the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 114 ฉีเทียนต้าเชิ่ง ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า

พอเจียงอู๋เริ่มจุดไฟ บรรดานักเรียกก็เข้ามามุงหาความอบอุ่นทันที ตอนนี้พวกเขาหนาวจนนิ้วเท้านิ้วมือแข็งไปหมดแล้ว!

ทันใดนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนสองคนเดินมาทางพวกเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้ามาใกล้ เสี่ยวอวี้ก็เอ่ย “ไม่” เสียงเย็นเยียบ

ชายวัยกลางคนทั้งสองกลับไปที่ที่ของตัวเองด้วยความไม่พอใจ สงสัยว่าทำไมชายหญิงถึงได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมเช่นนี้

“พี่เสี่ยวอวี้ดุดันจังครับ” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม ล้อเลียนน้ำเสียงเย็นเยียบของเสี่ยวอวี้ว่า “ไม่!”

“เธอจะไปรู้อะไร” เสี่ยวอวี้ยิ้มและกลอกตาใส่เขา “ครูที่ชื่อว่าเจียงอู๋นั้นดูเป็นคนดีและนิสัยไม่เลวเลย แต่เจ้าผู้ชายสองคนนั้นมีหน้ารอให้ผู้หญิงออกหน้าก่อนจะมาขอความช่วยเหลือตาม โคตรไม่เป็นบุรุษชาติสิ้นดี แถมเจียงอู๋ตั้งใจปั่นไฟด้วยมือตัวเองตั้งนานนมแล้ว ที่มาขอยืมไฟเราก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่นหรอก ส่วนคนอื่นน่ะ มีแต่จะรับผลประโยชน์จากแรงคนอื่นโดยไม่คิดจะออกแรงเพื่อชีวิตตัวเองด้วยซ้ำไป!”

ตอนที่เสี่ยวอวี้พูด เธอตั้งใจเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้นด้วย กลุ่มชายฉกรรจ์รอบๆ จึงหน้าม้านไป จากนั้นเธอก็หันมายิ้มให้เริ่นเสี่ยวซู่ แล้วว่า “ที่กล้าพูดเสียงดังเพราะมีเธออยู่หรอกนะ ว่าแต่เธอคิดไงกับสาวคนนั้นล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่งุนงง “พี่พูดอะไรอยู่เนี่ย”

“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อเลย” เสี่ยวอวี้หัวเราะคิกคัก “ถึงจะดูแก่กว่าเธอหน่อยก็เถอะ แต่แต่งภรรยาแก่กว่าชีวิตมีสุขนะ ขอแค่เธอเป็นคนดีก็พอแล้ว”

“ครับๆ พี่เสี่ยวอวี้” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “กินข้าวเถอะ”

ตอนนี้เจียงอู๋นั่งกับพวกนักเรียนที่กองไฟของเธอ เธอปลอบพวกเขาว่า “ทุกคนวันนี้นอนพักผ่อนกันเต็มที่เลยนะ ครูมีกิ๊บติดผมอยู่ เดี๋ยวทุกคนใช้เจาะแผลพุพองที่เท้าก่อนนอนนะ”

นักเรียนทุกคนเงียบไป นักเรียนหญิงผู้หนึ่งมุดหน้าลงแล้วว่า “ขอบคุณมากเลยนะคะคุณครู จริงๆ แล้วครูไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้เพื่อเราก็ได้ พวกเราไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแล้ว”

“เธอพูดอะไรน่ะ” เจียงอู๋ขัด “ครูเป็นครู ครูย่อมต้องพาพวกเธอไปป้อมปราการอย่างปลอดภัยให้ได้”

“ครูคะ หนูคิดถึงบ้าน…”

“หนูคิดถึงพ่อกับแม่จังเลยค่ะ ไม่รู้พวกท่านไปอยู่ไหนแล้ว…”

ยิ่งพูดออกพวกนักเรียนก็ยิ่งร้องไห้โฮ ตอนนี้ความเจ็บปวดจากภัยพิบัตินั้นระเบิดออกมาแล้วในที่สุด

พอมีคนเริ่มร้อง คนอื่นๆ ก็เริ่มร้องตาม ติดต่อกันไปทอดๆ

ผู้คนที่หลบหนีออกมาจากป้อมปราการต่างร้องไห้กันหมด ทุกคนอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ พวกเขาสูญสิ้นทุกอย่างแล้ว

มีแต่เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกที่กำลังอึ้งนิ่งอยู่กลางหมู่คนโศกา

“พี่ พวกเราต้องร้องด้วยไหมน่ะ” เหยียนลิ่วหยวนมองไปรอบๆ แล้วก็หันมาถามตาใส

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องร้องหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดดังออกมาจากทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา

พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนว่า “ดูสิ มีแสงไฟด้วย ต้องมีผู้รอดชีวิตแน่!”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แล้วก็ประหลาดใจไปที่เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งนำคนหลายสิบมา ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนอย่างตื่นเต้น “เห็นไหม ข้าบอกแล้วไง ยังไงข้าก็จะพาพวกเจ้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ได้แน่ นี่ไง”

เริ่นเสี่ยวซู่สับสนไม่น้อย คนพวกนี้น่าจะหนีมาจากป้อมปราการสินะ แต่ว่าทำไมถึงเพิ่งมาถึงล่ะ

ตอนที่ชายหนุ่มมาถึงกลุ่มใหญ่ ก็มีคนถามออกไป “พวกนายหนีมาจากป้อมปราการเหมือนกันเหรอ ฉันจำได้ว่าพวกที่ทิ้งท้ายโดนพวกแมลงประหลาดนั้นปิดทางไว้ไม่ให้หนีไม่ใช่เหรอ”

มีคนตอบ “ต้องขอบคุณเฉินอู๋ตี๋หรอก เขาเป็นคนช่วยเปิดทางหนีให้เรา อ้อใช่ เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษล่ะ!”

ชายหนุ่มนามเฉินอู๋ตี๋ (ไร้ผู้เทียม แซ่เฉิน) พูดอย่างยินดีว่า “เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว ฉีเทียนต้าเซิ่ง (ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า)[1] ต้องกำราบปราบมารร้ายทั้งหลายปกป้องปวงมนุษย์!”

เริ่นเสี่ยวซูคิดในพลัน เชี่ยไรเนี่ย! จากนั้นก็หันไปสังเกตเฉินอู๋ตี๋ดีๆ แล้วพบว่าบรรยากาศของเขาดูประหลาดชอบกล ที่บริเวณหน้าอกของชุดขาดวิ่นสีฟ้าขาว มีตัวประโยคเขียนไว้ว่า ‘โรงพยาบาลจิตเวชที่สามแห่งป้อมปราการ 113’

ฉิบ ผู้ป่วยจิตเวชเหรอวะเนี่ย

เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินฉายานามว่า ‘ฉีเทียนต้าเซิ่ง’ มาก่อน

ที่โรงเรียนมีหนังสือชุดชื่อว่าไซอิ๋วให้นักเรียนยืมไปอ่านได้อยู่ แล้วก็ยังมีร้านเหล้าก่อนที่จะโดนสั่งห้ามด้วย นักเล่านิทานที่ร้านเหล่านั่นชอบเล่าเรื่องจูล่งแห่งยุคสามก๊กฝ่าทัพโจโฉเจ็ดครั้งในยุทธการที่สะพานเตียงปันเกี้ยว แล้วก็ยังมีเรื่องของซุนหงอคงผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าที่บุกทำลายสวรรค์อีก

จางจิ่งหลินเล่าว่าสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน[2]นั้นเป็นสมบัติของมนุษยชาติ ยังมีวรรณกรรมที่ชื่อว่าความฝันในหอแดงกับซ้องกั๋งอีก แต่ว่านักเล่านิทานไม่เคยเล่าเรื่องความฝันในหอแดงเลย

เคยมีคนถามนักเล่านิทานว่า ทำไมเขาถึงไม่เห็นเล่าเรื่องความฝันในหอแดงเลย นักเล่านิทานยิ้ม แล้วว่าที่ไม่เล่าเป็นเพราะว่าเรื่องมันไม่น่าตื่นเต้นพอจะเล่า

ไม่กี่ปีก่อนหน้า เริ่นเสี่ยวซู่ชอบหอบเหยียนลิ่วหยวนไปฟังนิทานพวกนั้น แต่พอเหล้าถูกสั่งห้าม ชีวิตก็ยากลำบากขึ้น พวกเขาเองก็ไม่ทราบว่านักเล่านิทานหายไปไหนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ฟังนิทานอะไรอีก

ตอนนี้เองก็มีคนกระซิบคุยกับผู้ที่ยืนอยู่ข้างเฉินอู๋ตี๋ว่า “เขาหนีมาจากโรงพยาบาลบ้าเหรอ เขาเป็นหนึ่งในคนที่สมาคมตระกูลชิ่งจับไปสินะ”

ชายที่อยู่ข้างเฉินอู๋ตี๋กระซิบตอบ “คิดว่าเป็นงั้น เขาเป็นผู้อพยพที่สามารถเสกกระบองขึ้นมาในมือได้ เอาจริงๆ เขาทรงพลังมากเลยแหละ แต่เอาแต่พูดอยู่นั่นแหละว่าตัวเองเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ พวกเราก็ไม่รู้ว่าว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นน่ะ”

เอาตามตรง ถ้าไม่ใช่ว่าเฉินอู๋ตี๋เป็นผู้มีพลังพิเศษละก็ พวกเขาคงคิดว่าเฉินอู๋ตี๋เป็นผู้ป่วยจิตเวชไปแล้ว แต่ตอนนี้มีคนไม่น้อยที่กำลังสับสนงุนงง เริ่มเชื่อว่าเฉินอู๋ตี๋พูดจริงอยู่นิดๆ แล้ว แต่แน่นอนว่ายังคงคาใจอยู่อย่างนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่มองเฉินอู๋ตี๋อย่างสงสัย ตอนนี้เขาสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษทั้งนั้น แต่ระหว่างที่เฉินอู๋ตี๋กวาดสายตามองผ่านในฝูงชน จู่ๆ พอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ สีหน้าเขาก็กลับกลาย สายตาลุกโชนไปด้วยยินดีเป็นล้นพ้น!

“หลบทาง หลบทาง!” เฉินอู๋ตี๋เบียดตัวเองผ่านกลุ่มคนแล้วเดินมาหาเริ่นเสี่ยวซู่

เริ่นเสี่ยวซู่สังหรณ์ไม่ดีเลย เหยียนลิ่วหยวนกระซิบถาม “พี่รู้จักเขาด้วยเหรอ”

“ไม่รู้จักเฟ้ย!” เริ่นเสี่ยวซู่งงตาแตก

เฉินอู๋ตี๋เข้าใกล้เริ่นเสี่ยวซู่ และสุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าเริ่นเสี่ยวซู่ พร้อมสายตาที่จ้องมาราวกับกำลังทะลุร่างเริ่นเสี่ยวซู่ไป

“ท่านอาจารย์!” เฉินอู๋ตี๋ว่าอย่างประหลาดใจ

เริ่นเสี่ยวซู่ “???”

อาจารย์กะผีเอ็งสิ!

เฉินอู๋ตี๋หันไปหาคนที่เขาพามา “ข้าเจออาจารย์ของข้าแล้ว พวกเจ้าเชิญดูแลกันเองต่อเลย! ข้าจะพาท่านอาจารย์ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิม!”

ทุกคน “…”

หวังฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ พวกเขา หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงเขาจะยังไม่เข้าใจก็เถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เห็นสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็อดมีความสุขโคตรๆ ไม่ได้

แต่ตอนนั้นเอง เฉินอู๋ตี๋ก็หันมาหาหวังฟู่กุ้ยแล้วว่า “ตือโป๊ยก่าย เจ้าหัวเราะอะไร”

เสียงหัวเราะของหวังฟู่กุ้ยหายวับ “???”

เฉินอู๋ตี๋เมินเขาแล้วหันไปมองหวังต้าหลง จากนั้นก็ยิ้มพูด “ซัวเจ๋ง เจ้าก็อยู่ด้วยรึ ประเสริฐนัก!”

หวังต้าหลงงุนงง และพลันรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับบิดากลับกลายเป็นอื่นไป เดิมทีเป็นพ่อลูก ตอนนี้กลายเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์

“เชี่ยอะไรกันวะเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่พลันหดหู่ใจขึ้นมาอยู่หน่อยๆ นี่เขาต้องไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมจริงดิ!

จุดเปลี่ยนในชีวิต มักมาอย่างคาดไม่ถึง…

…………

[1] ฉีเทียนต้าเซิ่ง (齐天大圣) แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า เป็นฉายาของซุนหงอคง

[2] สี่สุดยอดวรรณกรรมจีน ประกอบไปด้วย สามก๊ก ซ้องกั๋ง ไซอิ๋ว ความฝันในหอแดง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset