the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 95 ทุกหนแห่งคือทางตัน

เริ่นเสี่ยวซู่คิดดีแล้วก่อนที่จะใช้ร่างแยกเงาออกมา เขาไม่กลัวแล้วว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือเปล่า ความตายคืบใกล้ประชิดถึงเพียงนี้ คนอื่นจะรู้ไม่รู้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจแล้ว

ที่เขากลัวจริงๆ คือต้องเผยว่าตนเองมีพลังในการคัดลอกพลังพิเศษของผู้อื่นนี่แหละ เริ่นเสี่ยวซู่กล้าปลอมเป็นสูเสี่ยนฉู่ก็เพราะรู้ว่าเขายังไม่ถูกจับไป ทั้งเริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าสมาคมตระกูลชิ่งรู้จักพลังพิเศษของสูเสี่ยนฉู่จากปากของหลิวปู้ไปแล้วด้วย

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้พบเจอผู้พลังพิเศษมาไม่น้อย หยางเสียวจิ่นดึงปืนสไนเปอร์อันไม่ธรรมดาออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า สูเสี่ยนฉู่สร้างร่างแยกเงาของตนเอง ลั่วซินอวี่สามารถท่องไปในเงา และผู้คุ้มกันของชิ่งเจิ่นที่เสกพัดขาวออกจากมือ

เริ่นเสี่ยวซู่พลันอดคิดไปเองไม่ได้ว่าผู้มีพลังพิเศษนี่มีอยู่ถมเถจริงๆ

แต่พลังพิเศษของเขาไม่เหมือนของคนอื่น พลังพิเศษที่สามารถคัดลอกพลังพิเศษของผู้อื่นได้ พลังเช่นนี้จะวัดระดับอย่างไร เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลย

ถ้าสมาคมตระกูลชิ่งรู้ว่าเขาสามารถคัดลอกพลังของคนอื่นได้ และเกิดสนใจในตัวเขาขึ้นมา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรตนบ้าง

ระหว่างเริ่นเสี่ยวซู่ทำการหลบหนีนั้น ใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าโลกนี้มีผู้มีพลังพิเศษมากน้อยเพียงไร คงมีมากเลยสินะ?

แต่พอตั้งใจคิดดีๆ แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้ ที่มีขนาดนี้ก็น่าเป็นเพราะเขาจิ้งซานและชิ่งเจิ่นล่อพวกเขาให้มามากกว่า

พอสู่หมานได้ยินเสียงของเริ่นเสี่ยวซู่ปุบ ข้อข้องใจก่อนหน้าก็พลันแจ่มแจ้ง เขารีบแจ้งข่าวผ่านช่องทางสื่อสาร “ข้อมูลก่อนหน้าผิดพลาด เป้าหมายไม่ใช่เริ่นเสี่ยวซู่ แต่เป็นสูเสี่ยนฉู่!”

ในความจริง ที่พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ ก็เพียงว่าเขาเป็นผู้อพยพ จึงสนอกสนใจในทองคำ แต่กระนั้นก็ยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์แบบชี้ชัดว่าคือเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ดี อย่างแรกเลยคือพวกเขาไม่เคยเห็นหน้าตาของเริ่นเสี่ยวซู่ อย่างที่สองคือต่อให้พวกเขาเคยเห็นหน้าค่าตาเริ่นเสี่ยวซู่และสูเสี่ยนฉู่มาก่อน ใบหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้ก็ดำปื้ดจนจำแทบไม่ได้อยู่ดี และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ใส่เครื่องแบบทหารของซุนจวินเจิ้ง ซึ่งเป็นเครื่องแบบเดียวกันกับของสูเสี่ยนฉู่ด้วย

จากข้อมูลที่สมาคมตระกูลชิ่งมี สูเสี่ยนฉู่สามารถสร้างร่างแยกเงาออกมาช่วยต่อสู้ได้ ทั้งพลังรบยังสูงมาก และยังกันกระสุนได้อีกด้วย

ถึงร่างแยกเงาของเริ่นเสี่ยวซู่จะเป็นสีดำ ซึ่งต่างกับคำอธิบายของหลิวปู้ สู่หมานก็คิดเพียงว่าเป็นเพราะเรื่องของแสง บางทีร่างแยกเงานี้อาจจะเป็นสีเทาตอนฟ้าสว่างก็ได้

ตอนที่กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งได้ยินคำประกาศอันแข็งกร้าวของเริ่นเสี่ยวซู่ว่า ‘สูเสี่ยนฉู่อยู่นี่ ผู้ใดอาจหาญกล้าลองดี!’ ก็ต่างคิดว่าเป้าหมายท้าทายพวกเขาสู้รบกันจนตายกันไปข้าง ทว่าเป้าหมายกลับกลับหลังหันวิ่งหนีไปเสียฉิบ!

กระสุนหลายนัดวิ่งแฉลบผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ไป แต่เขายังคงปลอดภัย

เขารู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะตนหลบอย่างดี หรือว่าฝีมือยิงปืนของทหารสมาคมไม่ถึงขึ้น แต่เป็นเพราะพลังโชคลาภของเหยียนลิ่วหยวน…เริ่มส่งผลแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น เหยียนลิ่วหยวนกำลังทำอะไรอยู่กัน เริ่นเสี่ยวซู่รีบออกไปจากสมาคมตระกูลชิ่ง ไม่รีรอเสี่ยงอะไรต่อแล้ว

พอวิ่งไปได้ราวหนึ่งร้อยเมตร เขาก็เรียกร่างแยกเงากลับมา!

ร่างแยกเงาวิ่งพล่านในหมู่ฝูงชน เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องบังคับให้ร่างแยกเงาเล็งไปที่จุดของคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำไป เพียงสั่งให้มันเอาร่างกระแทกๆ ไปให้เละให้หมด

อย่าลืมว่าพละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้เกือบเทียบเท่ากับชายวัยฉกรรจ์สามคน และร่างเงาจะเพิ่มเข้าไปอีกทวีคูณ!

ดังนั้นจึงไม่ต้องเล็งจุดองจุดอ่อนอะไร ร่างแยกเงาพุ่งเข้าใส่ใคร คนผู้นั้นก็ร่างแหลกเหลว

ในแนวรบที่สมาคมตระกูลชิ่งตั้งไว้ ร่างแยกเงาต่อสู้เพียงลำพังราวเรือน้อยลำหนึ่ง[1] พวกทหารรู้สึกว่าเจ้าเงานี่อ่อนแรงลงเรื่อยๆแล้ว แต่ร่างแยกเงากลับสู้ต่อสืบต่อไปได้ไม่ว่าจะถูกจู่โจมหรือได้รับบาดแผลเท่าไรก็ตาม

ระหว่างร่างแยกเงาและเริ่นเสี่ยวซู่มีทหารอีกหลายนาย พอเริ่นเสี่ยวซู่เรียกร่างแยกเงากลับ ร่างแยกเงาก็พุ่งชนโครมใส่กลุ่มคนราวรถไฟขบวนหนึ่ง!

ยามเรียกร่างแยกเงากลับมา มันก็จะผสานร่างกับเริ่นเสี่ยวซู่ และยามที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการปลดปล่อยมัน มันก็ออกมาจากข้างหลังเขา

ตอนที่ร่างแยกเงามาถึงเริ่นเสี่ยวซู่ ตามตัวมันก็มีรอยแผลและร่องรอยบาดเจ็บเต็มร่างไปหมด เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ความเจ็บปวดตามรอยแผลต่างๆ ดั่งกับว่าเกิดขึ้นกับตัวเอง และความเจ็บปวดนี้ไม่ธรรมดาเลยด้วย ตอนที่ร่างแยกเงาพยายามหนี มันถูกยิงเข้าหลายนัด ความเจ็บปวดนี้แทบทำให้เริ่นเสี่ยวซู่กระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่กัดฟันทนเจ็บระหว่างหนีจนใบหน้าและหลังหลั่งเหงื่อเม็ดโตออกมา

ถึงว่าทำไมร่างแยกเงาของสูเสี่ยนฉู่รับกระสุนแล้วเขาถึงได้หน้าซีดเซียวนัก เพราะว่ามันมี ‘ผลกระทบ’ จากการใช้ร่างแยกเงาจริงๆ นั่นเอง

ที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้คือ ถ้าสูเสี่ยนฉู่มาเห็นเขาตอนนี้ เขาคงประหลาดใจมากทีเดียว

สูเสี่ยนฉู่เคยลองด้วยตัวเองมาก่อน หลังจากที่ร่างแยกเงาได้ลองออกกำลังกายอย่างเข้มข้น ก็จะทำให้จิตใจของร่างหลักรู้สึกอ่อนล้าไปด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อคือร่างหลักจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก รู้สึกราวอยู่ไม่สู้ตาย!

แต่ร่างแยกเงาของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เหมือนของเขา

เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามพระราชวังมาแล้วพลังจิตใจของเขาจะวัดระดับอย่างไร แต่สุดท้ายระบบก็ตอบเพียงว่า ‘ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล’

เริ่นเสี่ยวซู่มุ่งหน้าหนีเข้าไปในป่าต่อ และความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในร่างแยกเงาก็ไม่มีทีท่าจะหายไปแม้จะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้แล้วว่า ถ้าไม่มีเรื่องให้ใช้ก็อย่าใช้ร่างแยกเงาออกมาจะดีกว่า ถ้าเขาคิดให้ร่างแยกเงาตายแทน เขาก็ต้องเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับเขาด้วย

ถ้าร่างแยกเงาตายไปครั้งหนึ่ง เขาก็ต้อง ‘ตาย’ ไปครั้งหนึ่งเช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่หายใจหอบอย่างแรง เขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่ความเจ็บปวดคราวนี้หนักหนากว่าที่เกิดจากรอยบาดแผลจริงๆ เสียอีก

แต่อย่างน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่แม้ร่างแยกเงาจะได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ มันก็ยังไม่สลายหายไป ดังนั้นเขายังมีเพื่อนร่วมช่วยสู้รบอยู่

ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งราวกับหมาล่าเนื้อฝูงหนึ่งที่ไล่ล่าเขาไม่หยุด ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคลื่อนตัวให้เร็วกว่าพวกเขา เขาแย่แน่ เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งซิกแซกไปมา พยายามสลัดพวกสุนัขให้ออก ไม่นานนักพวกทหารสมาคมก็สับสนแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไปทางไหน

ยามนี้เริ่นเสี่ยวซู่จึงผ่อนลมหายใจได้บ้าง โดนคนหลายร้อยไล่ก่อให้เกิดความเครียดเขม็งไม่น้อย เขากะจะหาที่ซ่อนพักลมหายใจเสียหน่อย

ทว่าทันใดนั้นเขาก็พลันได้ยินเสียงโซ่ถูกลากดังมา

เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักกึก จับหน้าอกตัวเองและหัวเราะออกมาอย่างเศร้าสร้อย เชี่ยไรนักหนาวะเนี่ย…

เขารำพึง “ชีวิตมีแต่ทางตันทุกหนแห่ง”

เริ่นเสี่ยวซู่ได้เห็นตัวทดลองที่ชิ่งเจิ่นจับขังไว้ในกรงจากไกลๆ แล้ว แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ยินว่าชิ่งเจิ่นพูดอะไรไปบ้าง จึงไม่รู้ว่าตัวทดลองมีมากกว่าหนึ่ง

เริ่นเสี่ยวซู่จึงคิดเพียงว่ามีแต่ภูเขาไฟที่เป็นอุปสรรคของเขาในการหลบหนีไปทางเหนือ เขาจะเดาออกได้อย่างไรว่ายังมีตัวทดลองพวกนี้เป็นอุปสรรคด้วยน่ะ

ดูจากเสียงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ทราบได้ทันทีว่าศัตรูไล่ตามมาทั้งสามทิศทาง ซึ่งหมายความว่าตัวเขาต้องเผชิญหน้ากับตัวทดลองอย่างต่ำสามตัว!

เสียงลากโซ่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงน้ำลายของพวกตัวทดลองหยดแหมะลงซากใบไม้บนพื้นป่าอีกคราแล้ว

ร่างแยกเงายืนเคียงข้างเขา เริ่นเสี่ยวซู่ลองคาดการณ์ในหัวคร่าวๆ ก็คาดว่าร่างแยกเงาคงรับมือตัวทดลองได้หนึ่งถึงสองตัว แต่ว่าอีกตัวที่เหลือนั้น เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะรับมือได้ด้วยตัวเองได้หรือเปล่า

ข้างหน้ามีตัวทดลองสาม ข้างหลังมีทหารตามอีกหลายร้อย ล้วนต่างคิดพิฆาตเริ่นเสี่ยวซู่

………………..

[1] เรือน้อย (一叶扁舟) สัญลักษณ์แทนจอมยุทธ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset