The Overlord of Blood and Iron – ตอนที่ 35: อัจฉริยะที่ไม่ค่อยสมบูรณ์กับบางสิ่งที่สมบูรณ์

ตอนที่ 35: อัจฉริยะที่ไม่ค่อยสมบูรณ์กับบางสิ่งที่สมบูรณ์

 

หลังค่ำคืนแห่งการพูดคุยจบลง รุ่งอรุณแห่งเช้าวันใหม่ก็มาเยือนในที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ร่วมฝึกฝนกันมาตลอดทั้งสัปดาห์ การเริ่มต้นของวันใหม่ยังดำเนินไปตามปกติและไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ

 

โดยปกติแล้วทีมพิชิตจะทานอาหารเช้ากันทันทีที่ตื่น จากนั้นโพดอลส์กี้จะทำการขานชื่อนักผจญภัยเพื่อตรวจสอบสุขภาพโดยรวมของพวกเขา

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกคนต่างมีร่างกายที่แข็งแรงและพร้อมเริ่มต้นวันใหม่

 

หนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง คังชอลอินและโดเรียนได้ย้ายไปยังสถานที่ที่เงียบสงบกันเพียงลำพัง

 

หรืออีกนัยหนึ่งพวกเขากำลังทำการฝึกแบบส่วนตัว

 

เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้มากขึ้น คังชอลอินตัดสินใจมอบบทเรียนแก่โดเรียนเป็นการส่วนตัวโดยเฉพาะ มันคือส่วนหนึ่งของการกระทำที่ตั้งใจจะแยกโดเรียนออกห่างจากคนสารเลวอย่างรอตส์ไชลด์เมื่อสงครามแร็คนาร็อคมาถึง

 

โดเรียนมีความภักดีต่อผู้ที่มอบความช่วยเหลือหรือสนับสนุนเขาอย่างมาก ถ้าคังชอลอินช่วยให้เขาแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่กลายมาเป็นศัตรูซึ่งกันและกันในอนาคต

 

“เฮ้อ…ไม่เป็นการออกแรงที่มากเกินไปหน่อยหรือ?”

 

เปลวเพลิงสีฟ้าเข้มกำลังเบ่งบานอยู่ในมือของเขาขณะเอ่ยถามอย่างสงสัย ทันใดนั้นโดเรียนก็ขมวดคิ้วพร้อมด้วยเสียงดัง “บึ้ม” จาง ๆ แล้วเปลวไฟก็ได้หายไป

 

“เจ้ากำลังดิ้นรนต่อสู้กับบางสิ่งที่เป็นเรื่องง่าย ๆ”

 

คังชอลอินยกยิ้มสนุกในขณะที่เขากำลังกวนโทโสโดเรียน

 

“มันช่างง่าย…”

 

ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เปลวไฟที่ใหญ่กว่าเปลวไฟที่โดเรียนสร้างขึ้นก็ได้ปรากฏขึ้นที่มือของคังชอลอิน

 

มันคือทักษะมานาไฟ ไม่ใช่ทักษะที่พิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรนัก

 

มานาไฟจะใช้รากฐานของมานาสำหรับพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดเพื่อมาสร้างเป็นเปลวไฟ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เจตนารมณ์ของกฎธรรมชาติแต่ก็เป็นทักษะที่นักผจญภัยไม่ค่อยรู้ถึงการมีอยู่มาก่อน มันเป็นทักษะพื้นฐานของทักษะระดับพื้นฐานต่ออีกทีหนึ่ง

 

“การที่เจ้าไม่สามารถทำสิ่งง่าย ๆ เช่นนี้ได้เจ้าช่างเป็นคนที่ไร้ความสามารถเสียจริง”

 

คังชอลอินยังคงสนุกกับการล้อเลียนโดเรียนในขณะที่เขากำลังสอนทักษะพื้นฐานให้กัน

 

“บ้าเอ๊ย!”

 

โดเรียนระเบิดอารมณ์

 

“ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงใช้ไม่ได้?”

 

โดเรียนสามารถสร้างเปลวไฟขึ้นมาได้หากแต่มันมีอายุที่แสนสั้นซึ่งคงอยู่แค่ 20 – 30 วินาทีเท่านั้นก่อนจะหายไป เมื่อเทียบกับคังชอลอินที่เปลวไฟของเขามีเวลานานกว่า 5 นาทีแล้วมันก็เหมือนน้ำหนึ่งหยดที่ตกลงกลางมหาสมุทร

 

“ใครจะรู้ได้?”

 

คังชอลอินยิ้ม

 

“เจ้า…  เจ้าไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ?”

 

“สงสาร? ทำไมข้าต้องไปสงสารคนไร้ความสามารถเช่นเจ้ากัน”

 

‘หึ่ม!’

 

โดเรียนบดฟันด้วยความโกรธแค้นก่อนจะกลับไปตั้งใจฝึกต่อ

 

“อ่า… ทำไม? ทำไมมันถึงใช้การไม่ได้เสียที?!”

 

เป็นเรื่องปกติที่เขาจะโกรธหรือฉุนเฉียวเพราะพวกเขาทั้งสองต่างเป็นราชันย์ในระดับเดียวกันและกำลังใช้ทักษะเดียวกันอยู่ ทว่าเปลวไฟของคังชอลอินกลับเป็นเหมือนภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยพลังในขณะที่เปลวไฟของโดเรียนไม่มีอะไรมากไปกว่าเปลวไฟจากก้านไม้ขีด เมื่อตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่เท่ากันจึงเป็นธรรมดาที่โดเรียนจะรู้สึกไม่พอใจทั้งที่เขาพยายามอย่างหนักมากกว่าอีกฝ่าย

 

“เจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ข้าสอนไปได้ จิ๊ ๆ” คังชอลอินส่ายหัว

 

“ม ไม่มีประโยชน์จากการสอนข้าเลยงั้นรึ? แต่หากพิจารณาดูแล้วมันก็ถือว่าใช้ได้อยู่ใช่ไหม?”

 

“ไสหัวไปซะถ้าเจ้าต้องการคำยกย่องชมเชย หากเจ้าคิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้เพียงเพราะการพยายามเช่นนั้นคงไม่มีความล้มเหลวปรากฏอยู่บนโลกนี้แล้ว”

 

“น นั่นก็จริง”

 

“จงหาสาเหตุของมัน ทักษะของเจ้าจะไม่มีวันดีขึ้นหากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้”

 

“ข้าก็บอกเจ้าอยู่นี่ไงเล่าว่าข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร!”

 

“หากเจ้าไม่รู้ เจ้าก็เป็นได้แค่คนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้อยู่ร่ำไป”

 

“อะไรนะ?!”

 

“นั่นคือการทำงานของโลกใบนี้”

 

คังชอลอินยังคงเตือนสติโดยการกดดันโดเรียนอย่างต่อเนื่อง

 

‘ดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะโกรธมากขึ้นแล้ว’

 

การได้เก็บความจริงไว้กับตัวเองทำให้เขาค่อนข้างมีความสุขไม่น้อย

 

‘ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงใดแต่มันยังคงเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเจ้า’

 

แม้ว่าความสามารถในการเรียนรู้ของโดเรียนจะรวดเร็วเพียงใดแต่มันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการค้นหาสาเหตุนี้เจอ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสองเดือนเป็นอย่างต่ำ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะสร้างมานาไฟที่สมบูรณ์ก่อนหน้านั้นได้ อย่างไรก็ตาม…

 

‘ถ้าให้คำตอบกลับไปในตอนนี้มันจะต่างออกไปและเขาอาจจะเข้าใจได้ในทันที’

 

คังชอลอินเป็นบุคคลที่มีความสามารถและรู้วิธีใช้มานาไฟได้อย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงรู้วิธีนำโดเรียน

 

“เป็นเพราะเจ้าหัวทึบเกินไป” คังชอลอินว่ากล่าว

 

“หัว? หัวข้า?” โดเรียนประหลาดใจ

 

“ได้อย่างไร? ข้าไม่ได้โง่…”

 

การบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่ทั้ง ๆ ที่เขากำลังเป็นคนโง่คนหนึ่งทำคังชอลอิหัวเราะพอใจ แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่ตอบโต้กับคำเหล่านั้น แม้ว่าโดเรียนจะมีความรู้สึกที่ทั้งช้าและเงอะงะแต่เขาก็เคยติดอันดับต้น ๆ เมื่อใช้มานาหากเทียบกับนักเดินทางข้ามมิติที่ข้ามมายังโลกฝั่งนี้ทั้งหมด

 

“ปิดปากให้สนิทแล้วจงฟัง” คังชอลอินสั่ง

 

“…ขอรับนายท่าน” แต่ก็ไม่วายโดนโดเรียนล้อเลียน

 

“ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเจ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำหน้าที่หารหรือไม่อย่างไรแต่หัวของเจ้าช่างทื่อเสียเหลือเกิน แม้เจ้าจะได้คำสั่งและทำตามที่บอกได้เป็นอย่างดีแต่เจ้าไม่อาจทราบว่าคำสั่งนั้นมาจากที่ใดและทำไมถึงได้มีคำสั่งแบบนั้นออกมา แล้วมันก็จะเป็นการเสียเวลาถ้ามัวแต่มานั่งสอบถามถึงคำสั่งที่ได้รับ”

 

“งั้นรึ?”

 

“จากสิ่งที่ข้าเห็น แม้ว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะยอมรับแต่เจ้าฉลาดมากเมื่อพูดถึงเรื่องเฉพาะ แต่เจ้าไม่สามารถใช้หัวทื่อ ๆ ของเจ้าจัดการกับทุกสิ่งได้”

 

“อืมมมมมมม… ประเด็นที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคืออะไรกันแน่?”

 

“สาเหตุที่เจ้าไม่สามารถใช้มานาไฟได้อย่างถูกต้อง”

 

ด้วยคำพูดของคังชอลอิน ดวงตาของโดเรียนก็พลันเบิกกว้างในทันใด

 

“มันง่ายมาก”

 

“จ จริงหรือ?”

 

“เจ้าอยากเรียนรู้หรือไม่?”

 

“แน่นอน!”

 

ด้วยคำถามที่ละเอียดอ่อนของคังชอลอิน โดเรียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

 

“เมื่อได้ก็ตามที่ข้าเรียกหาเจ้าต้องมาในทันที”

 

“เมื่อใดก็ตาม? แล้วเจ้าจะเรียกข้าเมื่อไหร่? ข้าเองก็มีตารางเวลา…”

 

“ทุกครั้งที่เจ้ามีเวลาว่าง”

 

“ได้ ข้ารับปาก พอใจแล้วหรือยัง? บอกข้ามาสักทีได้แล้ว”

 

โดเรียนไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เผลอลงนามในสัญญาทาสไปเสียแล้ว

 

‘ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นทาสข้าแล้ว โดเรียน…’

 

ในอดีต คังชอลอินเองก็ใช้งานโดเรียนอย่างหนักและตอนนี้เขาก็กำลังทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างไร้ความปราณีเสียเหลือเกิน

 

“สิ่งพื้นฐานที่ต้องทำเพื่อมานาไฟคืออะไร?”

 

เก็บซ่อนความตั้งใจร้ายกาจของเขาไว้ภายใน คังชอลอินเริ่มพูดต่อ

 

“นั่นคือ… เจ้ากำลังบอกให้ข้าเพ่งความสนใจไปที่มานาของตัวเองแล้วปล่อยมันออกมา? และคิดถึงเปลวไฟในขณะที่ข้าทำการปลดปล่อย? นั่นคือสิ่งที่เจ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้า”

 

“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นเพียงทางทฤษฎี เจ้าคิดว่าปัจจัยสำคัญอะไรที่เจ้าต้องทำเมื่อเจ้าต้องการสร้างเปลวไฟที่คงอยู่ได้นานและแข็งแกร่งเช่นของข้า”

 

“…”

 

“พลังแห่งจินตนาการของเจ้า”

 

“จินตนาการ?”

 

โดเรียนถามกลับเกี่ยวกับคำตอบที่ไม่คาดคิด

 

“นั่นหรือคือคำตอบ?”

 

“ข้ามั่นใจว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่ามันง่าย”

 

“จ เจ้าช่าง…”

 

“เมื่อเจ้าคิดจะใช้มานาไฟเจ้าเพียงต้องคิดถึงเปลวไฟอย่างพวกกองไฟอะไรทำนองนั้น”

 

“เจ้ากล้าดี…”

 

“นั่นคือความแตกต่างระหว่างเจ้าและข้า”

 

“นั่นคือความแตกต่างระหว่างเจ้าและข้า ข้ามั่นใจว่าเคยได้บอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเราจะไม่ใช้มานาผ่านความแข็งแกร่งทางกล้ามเนื้อหรือตามจังหวะการเต้นของหัวใจ”

 

“ใช่  เจ้าบอกข้าว่ามันคือการใช้สมาธิและพลังแห่งจินตนาการ”

 

“เมื่อจินตนาการของเจ้าอ่อนแอเจ้าจะไม่สามารถคาดหวังให้มานาไฟของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาได้”

 

“หืม?”

 

“ตอนที่ข้าคิดใช้มานาไฟ ข้าจะนึกถึงภาพของภูเขาไฟที่เกิดการเคลื่อนไหวหรือลาวาที่ลอยท่วม หากเจ้าใช้ความคิดทั้งหมดในการมุ่งเน้นไปที่การสร้างภาพในจิตนาการ การสร้างของเจ้าก็จะสมบูรณ์แบบ ดูนี่”

 

พรึ่บ!!

 

เปลวไฟสีแดงเข้มลุกขึ้นจากมือของคังชอลอินก่อนจะพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศเกือบห้าเมตร สิ่งนี้คือมานาไฟที่แท้จริง เขาเคยใช้ทักษะมานาไฟพื้นฐานนี้เพื่อฆ่ากลุ่มศัตรูมาก่อนเมื่อครั้งในอดีต

 

“ว้าว!”

 

โดเรียนจ้องมองพร้อมกลืนน้ำลายด้วยความตะลึง

 

“จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?!”

 

มานาไฟในปัจจุบันของเขาแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากคนอื่น มันทั้งแข็งแรงและเป็นอันตราย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเสียหายจะใหญ่หลวงเพียงใดเมื่อได้ใช้งาน

 

“เพียงการนึกถึงใช่ว่าจะได้ผลเช่นนี้เสมอไป เจ้าต้องจัดการตัวเองให้มั่นผ่านการทำสมาธิที่เข้มข้นในทุกวันเพื่อเคี่ยวเข็ญและขัดพลังไฟในหัวใจของเจ้า”

 

“อา……!”

 

โดเรียนตะโกนราวกับเข้าใจได้ในที่สุด

 

“แล้วอย่าลืมว่าการปลดปล่อยอะไรที่ยิ่งใหญ่จะทำให้เจ้าสูญเสียมานาไปมาก”

 

“อาฮ่ะ!”

 

“ลองดู”

 

คังชอลอินเพยิดคางใส่โดเรียนหลังมอบคำแนะนำให้เขาเสร็จ

 

“เท่านี้รึ? มันยังไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำตั้งแต่ที่เจ้าพูดสอนข้ามา!”

 

“เจ้าน่าจะทำได้หลังเห็นตัวอย่างแม้เพียงครั้งเดียว”

 

“มากเกินไปแล้ว!”

 

“ถ้ามากเกินไปก็ไม่ต้องเรียน”

 

“… ได้ ข้าจะลองดู”

 

โดเรียนงอหางตัวเองทันทีที่ได้ยินคำโวยวายจากคังชอลอิน

 

‘เปลวไฟที่ยิ่งใหญ่…เข้มข้นและมีสมาธิ’

 

โดยการใช้สิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากคังชอลอิน โดเรียนมุ่งเน้นสมาธิและความคิดในจินตนาการ

 

วู้ชช วู้ชช!

 

จากนั้นมานาไฟก็ปรากฏ

 

“หือ? เอ่อ?”

 

โดเรียนรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเปลวไฟของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน เขาไม่อาจเชื่อในสายตาตัวเองได้ว่าเขาจะสามารถทำได้สำเร็จ

 

“มันได้ผล!”

 

“10 แต้มจาก 100”

 

คังชอลอินยิ้มในขณะที่เขาให้คะแนนเปลวไฟ

 

“ทำไม?!”

 

“เพราะมันเล็กกว่าของข้า ถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมก็จงทำให้ดียิ่งกว่าข้าซะ”

 

เมื่อพูดจบคังชอลอินก็เริ่มการเคลื่อนไหวก่อนที่โดเรียนจะทันได้พูดอะไรตอบกลับ เข้ากลับมารวมกลุ่มกับคนอื่นได้ทันเวลาก่อนที่โพดอลส์กี้จะออกไปล่าในตอนเช้า

 

ช่วงบ่ายของวันนั้น

 

โดเรียนสามารถค้างมานาไฟได้นานถึงสิบนาทีและได้รับบทเป็นผู้ชำนาญการประจำกลุ่ม

 

ปึก!

 

โดเรียนโจมตีไปที่คางของออร์ค

 

ฉึบ!

 

จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วแล้วเหวี่ยงข้อศอกออกไป

 

ตึ้ง!

 

ด้วยเสียงที่จืดชืด ออร์คล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับสิ่งของอาเจียน ช่างน่าประหลาดใจที่โดเรียนสามารถจัดการคู่ต่อสู้ของเขาได้ด้วยมือเปล่า

 

“เฮ้อ!”

 

เมื่อจบการต่อสู้ โดเรียนก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อย

 

“ว้าว โดเรียน เจ้าแข็งแกร่งขึ้นมากเลยนี่!”

 

“เขาสามารถจัดการกับออร์คด้วยมือเปล่าได้อย่างไรกัน?”

 

“นั่นอะไรน่ะ แสงสีน้ำเงินที่พันอยู่รอบมือของเขาคืออะไร?”

 

เมื่อเห็นการเติบโตทางพลังที่รวดเร็วของโดเรียน นักผจญภัยต่างพากันประหลาดใจขณะพูดถึงเขา

 

‘แต่คังชอลอินแข็งแกร่งกว่านี้มาก… เขาแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่?’

 

โดเรียนไม่หวั่นไหวกับความสนใจที่เขาได้รับจากเหล่านักผจญภัย

 

สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาคือความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อจุดแข็งของคังชอลอินและความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะไปให้ถึงระดับเดียวกันกับคังชอลอินให้จงได้

 

คังชอลอินไม่เคยรู้เลยว่าเขาเปรียบเหมือนพระเจ้าสำหรับโดเรียน

 

‘เขาเร็ว แต่รีบร้อนเกินไป’

 

อีกด้านหนึ่งคังชอลอินทำการประเมินทักษะโดเรียนอย่างเย็นชา

 

‘ข้ารู้ว่าเจ้าเร่งรีบที่จะแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามโดเรียน มันมีขั้นตอนสำหรับการจะทำทุกอย่างอยู่’

 

คังชอลอินสามารถมองทะลุผ่านความตั้งใจของโดเรียนได้ราวกับเป็นผีวิญญาณข้างตัว

 

‘ตอนนี้เจ้ากำลังรีบร้อนมากเกินไป ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะเพียงใดแต่หากเจ้ารีบเร่งในสิ่งต่าง ๆ เจ้าจำเป็นต้องคำนึงถึงจุดจบราคาแพง’

เขายังรู้อีกด้วยว่าโดเรียนกำลังตกอยู่ใจสถานการณ์อันตรายมากเพียงในขณะนี้

 

ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับทุกคน นั่นคือสถานการณ์ที่โดเรียนกำลังอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นสถานการณ์ที่หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเพียงเล็กน้อยก็สามารถกลายเป็นความโกรธแค้นที่ใหญ่โตได้

 

ความกังวลของคังชอลอินไม่ใช่เพียงสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาเฉย ๆ ในเมื่อความเป็นจริงกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา

 

หนึ่งชั่วโมงจากนั้นต่อมา

 

มันเกิดขึ้นเมื่อทีมพิชิตกำลังเดินทางกลับฐานที่พักหลังออกไปต่อสู้กับพวกออร์ค

 

แคร่ก!

 

เมื่อต้นไม้ขนาดมหึมาตกลงสู่พื้น ยักษ์ใหญ่ที่ตัวสีเขียวอมเทาก็ได้ปรากฏขึ้นเพื่อขวางเส้นทางการเดินของพวกเขาอย่างฉับพลัน มันอยู่ห่างจากพวกเขาไปเพียงประมาณ 150 เมตร

 

รออออออออว์!!

 

เสียงคำรามที่ดังเหมือนฟ้าลั่นพลันทำให้เกินการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งป่า

 

ด้วยการปรากฏตัวของยักษ์โดยไม่ทันได้ตั้งตัวได้สร้างความหวาดกลัวและอาการตกใจแก่เหล่านักผจญภัยเป็นอย่างมาก

 

“นายท่าน! รีบล่าถอยกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ!” ลูเซียตะโกน

 

“อันตราย!” โพดอลส์กี้ตะโกนอย่างเร่งรีบ

 

เป็นเพราะพวกเขารู้ถึงตัวตนของสัตว์ประหลาด

 

‘มันยังเด็กอยู่…’

 

เช่นเดียวกันกับลูเซียและโพดอลส์กี้ คังชอลอินสามารถจดจำสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

‘โอเกอร์’

 

มันคือสัตว์ประหลาดระดับ 30 ที่มักจะเรียกกันว่า “ราชาแห่งผืนป่า”

 

“ลูเซีย โพดอลส์กี้ รีบมุ่งไปข้างหน้า!” คังชอลอินตะโกนสั่ง

 

“เจ้าค่ะ!!”

 

“ข้ากำลังไป!”

 

เมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งลูเซียและโพดอลส์กี้ต่างก็รีบวิ่งออกไปข้างหน้าราวกับสายล่อฟ้า

 

‘สิ่งนี้อาจเป็นอันตรายได้’

 

โอเกอร์ที่โตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 5 เมตร อย่างไรก็ตามโอเกอร์ที่เพิ่งได้ปรากฏตัวออกมานั้นมีความสูงแค่เพียงประมาณ 3.5 เมตรเท่านั้น

 

ถึงกระนั้นมันก็ยังคงเป็นภัยที่อันตราย

 

แม้จะเป็นโอเกอร์วัยเยาว์แต่ก็ยังอันตรายเกินไปสำหรับนักผจญภัยในปัจจุบัน หากเกิดความผิดพลาดขึ้นเพียงเล็กน้อย พวกเขาอาจไม่สามารถหลบหนีจากการทำลายล้างนี้ได้

 

รออออออออว์!!

 

ด้วยเสียงคำรามลั่น โอเกอร์เริ่มพุ่งเข้าหาพวกเขาในทันที

 

“ตั้งโล่! ตั้งโล่เดี๋ยวนี้!”

 

คังชอลอินออกคำสั่ง

 

โล่ป้องกัน 5 อันที่ถูกมอบให้กับนักผจญภัยนั้นมีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัมซึ่งเป็นแบบติดอยู่กับพื้นเพื่อทำหน้าที่ป้องกันแนวหน้า

 

“ดาบ! เคลื่อนตัวไปข้างหน้า! หอกกลับมาอยู่ด้านหลัง!”

 

ด้วยการสั่งการจากคังชอลอิน นักผจญภัยเริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วในทันใด พวกเขารู้ว่ามีเพียงคนเดียวที่พวกเขาจะสามารถเชื่อใจได้ในขณะนี้นั่นก็คือคังชอลอิน

 

และในตอนนั้นเอง

 

“ท่านโดเรียน!” ลูเซียตะโกน

 

“ไอ้บ้านั่น!!”

 

เส้นเลือดแทบทะลุออกจากหน้าผากของคังชอลอินเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

 

โดเรียน เอกซ์พลอเรอร์วิ่งนำหน้าไปจากทุกคนและพยายามต่อสู้กับโอเกอร์โดยตรง

 

ความสามารถในการจัดการออร์คได้ด้วยมือเปล่าของเขาคงคิดว่าการจัดการกับโอเกอร์ก็คงไม่ต่าง แม้ว่าเขาจะสามารถใช้มานาไฟได้แต่โอเกอร์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่เขาจะต่อกรด้วยได้เพียงลำพัง

 

ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของหัวใจที่รีบร้อน

 

ปั้ก!

 

คังชอลอินเตะเข้าที่ซี่โครงของอาชาขาวเพื่อสั่งให้มันออกวิ่ง

 

ฮี้ ๆ !!!

 

‘ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าต้องมาตายตรงนี้ได้แน่!”

 

โดเรียนถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เขาไม่สามารถขาดไปได้ ไม่มีทางที่คังชอลอินจะยอมให้สุนัขผู้ซื่อสัตย์ของเขาต้องมาตายอย่างเสียเปล่า

 

“เสร็จสมบูรณ์” กำลังพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดของอัจฉริยะที่ยังไม่สมบูรณ์

.

The Overlord of Blood and Iron

The Overlord of Blood and Iron

Author:
มหาศึกจอมราชันย์ The Overlord of Blood and Iron บทนำ คังชอลอิน จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าจนใครต่างต้องสยบ เหตุสูญเสียทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อพิชิตกับความท้าทายอีกครั้งในการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่และผู้ควมคุมทวีปแพนเจีย คังชอลอินจะสามารถเอาชนะจอมราชันย์ทั้งเก้าเพื่อปกครองทวีปแพนเจียได้หรือไม่?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset