะ”

“คุณคิดจะทำอะไรกับพวกเราต่อ”

แต่ชิ่งเจิ่นเหมือนไม่ได้ยิน เฝ้ารอเพียงสู่หมานนำเริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่นมา

ตอนนั้นเอง ทหารก็กลับมาจากป่า ดูเหมือนพวกเขาจะแบกอะไรกลับมาด้วย ชิ่งเจิ่นยิ้ม กล่าวกับหลิวปู้และลั่วซินอวี่ “อย่าตกใจไปล่ะ”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset