the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 9 ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามมาได้เลย

เริ่นเสี่ยวซู่ยืนอยู่หน้าทางเข้ากระท่อม คอยมองพวกนั้นเดินจากไป เหล่าหวังยังคอยพูดขอโทษขอโพย “ถึงหัวของเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ปกติ แต่มันไม่ใช่ยังงั้น ให้ฉันอธิบายก่อน…”

นักดนตรีหน่ายจะสนใจฟังคำอธิบาย “หวังฟู่กุ้ย ฉันให้เวลานายหกชั่วโมงหาคนมาให้ฉันให้ได้ ต่อให้เจ้าเด็กนี่ไม่ผิดปกติ พวกเราก็ไม่ใช้งานเขาอยู่ดี พวกเราจะออกเดินทางตอนรุ่งสาง อย่าทำให้แผนพวกเราเสีย!”

เริ่นเสี่ยวซู่ยืนหน้าทางเข้ากระท่อมอย่างบันเทิงใจ มองความปั่นป่วนตรงหน้าราวกับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่จู่ๆ เด็กสาวสวมหมวกก็หันกลับมามองเขาอย่างไม่ทันคาดคิด เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าตนเองถูกมองทะลุปรุโปร่ง

เขาไม่เห็นสีหน้าของเธอ แต่หัวใจกลับสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เริ่นเสี่ยวซู่ใช้งานคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานตามสัญชาตญาณ มีเสียงส่งมาจากพระราชวังว่า [หนึ่งในทักษะของเป้าหมายจะถูกเรียนรู้แบบสุ่ม]

“เรียนรู้แบบสุ่ม?”

[สุ่มได้รับทักษะอาวุธปืนจากฝ่ายตรงข้าม ต้องการเรียนรู้หรือไม่]

“เรียน!” พอเห็นว่าคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานหายไปแล้ว เขาก็รู้ได้ทันที ถ้าไม่เรียนทักษะตอนนี้ก็เท่ากับเสียเปล่าไปเลย

[เรียนรู้สำเร็จ ท่านชำนาญทักษะการใช้ปืนระดับสูงแล้ว]

เดี๋ยวๆ ฉันได้คัมภีร์ขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ ไหงถึงชำนาญทักษะการใช้งานอาวุธปืนระดับสูงได้ล่ะ อย่างมากก็ต้องได้เรียนแค่ทักษะขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ เริ่นเสี่ยวซู่ถามในใจ

[คัมภีร์คัดลอกมีสองแบบ แบบแรกคือคัมภีร์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งทำให้ท่านสามารถเรียนรู้ทักษะระดับต้นและระดับสูงได้ ประเภทที่สองคือคัมภีร์ขั้นสุดยอด ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถเรียนรู้ทักษะระดับไร้ที่ติได้ ทั้งท่านยังได้เลื่อนทักษะของตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่งไประดับสูงด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับพลังพิเศษจากเป้าหมาย] เสียงจากพระราชวังดังขึ้น

พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินว่าคัมภีร์สามารถเรียนรู้พลังพิเศษจากคนอื่นได้ก็ตะลึงไปทันที! จากนั้นก็นึกไปถึงเด็กสาวคนนั้นได้ จึงถาม “บอกหน่อยได้ไหมว่าเด็กสาวคนนั้นมีทักษะการใช้ปืนระดับไหน”

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถทราบข้อมูลได้]

“เธอชำนาญทักษะการใช้ปืนระดับไหน ไร้ที่ติเหรอ”

[ถูกต้อง]

……

คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานทำให้ผู้ใช้สามารถสุ่มคัดลอกทักษะระดับต้นหรือระดับสูงจากเป้าหมาย ขณะเดียวกัน คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นสุดยอด จะทำให้ทักษะตนเองเลื่อนเป็นระดับสูง และยังสามารถเรียนทักษะระดับไร้ที่ติได้ มิหนำซ้ำยังมีโอกาสเรียนรู้พลังพิเศษจากเป้าหมายอีก

ทักษะพวกนี้ล้วนถูกจัดการโดยพระราชวัง ตอนที่พระราชวังพูดถึงโอกาสสำเร็จอะไรนั่น เริ่นเสี่ยวซู่ที่คิดว่าตนมีโอกาสได้เรียนพลังพิเศษจากผู้อื่นก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย

เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนเคยคุยกันว่าพลังพิเศษแบบไหนดีกว่าพลังพิเศษแบบไหน บางคนก็เกิดมาเป็นนักสู้เลย ส่วนบางคนก็เกิดมาอ่อนแอกว่า

คนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนรกร้าง คิดว่าพลังพิเศษแบบโจมตีทรงพลังมากกว่า ขณะที่พลังพิเศษของเหยียนลิ่วหยวนขึ้นอยู่กับโชคลาภ เขาเลยไม่อาจร่วมการต่อสู้ด้วยได้ ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงยึดติดกับความคิดที่ว่าพลังพิเศษต่างกันแค่รูปแบบ ไม่มีเหนือกว่า ไม่มีด้อยกว่า

ตอนนี้กับพลังที่สามารถลอกเลียนแบบพลังคนอื่นได้ ยังต้องใครสูงใครต่ำอีกหรือ

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังคงรู้สึกข้องใจกับเด็กสาวสวมหมวกคนนั้นไม่สร่าง

ยามเริ่นเสี่ยวซู่ได้รับทักษะการใช้ปืนระดับสูง ความรู้จำนวนมากก็ไหลหลั่งเข้ามาในสมอง เหมือนว่ามันจะเข้ามาหลอมรวมกับสัญชาตญาณของเขาด้วยเลย

ความรู้ที่เขาได้ไม่ใช่แค่องค์ความรู้ประเภทของปืนและปืนรูปแบบต่างๆ การแยกส่วน การบำรุงรักษา และการใช้งานเท่านั้น มันยังรวมไปถึงการเล็งยิงตามสัญชาตญาณด้วย

เริ่นเสี่ยวซู่ถึงกับรู้ว่าปืนแต่ละประเภทมีแรงดีดเท่าไร ถ้ามีคนยื่นปืนมาให้เขาตอนนี้ ตราบใดที่ยังอยู่ในทักษะการใช้ปืนระดับสูง เขาก็สามารถใช้งานมันได้เหมือนมืออาชีพที่ฝึกฝนมาหลายปี

ส่วนความแม่นยำคาดคะเน ได้คะแนน 9.5 หรือมากกว่าในระยะหนึ่งร้อยเมตร ถือเป็นมาตรฐานของทักษะการใช้ปืนระดับสูง

เรื่องพวกนี้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับทำให้ยินดีจนเนื้อเต้น เพราะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีปืนสักกระบอก ยังมีที่ทำให้เขาประหลาดใจกว่าคือพระราชวังในจิตใจเขาประเมินทักษะการใช้ปืนของเด็กสาวว่าสมบูรณ์แบบ

เริ่นเสี่ยวซู่นึกภาพไม่ออกเลยว่าทักษะระดับปรมาจารย์จะยอดเยี่ยมขนาดไหน นี่ยังไม่นึกถึงตอนที่เขาสามารถเรียนได้เลยนะ

แต่ดันมีคนแบบเธออยู่ในวงดนตรี?

ดูเหมือนพวกกองกำลังส่วนตัวกับพวกนักดนตรีจะไม่รู้เลยว่าในกลุ่มตัวเองจะมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวดำรงอยู่ ซึ่งเริ่นเสี่ยวซู่เห็นแล้วว่าก่อนหน้านี้ทุกคนต่างปฏิบัติต่อเธออย่างธรรมดาทั่วไป

ส่วนเด็กสาวก็คงไม่ทราบว่าเริ่นเสี่ยวซู่ใช้วิธีการลึกลับเข้าถึงความลับของเธอ

เขาตัดสินใจได้ชาญฉลาดแล้วที่ไม่เข้าทำภารกิจกับกลุ่มแบบนี้ ขณะเดียวกัน เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกอิ่มเอิบสุดๆ ที่ได้ไปสอดรู้ความลับคนอื่นมา

“พี่ ทำไมจ้องหลังเธอเขม็งแบบนั้นล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนทักขณะยื่นหัวออกมาจากกระท่อม

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มถึงหู หันกลับมามองเหยียนลิ่วหยวน ขณะกำลังจะทำท่าสวมบทบาทเป็นพี่ใหญ่ ม่านประตูจากกระท่อมข้างๆ ก็ยกขึ้น เสียงหญิงสาวถาม “หลังใคร ไหน”

เหยียนลิ่วหยวนกับเริ่นเสี่ยวซู่ต่างชะงักกึก คนที่ออกมาจากกระท่อมข้างๆ คือเสี่ยวอวี้!

เหยียนลิ่วหยวนงุนงง “…พี่เสี่ยวอวี้ ทำไมพี่มาอยู่กระท่อมข้างๆ ได้ล่ะ”

เสี่ยวอวี้ลูบผมตัวเอง ยิ้มพูด “ฉันย้ายมานี่เองแหละ ต่อไปนี้จะได้เป็นเพื่อนบ้านพวกเธอไง”

“แล้วครอบครัวสามคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถาม “พวกเขาไปไหนแล้ว”

“ฉันสลับบ้านกับพวกเขาน่ะ” เสี่ยวอวี้ตอบ

เหยียนลิ่วหยวนดึงเริ่นเสี่ยวซู่เข้ามากระซิบ “พี่ พี่เสี่ยวอวี้ลงทุนก้อนใหญ่แล้ว เธอเคยอยู่บ้านอิฐเชียวนะ!”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไร ก้มหัว เดินกลับเข้ากระท่อมไป เหยียนลิ่วหยวนยิ้มให้เสี่ยวอวี้ ก่อนจะรั้งหัวตัวเองกลับไปในกระท่อมเช่นกัน

“พี่ พี่ยังซิงอยู่ใช่มะ” เหยียนลิ่วหยวนถาม

เริ่นเสี่ยวซู่จ้องเหยียนลิ่วหยวน และพูด “ลิ่วหยวน ไหนๆ นายก็ไม่เด็กแล้ว คงได้เวลาสอนนายเรื่องนี้แล้ว”

เหยียนลิ่วหยวนนั่งหลังตรงผึง ดูจริงจังสุดๆ “ได้ พี่ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามมาได้เล…”

ก่อนที่เหยียนลิ่วหยวนจะพูดจบ ก็โดนเริ่นเสี่ยวซู่ถีบไปนอนกองกับพื้นแล้ว แต่เหยียนลิ่วหยวนไม่ได้โกรธเลย กลับหัวเราะฮ่าๆ อยู่อย่างนั้น

“ปีกกล้าขาแข็งขึ้นเชียวนะ” เริ่นเสี่ยวซู่เอนตัวนอน แล้วว่า “พยายามอย่าไปยั่วโมโหพี่เสี่ยวอวี้ล่ะ แล้วก็อย่าพยายามจับคู่พวกเราด้วย พวกเราแค่เอาตัวให้รอดกันยังยาก จะเอาเวลาไหนไปห่วงคนอื่น”

“ได้” เหยียนลิ่วหยวนตอบอย่างเชื่อฟัง “แต่เธอให้มันฝรั่งแล้วก็ยากับเรา แถมยังเป็นห่วงพี่มากด้วย พี่จะทำเป็นไม่สนใจเธอจริงๆ น่ะเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูด “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือการรู้จักเผื่อแผ่และไม่รู้สึกละอายตัวเอง แต่ถ้ารู้สึกละอาย ก็จงโน้มน้าวบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เถิด!”

เหยียนลิ่วหยวน “???”

พอเริ่นเสี่ยวซู่พูด เหยียนลิ่วหยวนก็พร้อมจะรับคำสั่งสอน แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ เหยียนลิ่วหยวนก็ได้แต่นิ่งงันไป

บางที นี่แหละคือสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่เป็น

ในยุคสมัยแบบนี้ คนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะเอาตัวรอดได้เก่งกว่าคนอื่นมาก แต่เหยียนลิ่วหยวนไม่สนหรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นอย่างไร การที่ทุกวันนี้เริ่นเสี่ยวซู่คิดหยุมหยิมและระมัดระวังทุกฝีก้าว ก็ล้วนเป็นบทเรียนชีวิตจากรอยแผลมากมายที่เคยได้รับ

อย่างไรเสียเหยียนลิ่วหยวนรู้ดีว่า เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงมีอะไรบางอย่างอยากพูดซ่อนเร้นอยู่ในใจ

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset