the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 1 อาการป่วยที่ศีรษะ

ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู

“ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน

มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

เหยียนลิ่วหยวนส่ายหน้า พลางว่า “ไม่มี ทุกอย่างปกติ อืม อาการที่หัวพี่เป็นยังไงกันแน่เนี่ย ขนาดหมอในตัวเมืองยังวินิจฉัยอาการไม่ได้ สรุปพี่ป่วยเป็นอะไร”

“นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉันหรอก เรื่องที่ฉันต้องเจอไม่ใช่อาการป่วย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างหนักแน่น “เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ฉันจะไปออกล่า นายก็หลับสักงีบเถอะ ยังไงก็ตื่นไปโรงเรียนทัน”

“อือ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้าอึมครึม “แต่แดนรกร้างแบบนี้ จะเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร…”

“เพราะมันจะมีประโยชน์ในอนาคต” เริ่นเสี่ยวซู่ขัดเสียงเฉียบขาด

“ผมก็อยากไปล่าเหมือนกันอะ” เหยียนลิ่วหยวนเบะปาก

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ใครจะคอยเฝ้ายามตอนกลางคืน ฉันที่นอนสลบเหมือดต้องเป็นคนเฝ้าเองเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ลุกขึ้นยืน เตรียมออกไปตักน้ำใจกลางเมือง ทำตอนรุ่งสางแบบนี้อันตรายน้อยกว่า

เพราะช่วงรัตติกาล คือแดนป่าเถื่อนที่ไร้กฎใด

……

หมู่เมฆดำทมิฬลอยอ้อยอิ่งบนฟ้าโดยไม่คิดจะคลายตัว ฝนกรดตกลงมาจากเบื้องบน ถูกลมพัดปลิวปรอยตกตรงหน้าเริ่นเสี่ยวซู่

เริ่นเสี่ยวซู่นอนนิ่งบนพื้นกลางป่า ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าวันนี้โชคไม่ค่อยดีเลยเพราะฝนกรดตกมาก่อนที่เหยื่อของเขาจะปรากฏตัว

มีคนกล่าวไว้ว่าต้องระมัดระวังสัตว์ร้ายยามเคลื่อนไหวในแดนรกร้าง

แต่เริ่นเสี่ยวซู่กลับรู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่ได้พูดออกมาจนหมดสิ้น เพราะว่ายังมีอีกหลายอย่างมากมายที่สามารถฆ่าคนได้ในแดนรกร้าง หนึ่งในนั้นก็คือฝนกรดนี่

ถึงอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ถ้าวันนี้เขาไม่ได้อะไรติดมือกลับไป ตนกับเหยียนลิ่วหยวนต้องได้หิวตายก่อนที่จะได้ตายเพราะโรคร้ายจากฝนกรดแน่

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซูก็ได้ยินเสียงนกกระพือปีก เขาตาเบิกโพลง ขณะที่ลมหายใจยังคงจังหวะเดิมไว้

ไม่ไกลออกไปนัก เริ่นเสี่ยวซู่ใช้กิ่งไม้ค้ำหม้อเหล็กสีดำ และข้างใต้หม้อโรยไว้ด้วยเศษขนมปังดำ

นกใหญ่ตัวหนึ่งบินลงข้างหม้อ ก่อนจะกวาดสายตาแหลมคมไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง บอกตามตรง ขนาดของเจ้านกนี่ไม่เล็กไปกว่าตัวหม้อเลย

มันยืนนิ่ง ไซ้ขนตัวเอง เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงไม่ลงมือ รอต่อไปอยู่เช่นนั้น

ในที่สุดเจ้านกก็คลายความระมัดระวังลง ก่อนจะลอบเดินเข้าไปทางหม้อราวกับโจรผู้ร้าย

แต่ทันทีที่มันเข้าไปยังใต้ขอบหม้อ แล้วเตรียมจะก้มหัวลงไปจิกเศษขนมปังนั้น เริ่นเสี่ยวซู่พลันกระตุกเชือกในมืออย่างแรง เพียงชั่วพริบตา เด็กหนุ่มก็กระโจนไปยังหม้อราวกับลาป่าพยศ ก่อนที่เจ้านกตัวโตจะได้ทันพลิกหม้อออก เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีกับร่างเอาไปทับหม้อไว้!

“ฟู่!”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารอมาทั้งคืนเพื่อคอยจับนกกระจอกตัวนี้ และในท้ายที่สุดวันนี้ตนเองก็ไม่ลงแรงไปเสียเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสแบบนี้ที่หาได้ยากมากด้วย

เสียงกุกกักดังมาจากใต้หม้อ เจ้านกกระจอกกางปีกแข็งของตนกระแทกหม้ออย่างไม่ยินยอม ทันใดนั้นเองเสียงเคาะระฆังบอกเวลาก็ดังมาจากป้อมปราการผู้อพยพ

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองทางตัวเมือง ก่อนจะรำพึงรำพันในใจว่าเมื่อไหร่ตนเองกับเหยียนลิ่วหยวนจะสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในป้อมได้บ้าง

สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว คนที่อยู่ในป้อมปราการช่างโชคดีนัก ไม่จำเป็นต้องออกมาเผชิญอันตรายในแดนรกร้าง

ทว่า ป้อมปราการนั้นใช่ว่าจะสามารถเข้าไปได้ตามใจ

ตอนนี้การเคลื่อนไหวใต้หม้อสงบลงมากแล้ว เขาถอนหายใจ ก้มตรวจสอบดูว่าผ้าขี้ริ้วที่มือนั้นพันดีแล้วหรือยัง จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ค่อย ๆ ยกหม้อออกนิดหน่อยให้เป็นช่อง แล้วสอดมือเข้าไป พยายามคว้าจับขาของเจ้านกกระจอกตัวโตนี่

อย่างไรเสีย ชีวิตใช่ว่าจะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่สอดมือเข้าไป ก็ต้องร้องโอ้ย

เริ่นเสี่ยวซู่เอามือออกมาดู โลหิตไหลออกจากง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ผ้าขี้ริ้วนั่นกันจะงอยปากอันแหลมคมของเจ้านกกระจอกไม่ได้เลย

เริ่นเสี่ยวซู่หัวเสียแล้ว เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตสกปรกของตนมาพันรอบมือ แล้วจ้วงเข้าไปในหม้ออีกครั้ง คราวนี้คว้าคอของเจ้านกกระจอกไว้

เขาดึงเจ้านกกระจอกออกมาเหน็บเข้าไปในอ้อมแขน ออกแรงบิด จากนั้นคอเจ้านกกระจอกก็พับหัก ร่างแน่นิ่ง

ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกเจ็บวูบที่ตรงหน้าอก กรงเล็บนกกระจอกจิกเข้ามาจนเสื้อเกิดเป็นรูหลายจุด

ชั่ววินาทีนั้นเอง จิตใจของเขาพลันว่างเปล่า ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น เสียงระฆังทองแดงหนาหนักดังหง่างเหง่งในหัว จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตกวูบสู่ความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล……

ไม่นะ! เมื่อก่อนอาการนี้ต้องเกิดเฉพาะตอนเที่ยงคืนสิ ทำไมรอบนี้ถึงมาเร็วกว่าเดิมได้!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามี ‘อาการป่วย’ ทุกคนในเมืองต่างรู้กันทั้งนั้นว่าหัวเขามีความผิดปกติ บางครั้งอาการปวดศีรษะก็ปะทุออกมาอย่างไม่มีเวลาที่แน่นอน

มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่เท่านั้นที่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความเจ็บปวด หากแต่เขาต้องเผชิญกับสภาวะแห่งความสับสนยุ่งเหยิง

เดี๋ยวนะ รอบนี้ไม่เหมือนเดิม กลุ่มหมอกทมิฬในจิตใจจางลงไป ก่อนเผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ หลังหนึ่ง!

เริ่นเสี่ยวซู่พลันลืมตาโพลง พยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมได้สติไวขนาดนี้ล่ะ”

เดิมทีเขากะจะลองไปสำรวจพระราชวังใกล้ๆ เสียหน่อย แต่เขาก็รู้ดีว่าการนอนนิ่งไร้สติในป่า เท่ากับนอนตายในป่านั่นแหละ ตอนนั้นเขาต้องกลับไปเมืองที่ตั้งอยู่นอกป้อมปราการ 113 ก่อนที่ฝนกรดจะเทลงมาจากฟ้าห่าใหญ่!

เริ่นเสี่ยวซู่มัดเท้าของนกกระจอก แล้วเอาสะพายไว้ที่ไหล่ ก่อนยกหม้อใหญ่พลิกมันมาสวมบนหัว จากนั้นก็ออกตัววิ่ง แปะ แปะ เสียงฝนเริ่มกระทบกับตัวหม้อ

และแล้วหม้อก็กลายเป็นร่มไป

ก่อนที่เขาจะได้วิ่งออกไปไกล ก็มีเงาร่างหนึ่งถือมีดกระดูกบังทางเขาไว้ “เอาเหยื่อที่แกล่าได้มะ…”

ก่อนที่คนผู้นี้จะพูดจบ เขาก็เห็นหม้อใหญ่พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้เรื่อยๆ จนกระแทกใส่หน้าเขา!

“เชี่ย!” โจรผงะถอยหลัง ไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะโจมตีออกมาได้รวดเร็วขนาดนี้ แถมยังทรงพลังมากด้วย!

จากนั้นเขาก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่เอาหม้อลง แล้วเหวี่ยงกลับขึ้นไปสวมบนศีรษะต่างร่ม การกระทำลื่นไหลไร้รอยต่อ…เจ้าโจรยังไม่ทันจะล้มลงกับพื้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็วิ่งออกไปไกลแล้ว!

เจ้าโจรนอนนิ่งกับพื้น ใบหน้าหันมองท้องฟ้า ฝนกรดตกลงมากระทบใบหน้าจนเจ็บยิบๆ มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย

ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องเปิดปากส่งเสียงพูดคุยอะไรกันหน่อยไม่ใช่เหรอ เจ้าหนุ่มนั่นเจอสถานการณ์แบบนี้กี่ครั้งกัน ถึงได้ลงมือตามสัญชาตญาณได้เร็วทันควันขนาดนี้!

มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเจ้าหนุ่มนั่นย่างเข้ามา!

เจ้าโจรรีบลุกขึ้นนั่ง หันขวับไปมอง ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มเดินกลับมาหาตน!

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้จะกลับมาหรอก แต่เขาได้ยินเสียงดังก้องมาจากพระราชวังในจิตใจที่ชัดแจ้งเต็มสองรูหูมาว่า  [ภารกิจ : ให้เหยื่อที่ล่ามาได้กับคนอื่น]

เสียงใครกัน เริ่นเสี่ยวซู่กลับหลังหัน และเดินกลับไปยังเจ้าโจรอย่างไม่แน่ใจเท่าไรนัก

เจ้าโจรพูดอย่างตระหนกตกใจ “มาคุยกันก่อน…เฮ้ แบบนี้ไม่ถูกนะ ฉันเป็นเหยื่อ…”

เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตาสำรวจเจ้าโจร รอบ ๆ ไม่มีคนอื่นอยู่เลย

“อยากได้นกกระจอกนี่เหรอ” เริ่นเซี่ยวซู่ถาม

เจ้าโจรตาทอประกาย “อยากสิ!”

“งั้นเอาไป” เริ่นเสี่ยวซู่โยนร่างนกกระจอกใส่อ้อมแขนคนผู้นั้นโดยไม่ได้อธิบายอะไรออกมา

เสียงเรียบนิ่งไม่คุ้นหูดังขึ้น [ภารกิจสำเร็จ รางวัล : คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน ท่านสามารถใช้เพื่อคัดลอกทักษะจากผู้อื่นได้]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป รู้สึกว่าในห้วงสำนึกปรากฏคัมภีร์หนังขึ้นมาม้วนหนึ่ง!

คัมภีร์คัดลอกทักษะที่ไว้ใช้ในการคัดลอกทักษะจากผู้อื่น อย่างพวกทักษะการล่า การเอาชีวิตรอด หรืออะไรพวกนั้นน่ะนะ

เจ้าโจรกอดนกกระจอกแน่น และแสดงความสำนึกขอบคุณ “นายเป็นคนดีจั…”

ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เริ่นเสี่ยวซูก็คว้าซากนกกระจอกกลับไป และเดินหนีออกมา

เจ้าโจร “???”

เขามองไล่หลังร่างเริ่นเสี่ยวซู่ที่รีบร้อนพุ่งหายไปในหมู่แมกไม้…เชี่ยนี่แม่*อะไรวะ! เชี่ยอะไรเนี่ย

Related

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset