The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 16 เจอหนูกลายพันธ์ที่มีพลังธาตุแล้วสิ

ตอนที่16 เจอหนูกลายพันธ์ที่มีพลังธาตุแล้วสิ
“โกร้วววว!” เจ้าดาบน้อยพุ่งไปทางร้านสะดวกซื้อคำรามลั่นเพลิงอเวจีทะลักออกมาจากปากพร้อมที่จะโจมตีเต็มกำลังทุกเมื่อ
“โคร่ม!” เจ้าดาบน้อยกระโดดทะยานไปเหยียบหนูกลายพันธ์สองตัวแล้วเปิดปาก
“ฟูวววว” เพลิงอเวจีย่างหัวของหนูกลายพันธ์ทั้งสองตัวทำให้พวกมันทั้งสองแทบจะตายในทันทีในขณะเดียวกัน
“ฉัวะ ฉึก ฉึก ” เบลซตวัดง้าวออกไปปาดคอหนูกลายพันธ์หนึ่งตัวและเรียกดอกเถาโลหิตออกมา 4 เถา 2เถาแทงไปที่หนูกลายพันธ์อีกตัว ส่วนอีก 2 เถาก็เก็บหนามแหลมๆแล้วก็พันโอบร่างของเอลลี่ก่อนที่จะอุ้มขึ้นมาบนตักของเบลซ
“หนูกลายพันธ์(ขาว) 2ตัวถูกสังหารได้รับเหรียญชีวิตx1”
“ซีฟอสสังหารหนูกลายพันธ์(ขาว) 2ตัวได้รับเหรียญชีวิตx2”
“ถอย!” เบลซบอกเจ้าดาบน้อยมันก็รีบกระโจนออกไปแล้วก็มุ่งหน้าไปทางหอพักชายต่อ
“นี้รอด้วยสิ”
“ช่วยพวกเราด้วย”
“ช่วยยยด้วยยย”
เหล่านักศึกษาที่ถูกหนูกลายพันธ์ไล่ล่าตอนแรกพวกเขาคิดจะใช่เอลลี่ช่วยในการเอาชีวิตรอดของพวกเขา  พอเห็นว่าเบลซคว้าทางรอดของพวกเขาไปและดูท่าช่วยได้มากกว่าเอลลี่อีกเลยตะโกนร้องของความช่วยเหลือและวิ่งตามเบลซ
แต่ไหนเลยมนุษย์ธรรมดาสิ่งมีชีวิตสีขาวระดับ1จะวิ่งทันเบลซที่ขี่เจ้าดาบน้อยทัน
“ฉันขอโทษด้วยนะ แต่ว่าพวกเจ้าลากสัตว์อสูรมาเกือบทำเพื่อนฉันตายไหนเลยข้าต้องช่วยพวกเจ้า!”
“ไม่ ไม่ อย่าพึ่งไปอ๊ากกกก”
“กลับมาช่วยฉันก่อนอ๊ากกกกก”
เบลซมองไปที่นักศึกษาที่พยายามดิ้นรน เขาขบฟันถึงแม้เขาจะโกรธจริงๆที่ลากพวกหนูกลายพันธ์ไปให้เอลลี่แต่ว่าถ้าทำได้เขาก็อยากจะช่วยแต่ก็มีแค่เขาคนเดียวกับเจ้าดาบน้อยตัวเดียวจะมานั่งช่วยทุกคนก็ไม่ได้แล้วก็หลังวันแห่งหายนะพวกคนที่เห็นแก่ตัวเพื่อให้ตัวเองรอก็มีเยอะถ้าเอาแต่ช่วยโดยไม่ระวัง มันอาจจะสร้างปัญหาให้ตัวเองได้
พอออกมาได้ระยะนึงก็สลัดพวกหนูกลายพันธ์ทิ้งได้เอลลี่อยู่ในอ้อมกอดเบลซกำลังหน้าแดงก่ำถามกลับมาด้วยความแปลกใจ
“นี่ๆ นายมาได้ยังไง”
“บังเอิญหนะบังเอิญ”
“บังเอิญเนี่ยนะ ตอบอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่รึไง? ฉันเกือบตายแล้วเลยนะ นายไม่รู้หรอว่าฉันกลัวแค่ไหน”
เอลลี่มองไปที่เบลซด้วยตาแดงๆ หยาดน้ำเริ่มซึมออกจากหางตาของเธอเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งถึงแม้ว่าเธอจะแข็งแกร่งแต่ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงคนนึง ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นหละก็โดนรุมแค่2-3ตัวหละก็คงจะตายเพราะกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ผมขอโทษๆ อย่าทำหน้าแบบนี้เลยนะ” เบลซก็ทำอะไรแบบนี้ไม่ค่อยถูกเหมือนกันแต่ว่าเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเธอพลางเอามือข้างหนึ่งมาแตะที่หลังหัวอย่างแผ่วเบาแล้วดันเข้ามาในอ้อมอกของตัวเองอย่างนุ่มนวลเพื่อบรรเทาความหวาดผวาใจจิตใจของเธอ
ไม่นานเอลลี่ก็หยุดร้องและกลับมาตั้งสติใหม่เดิมเธอก็เป็นคนที่เข้มแข็งอยู่แล้วหลังจากที่นึกย้อนกลับไปเธอก็พูดว่า
“นี้ไปกลับช่วยเพื่อนของฉันด้วยไหม?”
“อะไรนะเพื่อนเธอ?” เซียล์ทวนคำถามด้วยความอื่ออึงเพราะมันไม่ได้อยู่ในแผนของเขา
“คงไม่ได้ในตอนนี้หรอกแผนของฉันมันไม่ได้คิดมาช่วยคนได้เยอะขนาดนี้”
เอลลี่ก็เขาใจเหตุผลของเบลซแต่ว่าเธอก็ยังขบฟันแล้วพูดอย่างดื่อดึง “ไม่ได้จริงๆหรอถ้ามีคนเพิ่มเราก็มีคนช่วยเพิ่มนะ”
เบลซคิดเพราะถ้ามีคนเพิ่มมันก็ช่วยงานของเขาได้ตอนยึดฐานแต่ถ้าเกิดว่าไม่หละจากช่วยงานจะกลายเป็นเพิ่มภาระและการเอาชีวิตรอดของเขาก็จะยากขึ้นด้วยแต่ยังไงการพัฒนาฐานก็ต้องการคนเป็นจำนวนมาก หลังจากช่วยเพื่อนๆของเขาเสร็จถ้าโชคดีสถานการณ์เป็นใจเขาก็อาจจะค่อยลงมือช่วย แต่เขาคงต้องปรับแผนของเขา
ในขณะที่เบลซคิดเอลลี่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรเพิ่มเพราะสิ่งที่เธอขอมันก็มากถึงมากเกินไปเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศของทั้งสองกลายเป็นเงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายทั้งสองข้าง
ขณะนั้นเองเบลซมองไปข้างหน้าในที่สุดเขาก็มาถึงถนนบล็อกที่2
หอปี1เบลซมองหาหมายเลขตึกที่เพื่อนที่เพื่อนของเขาอยู่ไล่ไปจากต้นถนนยันท้ายท้ายถนน1,2,3,4………11,12,13
“เกือบท้ายแหนะซวยจริงๆ”
ถนนสายนี้มีแค่ทางเดินแคบๆ สามารถเดินผ่านเข้าได้เพียงครั้งละไม่กี่คนเท่านั้น ด้านข้างล้อมรอบไปด้วยตึกทั้งสองข้างทาง มันมีหนูกลายพันธ์พยายามพังประตูเหล็กที่ปิดตึกไว้และบางส่วนก็พยายามหาทางปืนไปเข้าทางหน้าต่าง
ทันทีที่พวกเบลซมาถึงหน้าถนนก็ดึงดูดความสนใจของพวกมันในทันที แน่นอนว่าเขาตวัดง้าวกรีดนภาส่งหัวของพวกมันบินออกไปด้านข้างเรื่อยขณะที่แหวกทางไปข้างหน้า ขนาดตัวของเจ้าดาบน้อยก็เป็นตัวช่วยอย่างดีทำให้ไม่มีหนูกลายพันธ์ตัวไหนสามารถลอบโจมตีเขาจากด้านข้างได้เลย
“นี่จริงๆแล้วนายแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรอ” เอลลี่คิดในใจด้วยความเหลือเชื่อครั้งล่าสุดที่เบลซซ้อมกับเธอถึงแม้ว่าเชิงการต่อสู้จะเข้าขั้นแต่ว่าทั้งแรง พละกำลัง ความเร็ว ประสาทสัมผัสและความเร็วในการตอบสนองอยู่ในระดับที่ห่วยเอามากๆ
“นี้ๆนายไปซุ่มฝึกมากตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ” เอลลี่อดใจไม่ได้จนต้องถาม
“ก็นะ แหะๆ” เบลซตอบด้วยด้วยเสียงแห้งๆ
“แหะๆอะไรกัน มีความลับกับฉันงั้นหรอ!”
“ทำไมถามอะไรแปลกๆ หละครับ”
“แปลกตรงไหน- อึ๊ยไอบ้า!” เอลลี่พูดไปหน้าแดงกำไปพลางหลบหน้าถ้ามีคนอื่นเห็นแบบนี้หละก็คงคิดว่าทั้งสองคนกำลังคบกันอยู่แน่ๆ
ในที่สุดเบลซก็กวาดล้างหนูกลายพันธ์ในถนนจะเหลือแค่กลุ่มสุดท้าย
แต่ว่าเบลซกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปข้างหน้าเขาเห็นหนูกลายพันธ์ตัวหนึ่งตัวของมันใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยขนสีเทาของมันเปียกชุ่มเหมือนพึ่งขึ้นมาจากน้ำ
ตาของมันเป็นสีครามเหมือนอัญมณีเม็ดงาม กรงเล็บและฟันของมันดูเรียบเนียนเหมือนสายวารีไหลรินแต่ว่าซ้อนไปด้วยความคมกริบอย่างไม่น่าเชื่อ มือทั้งสองข้างของมันกำลังถือศีรษะของมนุษย์และก้มหน้าลงแทะเหมือนกับแทะเมล็ดธัญพืช
“สัตว์อสูรที่มีพลังธาตุงั้นหรอ?” สีหน้าของเบลซเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
.
.

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น “พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset