The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 55 ได้ง้าวใหม่แล้วสิ

The Great Geneticist in Apocalypse
 
ตอนที่55 ได้ง้าวใหม่แล้วสิ
 
เช้าวันใหม่แสงอาทิตย์แรกแย้มสู้ขอบฟ้าของวันแทนที่ความมืดมิดยามรัตติกาล
 
วันนี้เบลซก็ยังคงตื่นแต่เช้าเข้าอาบน้ําก่อนจะออกมาข้างนอกบ้าน
ที่ลานบ้านเบลซมองไปที่ไข่ยักษ์สีส้มอมแดงเขาลูบมัน เบาๆก่อนจะไปที่ร้านตีเหล็ก
 
“มาแล้วเรอะ อะนี้ง้าวที่เธอฝากไว้” โฮมุนครูส ช่างตีเหล็กกล่าวแล้วยกกล่องไม้ขึ้นมาบนชั้นวาง แล้วก็เปิดกล่องข้างในถูกห่อด้วยผ้าขาวอีกที
 
ช่างตีเหล็กเปิดผ้าที่ห่อออกปรากฏง้าวกรีดนภาด้ามสีดํามันเงาแวววาว ตัวใบง้าวเป็นสีส้มปนน้ําตาลความง้าวเป็นสีแดงแผ่รังสีอุ่นๆออกมา
 
ช่างตีเหล็กยิ้มอย่างภูมิใจแล้วกล่าวว่า “นี้คือง้าวประกายเพลิง อาวุธเขียวอ่อนธาตุไฟ ระดับ12 ใช้มันให้ดีหละ”
 
“ขอบคุณครับ” เบลซยิ้มอย่างดีใจก่อนจะหยิบง้าวประกายเพลิงมาตรวจสอบ
 
ง้าวประกายเพลิง อาวุธเขียวอ่อน ระดับ12
 
เอฟเฟค
 
ประกายเพลิง เพิ่มพลังโจมตีธาตุเพลิง10%
เจาะเกราะ ถ้าโจมตีใส่เปลือก เกล็ดหรือกระดอง จะมีอนุภาพเจาะทะลวง+10%
 
“ดีจริงๆ ฮืมฮืมฮืม” เบลซกอดง้าวด้วยความรักแล้วเก็บเข้าไปในช่องเก็บของ
“ตื่นเช้าจังนะ” เสียงดังมาจากด้านหลังเบลซหันกลับไป เห็นเอลลี่ในชุดกีฬาทักด้วยสภาพเหงื่อซก
 
“ไปซ้อมมาหรอ?”
 
“แล้วคิดว่าฉันไปทําอะไรมาหละ ตัวเปียกซะขนาดนี้?”
 
“ลื่นตกคลอง” เบลซตอบด้วยท่าทางพูดที่เล่นทีจริง
 
“ไอบ้าาา! ฉันไม่คุยด้วยแล้ว” เอลลี่ทําหน้างอนๆก็จะกลับไปที่บ้านพักผู้หญิง
 
“ฮา! ฮา! ฮ่า! ขี้งอนจังเลยนะเธอนี้” เบลซอดไม่ได้ที่จะขํา แต่ว่าด้วยท่าทางของเธอมันดูน่าแกล้งจริงๆ
 
“อะไรนะฮะ ฮึ้ยยย ฉันจะไม่คุยด้วยแล้ว” เอลลี่หน้าแดงหันกลับมาตอบด้วยโกรธปนกับอะไรที่บอกไม่ถูกก่อน จะเปิดประตูเข้าไปในบ้านพัก
“ต้องไปปลูกเพื่อนๆแล้วสิ” เบลซคิดก่อนจะกลับไปปลุกชิ้นที่นอนยังอยู่บนฟูก
บ้านพักผู้หญิง
 
“อะไรของเขานี้ทําไมชอบยียวนกวนประสาทฉันตลอดเลย!” เอลลี่กําลังอารมณ์เสียพลางบ่นให้เพื่อนๆของเธอฟังด้วยท่าทางน่ารัก
 
“ยอมรับความจริงไปก็ได้มั้งง ว่าชอบเขาใช่ม่ะ” เซลินถามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
 
“มะมะมะไม่ใช่ซะหน่อย” เอลลี่หน้าแดงกว่าเดิมพูดถึง
 
“สรุปว่าเธอชอบเขาหรือไม่ชอบเขากันหละไม่เคยได้ยินหรอว่ายิ่งเกลียดยิ่งรักนะ” เอมิเลียพูดด้วยความกรุ้มกริ่ม
 
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมต้องรู้สึกอะไรแบบนี้” เอลลี่พูดด้วยท่าทางจอยๆก่อนจะสลัดความรู้สึกแปลกตอนนี้ออกไปเหลือเพียงแค่ความรู้สึกลึกลับที่สลักอยู่ ในส่วนลึกๆของจิตใจแล้วไปอาบน้ํา
 
“แต่ถ้าเธอไม่ชอบเขาหละก็ฉันจะแย่งเขามาเอง” เมิ่งหยิงหยิงคิดในใจก่อนที่จะไปทําอาหาร
“มีคู่แข่งเพิ่มมาอีกคนแล้ว” เนี่ยนโหยวโหยวคิดในใจ
หลังจากนั้นผ่านไปสองชั่วโมงเนื่องจากไม่อยากรับประทานอาหารที่พื้นเลยตกลงหันใหม่ว่าให้บ้านพักที่ยังไม่มีใครอยู่เป็นห้องกินข้าวและห้องประชุมชั่วคราว
“โทษที่ที่ให้รอนะ” เมิ่งหยิงหยิงเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวต้มปลาหม้อใหญหม้อนึ่ง
 
“มีปลาด้วยหรอ?” บางคนถามด้วยความสงสัย
 
“พอดีว่าฉันไม่อยากซ้อมเป้านิ่งหน้าก็เลยฝึกยิงปลาในแม่น้ําแทนก็เลยได้มาอย่างนี้”จางมู่พูดเขาตื่นตั้งแต่เช้าไปซ้อมมธนู แต่ว่าไม่อยากเสียเหรียญชีวิตแล้วก็อยากกินอะไรที่มีประโยชน์ด้วยพอดี เห็นปลาในแม่น้ําพอดี ก็เลยคิดว่ามันเข้าท่า ได้ฝึกไปด้วยได้อาหารด้วยแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
 
“งั้นขอบใจมาก” เพื่อนๆกล่าว
 
“แล้ววันนี้เราจะทําอะไรกันดีหละ”
 
“ตามแผนนั้นแหละ ชินสร้างแนวป้องกัน(กําแพงหนาม) อิฟฟรากับอิโนะช่วยกันตัดไม้ขุดหินจะว่าไปพวกนายมีอุปกรณ์ไหม?” เบลซเอะใจขึ้นมาได้เลยถาม
 
“เออโทษทีนะแต่ว่าเราไม่มีหนะ แฮะแฮะ” อิฟฟระตอบ
“งั้นพวกนายหาพวกผักผลไม้ในเขตนี้ก็แล้วกันส่วนเมิ่งหยิงหยิง เธอปลูกข้าวพลังงานสูงนะปลูกไว้ตรงลานบ้านพักผู้หญิงก่อนก็ได้
 
“อืม งั้นไปหละนะ จะว่าไปเรียกฉันว่าหยิงหยิงก็ได้นะ” เมิ่งหยิงหยิงทําท่าทางนารักบิดไปบิดมาก่อนจะรีบกินข้าวต้มปลาแล้วก็รับต้นข้าวพลังงานสูงมาก่อน จะไปหยิบพลัวเล็กแล้วก็เริ่มปลูก แต่ก็เอะใจขึ้นแล้วถามเบลซว่า “แล้วมันไม่ใช่ดินเหนียวหรอ?
 
“ใช้ดินเหนียวก็ดี แต่ว่ามันเป็นพืชกลายพันธ์ ขอแค่ดินอุดมสมบูรณ์ก็พออีกอย่างตรงนั้นเป็นลานบ้านปลูกแค่ชั่วคราวไปก่อนก็พอ เดี๋ยวพอหาดินเหนียวได้แล้วค่อยย้ายไปปลูกที่อื่น”
 
“อื้อ” เมิ่งหยิงหยิงพยักหน้าก่อนจะจากไป
 
“งั้นฉันไปแล้วนะ” รินพูดก่อนจะตามเมิ่งหยิงหยิงไป
 
“ส่วนเอมิเลียเธอช่วยนับของที่เก็บมาเมื่อวานทีนะ ให้โหยวโหยวกับอี้หนานช่วย”
“อ๋อ ไว้ใจได้เลยค่ะ” เอมิเลียพูดขณะที่เนี่ยนโหยวโหยวตีอกตัวเอง
 
“ส่วนจางมู่ นายช่วยดูฐานก็แล้วกันนะถึงจะปลอดภัย แต่ว่านายก็สามารถหาคริสตัลจากสัตว์อสูรที่เข้ามาใกล้ๆได้ และก็ฝากหาปลาด้วยหละ”
 
“อะ แฮะวันนี้ฉันจะต้อเรียนทักษะจากไอนักธนูนั้นให้ได้” จางมู่กําหนดเป้าหมายไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะต้องผ่านการทดสอบของโฮมุนครูสนักธนูและได้เรียนทักษะกับเขา 
“เอาหละงั้นพวกเราไปสํารวจกันเถอะ” หลังจากกินข้าวต้มเสร็จเบลซก็ออกไปสํารวจที่จริงเขาอยากจะกลับไปสํารวจที่เมืองแต่ว่าเจ้าดาบน้อยกําลังวัฒนาการอยู่ตอนนี้ ก็เหลือแค่สเกียของเรย์ลินตัวเดียวที่ขี่ได้แล้ว เขาก็ไม่อยากเอารถบัสไปเพราะว่ามันเสียงดังแล้วก็ดึงดูดความสนใจมากไป เนื่องจากตอนนี้ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วว่าพลังไฟฟ้าไม่สามารถสร้างด้วยวิธีปกติอีกต่อไป เสียงที่ดังจะทําให้คนหันมามอง ต่างกับขี่สัตว์อสูรถึงแม้อาจจะดูสะดุดตามากกว่าแต่ว่ามันก็สามารถเข้าไปแบบเงียบๆโดยที่ไม่ค่อยมีคนรู้ได้
 
“งั้นวันนี้เราสํารวจรอบๆกันเถอะวันนี้สํารวจรอบๆแล้วก็หาคริสตัลมาพัฒนาคนอื่น”เบลซพูด
 
“แล้วเราจะแยกกันหรือยังไง” เรย์ลินถาม
 
“เอาแบบเดิมก็ได้ เรย์ลินไปกับสเกีย เอาเซลินไปด้วยก็ได้ มีนายกับเจ้าตูบคงไม่มีปัญหาอีกอย่างนี้เป็นตอนเช้าไม่น่าจะเจอสัตว์อสูรสีเขียวอ่อนหรอก”
 
เรย์ลิ่นขมวดคิ้วก่อนจะถาม “แสดงว่านายเจอมันเมื่อคืน?”
 
“ใช่ แต่ว่าฉันฆ่าไปแล้วพื้นที่เดียวกันไม่ควรจะมี มากนักในเวลาแต่ระวังตัวหน่อยก็ดี กลับมาเจอกันราวๆเที่ยงนะ”
 
“งั้นไปหละนะ เซลิน ขี่หลังสเกียไว้ดีๆหละ”
 
“จ้าที่รัก” เซลินขี่หมาป่าสีดําก่อนจะจ้องตาไปที่เอลลี่อย่างมีนัยยะ “โชคดีนะ”
 
“ฉันไปนะโชคดีหละเพื่อน” เรย์ลินตอบแล้วคู่รักกับเจ้าตูบก็ไปสํารวจทางหนึ่ง
 
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ” เบลซพูดแล้วก็ไปสํารวจอีกทางกับเอลลี
 
“อื้อ!” เอลลี่รู้สึกร่าเริงอย่างบอกไม่ถูกและเดินตามเบลซไปด้วยรอยยิ้ม
 
“แกรกๆ แกรกๆ” ทั้งสองเดินเลาะเข้าไป ยังไม่เจออะไรนอกจะต้นไม้และต้นหญ้าต่างๆ
 
“นั้นมันอะไรหนะ” เอลลี่ถามด้วยความสงสัยก่อนจะชี้ไปที่ผลไม้ลูกหนึ่ง
 
“นั้นก็แค่ส้มธรรมดาหนะแต่ว่าเอากลับไปปลูกที่ฐานดีกว่า”
 
“ใช่ม่ะ” เอลลี่ตอบอย่างร่าเริงก่อนจะพุ่งไปเก็บผลส้ม
 

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น “พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset