The Overlord of Blood and Iron – ตอนที่ 36: สู่เทือกเขาดราโกเนีย

ตอนที่ 36: สู่เทือกเขาดราโกเนีย

 

อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปหยุดโดเรียนในเมื่อเขาได้พุ่งตัวออกไปแล้วเช่นนั้น ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างรีบเร่งเข้าหากัน คังชอลอินไม่แม้จะมีโอกาสได้แยกตัวโดเรียนออกมาจากโอเกอร์ได้เลย

 

‘ก็ขึ้นอยู่ที่โชคของเจ้าแล้ว โดเรียน’

 

คังชอลอินปล่อยให้ชีวิตของโดเรียนขึ้นอยู่กับความเป็นไปทางโชคชะตาที่หนุนนำ

 

หากไม่คำนึกถึงทักษะมานาไฟมันคือการต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดที่มีความสูงถึง 3.5 เมตรกับมนุษย์ธรรมดาที่มีความสูงแค่เพียง 171 ซม. ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดเรียนจะแพ้ให้กับการต่อสู้ในครั้งนี้หรือไม่

 

ควัก!

 

โดเรียนออกกำปั้นที่ใช้มานาไฟคลุมมือเพื่อเพิ่มพลังพุ่งตรงเข้าใส่โอเกอร์

 

แคร่ก!

 

เสียงสิ่งของบางอย่างเกิดการแตกหัก

 

“อ๊ากกก!!”

 

ทันใดนั้นโดเรียนก็ล่วงหล่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังลั่น

 

“ลูเซีย!”

 

คังชอลอินเรียกหาลูเซียขณะที่เขายังคงวิ่งไปข้างหน้า

 

“เจ้าค่ะ!”

 

ตอบรับการเรียกหาของคังชอลอิน ลูเซียเอาโล่อีจิสขนาดใหญ่ออกมาจากด้านหลังของนางเพื่อป้องกันโดเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ

 

ควัก!

 

เสียงดังลั่นเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเกราะโลหะของลูเซียปะทะกับการโจมตีของโอเกอร์

 

“อ๊ากก!!”

 

เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดดังระเบิดออกมาจากโอเกอร์

 

น่าประหลาดใจที่ฝ่ายพ่ายแพ้ในครั้งนี้คือโอเกอร์ในขณะที่ลูเซียยังมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

 

‘ทักษะพิเศษที่มีการป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม’

 

คังชอลอินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นเช่นนั้น

 

ลูเซียสามารถป้องกันการโจมตีจากโอเกอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือหลุมที่ลึกลงไปประมาณ 10 ซม. จากตำแหน่งที่นางยืนอยู่เพียงเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีเวลาให้มาประหลาดใจได้มากนัก โอเกอร์เริ่มการโจมตีขึ้นอีกครั้งเมื่อโดเรียนที่ล้มคว่ำไร้ประโยชน์และกลายเป็นตัวภาระ ต้องมีใครสักคนเบี่ยงความสนใจมาจากโอเกอร์ไปให้ได้

 

‘มาเลย!’ คังชอลอินบุกเข้าหาโอเกอร์เพียงลำพัง

 

‘ตรงนั้น!’

 

เขากระโดดขึ้นสูงเพื่อลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางมองหาจุดโจมตีโดยใช้ความได้เปรียบจากความสูงและมุมมองเช่นเดียวกันกับนกเหยี่ยว

 

ปั้ก!

 

ด้วยเหตุนี้ ดาบกลืนโลหิตของคังชอลอินจึงสามารถตัดผ่านไหปลาร้าของโอเกอร์ได้

 

หากการโจมตีครั้งนี้มีเกณฑ์คะแนนมาตัดสินมันจะต้องได้รับคะแนนเต็มอย่างแน่นอน

 

เส้นใยกล้ามเนื้อของโอเกอร์นั้นมีความแข็งแกร่ง แข็งแรงและยืดหยุ่นยิ่งกว่าเหล็ก กะโหลกของมันก็แข็งเหมือนอย่างเหล็กกล้า

 

คังชอลอินเล็งตำแหน่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดโจมตีที่น่าดึงดูดมากที่สุดในการโจมตีเพื่อจะได้กลับไปยังจุดอ่อนที่สุดของมันอีกที่หนึ่ง หากพุ่งเป้าโจมตีไปที่ไหล่จะไม่สามารถเจาะกระดูกด้านหลังและกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข้าไปได้ หรือถ้ามุ่งเน้นไปที่ส่วนหัว ดาบกลืนโลหิตของเขาจะต้องแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ

 

อ่าาาาาาา!!!!

 

โอเกอร์ปล่อยเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดหลังได้รับบาดแผลมาจากการโจมตีที่ไม่คาดคิด

 

‘ต้องโจมตีที่แผลร้ายนั่นต่อไป…’

 

คังชอลอินคิดหาวิธีอย่างรวดเร็วโดยตั้งใจจะใช้มานาไฟโจมตีไปที่บาดแผลซ้ำ ๆ แต่เขากลับไม่สามารถทำสิ่งที่คิดไว้ได้ โดยไม่คาดคิด โอเกอร์ที่แม้จะโดนโจมตีไปแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อโต้กลับและพยายามบดขยี้คังชอลอินให้แหลกด้วยการแกว่งแขนทั้งสองข้างของมัน

 

‘ถอยก่อน!’

 

คังชอลอินละทิ้งการโจมตีไปอย่างใจเย็นเมื่อสถานการณ์เกิดการพลิกผัน เขาย้ายไปอยู่กับลูเซียอย่างรวดเร็วซึ่งตอนนี้พวกเขาได้อยู่นอกขอบเขตจากการโจมตีของโอเกอร์

 

“สภาพเขาล่ะ?” คังชอลอินถามขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่โอเกอร์ไม่วางตา

 

“เหมือนแขนขวาจะหักแล้วก็หมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

“เรียกทหารสี่นายมาเคลื่อนย้ายเขาออกไป เขาจะตายไม่ได้! ต้องทำให้เขามีชีวิตรอดอยู่ต่อ!”

 

“เจ้าค่ะองค์ราชันย์! ทหาร! ทางนี้! มารับตัวท่านโดเรียน!”

 

เมื่อได้ยินคำสั่งจากลูเซีย ทหารสี่นายที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาโอเกอร์ได้รีบเปลี่ยนเส้นทางของพวกเขามารับตัวโดเรียนไปไว้ยังที่ปลอดภัยแทน

 

ขณะเดียวกันโอเกอร์ที่ระงับความเจ็บปวดได้ก็จ้องมองมาที่คังชอลอินหมายจะโจมตีมาที่เขา

 

“ไปกันเถอะลูเซีย!”

 

“เป็นเกียรติยิ่งนักเจ้าค่ะ!”

 

คังชอลอินและลูเซียวิ่งเข้าหาโอเกอร์ที่กำลังใกล้เข้ามา

 

การทำงานร่วมกันระหว่างพวกเขาทั้งสองสมบูรณ์แบบอย่างน่าประหลาดโดยคังชอลอินรับหน้าที่เป็นผู้โจมตีและลูเซียรับหน้าที่ต้านและการป้องกันตามสิ่งที่นางชำนาญ

 

ปั้งง!!

 

ในขณะที่โล่ของลูเซียกำลังป้องกันการโจมตีจากโอเกอร์…

 

ปั้ก!

 

คังชอลอินก็ได้ก้าวออกมาไปข้างหน้าเพื่อเร่งหาจุดอ่อนสำคัญของมันในทันใด

 

‘ลูเซีย เจ้าไปทางซ้าย!’

 

‘ข้าจะโจมตีมันจากทางด้านบน’

 

คังชอลอินและลูเซียสื่อสารแบบไร้เสียงพูดโดยใช้การเคลื่อนไหวและสายของพวกเขาขณะที่ต่อสู้กับโอเกอร์

 

การประสานงานและความสามัคคีระหว่างพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

 

แม้พวกเขาจะไม่เคยทำงานประสานร่วมกันเช่นนี้มาก่อนแต่คังชอลอินและลูเซียกลับสามารถประสานการต่อสู้ร่วมกันได้อย่างไร้ที่ติราวกับว่าพวกเขาร่วมฝึกด้วยกันมาเป็นเวลานาน

 

พวกเขาทั้งสองเป็นดั่งเทพเจ้าแห่งสงครามที่สื่อสารกันด้วยกระแสจิต

 

ขณะเดียวกันนักผจญภัยที่สับสนก็เริ่มตั้งสติกลับคืนมาได้และรวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาถืออาวุธหายากที่ได้รับมาจากคังชอลอินจนแน่นมือเพื่อเตรียมพร้อม

 

“กลับมา ลูเซีย!”

 

“เจ้าค่ะ!”

 

ทั้งคังชอลอินและลูเซียกระโดดออกมาจากวงต่อสู้พร้อม ๆ กัน

 

กรือออ…!!!

 

ความโกรธเกรี้ยวอย่างมากของโอเกอร์ถูกแสดงออกมาผ่านกล้ามเนื้อของมันที่ยึดตัวกันไว้ราวกับกำลังจะระเบิดออก

 

ในทางตรงกันข้าม คังชอลอินไม่มีเจตนาจะต่อสู้กับโอเกอร์อีกต่อไป การจะล้มโอเกอร์ในครั้งนี้ลงได้ต้องไม่ใช่เขาหรือลูเซียหากแต่เป็นเหล่านักผจญภัยพวกนั้น

 

“ตั้งโล่!”

 

เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและเผด็จการของคังชอลอินเริ่มนำทัพ

 

ตึก!

 

นักผจญภัยแปดคนที่มีร่างกายยอดเยี่ยมได้มารวมตัวกันเพื่อปักหลักโล่ของพวกเขา

 

“หอกไปอยู่ด้านหลัง!”

 

ส่วนนักผจญภัยที่ถือหอกหนามทมิฬและทหารจากลาพิวต้าอีกหกนายก็ได้ไปยืนตั้งรับอยู่ด้านหลังโล่

 

“ดาบ มารวมอยู่กับข้า”

 

นักผจญภัยที่ถือดาบกลืนโลหิตรวมตัวกันถัดจากลูเซียและคังชอลอิน

 

“โพดอส์กี้ เตรียมโซ่เหล็ก”

 

และสุดท้ายโพดอลส์กี้และนักผจญภัยอีกสามคนที่มีร่างกายกำยำจับโซ่ตรวนเหล็กแห่งพันธนาการไว้ด้วยจนมั่นมือ

 

กระบวนการการป้องกันและการเตรียมพร้อมต่อสู้จากคำสั่งของคังชอลอินถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด

 

“ไม่ต้องกลัว”

 

คังชอลอินพูดกับนักผจญภัยที่กลัวจนแทบหมดสติ

 

“หากทำตามคำสั่งจากข้า เราจะชนะ”

 

เนื่องจากความเชื่อมั่นที่มอบผ่านเสียงจากคังชอลอิน เหล่านักผจญภัยต่างพากันมั่นใจมากว่าพวกเขาจะต้องไม่เป็นนอะไร มันคือพลังแห่งอำนาจที่มีให้เฉพาะผู้อยู่ในชนนั้นราชันย์ขึ้นไปเท่านั้น

 

รออออออออว์!!

 

โอเกอร์พุ่งร่างกายอันใหญ่โตตรงเข้าหาเหล่ามนุษย์เพื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาพร้อมเสียงคำราม

 

“ดาบมาทางนี้! โล่เตรียมพร้อมสำหรับการปะทะ!”

 

โล่ตั้งพาวิสเตรียมการปะทะกับโอเกอร์ในขณะที่คังชอลอินก้าวเท้าออกเลี่ยง

 

ควัก!

 

โล่และโอเกอร์เกิดการปะทะกันในทันใด

 

“แทงหอก!”

 

หอกหนามทมิฬทั้งยี่สิบห้าด้ามเจาะเข้าช่องท้องของโอเกอร์

 

“โซ่เหล็ก ยึดร่างมันไว้ซะ!”

 

โพดอลส์กี้หมุนควงโซ่เหล็กในมือด้วยความโอ่โถงเพื่อผูกขาซ้ายของโอเกอร์ด้วยโซ่ตรวน จากนั้นนักผจญภัยอีกสามคนก็ได้เข้ามาใกล้เพื่อออกแรงดึงโซ่เหล็กด้วยความสามารถทั้งหมดของพวกเขา

ควัก

โอเกอร์ล้มกระแทกพื้นเพราะเกิดการสูญเสียความสมดุล มันจะสามารถรักษาความสมดุลนี้เอาไว้ได้ถ้ามันเติบโตจนเต็มวัยแต่อย่างไรก็ตามมันยังโตไม่เต็มที่ดังนั้นแรงที่ใช้ในตอนนี้มันมากพอแล้วสำหรับการต้านพลังของมัน

“ดาบ เดินหน้า!”

 

สุดท้ายคังชอลอินก็นำนักผจญภัยที่ถือดาบกลืนโลหิตมุ่งหน้าเข้าหาโอเกอร์

 

ปั้ก!

 

ปั้ก!

 

ด้วยการฟาดฟันไม่ยั้ง เลือดสีแดงเกิดการหลั่งไหล

 

‘ใช่แล้ว มันต้องแบบนี้’

 

นี่คือการต่อสู้ที่คังชอลอินต้องการซึ่งเป็นการฝึกให้นักผจญภัยมีจิตใจที่แข็งแกร่งเพื่อการประสานงานรูปแบบทางทหารในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดโดยเฉพาะ!

 

หลังจากนั้นสิ่งที่เหลืออยู่คือการต้านทานที่ไร้ประโยชน์จากโอเกอร์

 

และผลที่ได้นั้น…

 

เสียงร้องแหบแห้งที่ดังลั่นจนน่าปวดหู

 

ในไม่ช้าการลงดาบอย่างต่อเนื่องของนักผจญภัยก็ได้มอบความตายให้กับโอเกอร์ในที่สุด

 

มันเป็นชัยชนะของหน่วยจู่โจมที่นำโดยคังชอลอิน ชัยชนะครั้งแรกที่ยิ่งใหญ่ของทีมผู้พิชิต

 

หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น พวกเขาก็ได้ออกล่าสัตว์ประหลาดเช่นโอเกอร์และมิโนทอร์เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น

 

โดเรียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติถูกนำตัวกลับไปยังดินแดนลาพิวต้าเพื่อรับการรักษา

 

คังชอลอินรู้สึกผิดหวังที่โดเรียนไม่สามารถอยู่จนถึงตรงนี้ได้แต่เขายังคงดำเนินตามแผนที่ได้วางไว้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยเขาก็พอใจที่โดเรียนยังไม่ตายซะตั้งแต่ตอนนี้

 

แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านพ้นไป

 

เมื่อนักผจญภัยได้มาถึงระดับ 20 โพดอลส์กี้ได้ทำการลอบฟังเหล่านักผจญภัยที่ทำงานใต้การบัญชาจากคังชอลอินอย่างระวัง เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ลับในฐานะหัวหน้ารักษาความปลอดภัย

 

“เฮ้อ … นี่มันบ้าไปแล้ว บ้ามาก ๆ”

 

“อะไร?”

 

“ก็การล่าครั้งนี้กำลังฆ่าพวกเราทุกคน”

 

นักผจญภัยบางคนเริ่มส่งเสียงบ่น

 

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้น”

 

“ความแข็งแกร่งคือความทนทาน”

 

“เจ้ากำลังพูดเหมือนคนที่ร่ำรวยแล้วอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้ได้รับมาเท่าไหร่แล้วล่ะ? แค่ไอเทมที่ได้รับมาในตอนนี้ก็มโหฬารมากพอแล้วมั้ง”

 

“ก็จริง”

 

“อย่างไรก็ตาม…ตัวตนของท่านแม่ทัพพวกเราคือใครกันแน่? พวกเจ้าไม่คิดสงสัยกันเลยหรือ?”

 

นักผจญภัยคนอื่น ๆ เริ่มแสดงความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคังชอลอินมากยิ่งขึ้น

 

“โดเรียนเองก็ดูไม่ธรรมดาแต่ท่านแม่ทัพน่ะเหมือนจะไม่ใช่คนซะด้วยซ้ำ”

 

“จริง ข้าเห็นด้วยกับเจ้า!”

 

“ข้าล่ะอยากจะเป็นบ้าไปทุกที ตอนที่ท่านแม่ทัพเผชิญหน้ากับโอเกอร์เพียงลำพังแบบนั้นจะเรียกว่ายังเป็นคนอยู่อีกได้อย่างไร?”

 

“ลืมมันไปซะเถอะ ต่อให้พวกเจ้าคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้รับคำตอบนั้นกลับมา แค่นั่งลงสบาย ๆ แล้วเพลิดเพลินไปกับไอเทมที่เก็บได้ซะดีกว่า ข้าไม่มีความสนใจถึงตัวตนของท่านแม่ทัพอะไรทั้งนั้น ที่ข้าสนคือการสร้างรายได้และการเติบโตจนแข็งแกร่ง นั่นคือความต้องการทั้งหมดของข้า”

 

นักผจญภัยประมาณสิบคนกำลังยุ่งอยู่กับการพร่ำบ่นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกองไฟ

 

“แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังน่าประหลาดใจอยู่ดีไม่ใช่หรือไง? เราสามารถจัดการทำลายกับอะไรก็ได้ตราบเท่าที่เราทำตามคำแนะนำของท่านแม่ทัพ”

 

“ข้าเห็นด้วย ข้าคิดว่าพวกเราจะสามารถตามล่าได้ทุกสิ่งตราบเท่าที่ทำตามคำสั่งจากเขา”

 

“ตอนนี้ระดับของเราก็สูงขึ้นมากจนสามารถจัดการกับโอเกอร์ได้อย่างง่ายดายแม้จะไม่มีท่านแม่ทัพเป็นผู้นำทาง ยิ่งไปกว่านั้นถ้าท่านแม่ทัพและลูเซียผนึกกำลังกันเมื่อไหร่ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ยิ่งกว่าการปลอกกล้วยเสียอีก”

 

“แน่นอนว่าพวกเราน่ะแข็งแกร่ง!”

 

“ข้าไม่แน่ใจเท่าไหร่นักแต่ระดับของพวกเราในตอนนี้ต้องติดอันดับต้น ๆ ในหมู่นักผจญภัยบ้างแหละ … ใช่ไหม?”

 

บทสนทนาของนักผจญภัยเต็มไปด้วยความเชื่อถือ ความไว้วางใจและความมั่นใจในตัวคังชอลอินอย่างท่วมท้น

 

โอ้ววว!!

 

โพดอลส์กี้ที่กำลังแอบฟังด้วยความร่าเริงรีบไปรายงานคำพูดที่เกิดขึ้นต่อคังชอลอินในทันที

 

“คงได้เวลาแล้ว”

 

คังชอลอินพยักหน้ารับเมื่อได้ยินรายงาน

 

นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ

 

ความเคารพ ความไว้วางใจต่อผู้นำ ความสามัคคีในหมู่นักผจญภัยและที่สำคัญที่สุดคือความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง ในที่สุดการเตรียมการเพื่อวัตถุประสงค์หลักของเขาก็เสร็จสมบูรณ์

 

‘แม้ว่ามันจะมาพร้อมกับการเสียสละไปก็ตาม’

 

หลังจากสั่งให้โพดอลส์กี้ไปเรียกรวมตัวนักผจญภัยมาเพื่อแจ้งข่าวสำคัญ คังชอลอินจมอยู่กับความคิดตัวเองชั่วขณะหนึ่ง

 

‘เราคือราชันย์ ดินแดนของเราคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด’

 

แน่นอนว่าจะต้องมีใครบางคนพบจุดจบของชีวิตในการออกล่ามังกรพีคอคครั้งนี้

 

ขั้นต่ำอาจเสียชีวิตถึงสิบรายและในกรณีร้ายแรงมากก็อาจถึงยี่สิบ หรือหากเป็นในกรณีที่เลวร้ายมากที่สุดก็คงจะเหลือแค่เพียงคังชอลอินและลูเซียสองคนเท่านั้นที่ได้รอดชีวิตกลับมา

 

อย่างไรก็ตามเพื่อจุดประสงค์ในการกำจัดมังกรพีคอคกองทัพผู้พิชิตนี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้น พวกเขาเป็นเหมือนทหารรับจ้างที่จะรักษาอำนาจของลาพิวต้าและกลายเป็นลูกค้าที่สำคัญในอนาคตของดินแดน

 

แม้มันจะดูเป็นการใจไม้ไส้ระกำที่ราชันย์ไม่เคยคิดมีต่อพลเมืองในดินแดน แต่การแสดงความเมตตาต่อคนที่ไม่ใช่พลเมืองในดินแดนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น นอกจากนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในเมื่อบางครั้งราชันย์เองก็จำเป็นต้องส่งใครบางคนเข้าสู่ขุมนรก

 

“เรากำลังออกเดินทางเพื่อตามล่าสัตว์ประหลาดระดับ 40”

 

คังชอลอินป่าวประกาศ

 

“มันเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งในฐานะที่เป็นสายพันธุ์แยกย่อยของมังกร มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ต่างไปจากสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่เราเคยได้เผชิญมาก่อน”

 

มันเพิ่งผ่านมาได้แค่เพียงสองสัปดาห์และด้วยคำพูดเช่นนี้อาจทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ไม่มีแม้แต่นักผจญภัยคนใดที่จะแสดงความกลัวหรือสับสนออกมา พวกเขาสงบต่างจากตอนแรกไปโดยสิ้นเชิง

 

“ความตายในครั้งนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ไม่สิ ใครบางคนในที่นี่จะต้องตายอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็อาจสิบคนหรือมากกว่านั้น”

 

คังชอลอินยกความเสี่ยงขึ้นมาเดิมพัน

 

อย่างไรก็ตามมันยังคงเป็นเหมือนเดิม พวกเขายังคงสงบ

 

รวมไปถึงมีนักผจญภัยบางคนที่เริ่มแสดงความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาแทน

 

“แล้วปัญหาคืออะไร?”

 

บิลลี่ นักผจญภัยชาวแอฟริกัน-อเมริกันตะโกนถามพลางลุกขึ้นยืนด้วยความสูง 190 ซม. เขากลายเป็นผู้ศรัทธาและผู้ชื่นชมคังชอลอินอย่างเต็มตัว

 

“พกวเราจะทำมัน! การเป็นนักผจญภัยของพวกเราต่างเต็มไปด้วยความเสี่ยงอยู่แล้วไม่ใช่รึ?!”

 

ภายในเวลาอันสั้น บิลลี่สามารถตระหนักได้ถึงการเป็นนักผจญภัยว่ามันคือสิ่งใด

 

ซึ่งนั่นก็คือการเอาชีวิตของพวกเขามาจำนำขณะเดินไปรอบ ๆ แผ่นดินอันยิ่งใหญ่ของแพนเจีย นั่นคือสิ่งที่นักผจญภัยเป็น

 

“ข้าจะทำมัน! หากได้ร่วมมือกับท่านแม่ทัพแล้วยังมีสิ่งใดให้ต้องกลัวอีกกัน?! นอกจากนี้ยิ่งมันเป็นอันตรายมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งได้รับกลับมามากขึ้นเท่านั้น! จริงหรือไม่?”

 

“ถูกต้อง” คังชอลอินตอบกลับ

 

จากนั้นเขาก็เริ่มพูดถึงของที่จะได้รับเมื่อมังกรพ่ายแพ้เพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับนักผจญภัย

 

“เนื้อของสัตว์ประหลาดที่ข้าต้องการออกตามล่าคือยาสำหรับคนที่มีสุขภาพอ่อนแอและเพื่อเพิ่มให้อายุยืนยาว การดื่มเลือดของมันจะช่วยเพิ่มมานาได้ ขนหางของมันสามารถนำไปใช้สร้างไอเทมที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้อย่างรุนแรง นอกจากนี้ดวงตาของมันยังเป็นส่วนผสมที่ดีในการทำไอเทมเพื่อต้านเวทมนตร์”

 

มันเป็นเหมือนกับดาบสองคม ที่อันตรายแต่คุ้มค่า

 

อย่างไรก็ตามคำตอบของนักผจญภัยที่ได้รับกลับมานั้น …

 

“เราจะทำมัน”

 

นักผจญภัยอีกคนตอบรับ

 

สมาชิกทุกคนในทีมพิชิตต้องการร่วมออกเดินทางไปพร้อมกับเขาเพื่อพิชิตมังกรพีคอค

 

“ข้าก็จะทำ”

 

“ท่านแท่มัพ รวมข้าเข้าด้วย!”

 

“เราทำได้!”

 

“อยู่กับท่านแล้วเรายังต้องกลัวอะไรกันอีก?!”

 

“เกิดมามีชีวิตแค่เพียงหนึ่งครั้งเช่นนั้นข้าจะขอใช้ให้มันคุ้ม ๆ!”

 

“มาร่วมพลิกผันโชคชะตาของพวกเรากันเถอะ!”

 

“เราจะทำมันอย่างแน่นอน!”

 

ยกเว้นนักผจญภัยอีกสามคนที่เห็นครอบครัวของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นักผจญภัยคนอื่น ๆ ที่เหลือตอบตกลงที่จะติดตามไปกับคังชอลอินในครั้งนี้

 

สำหรับนักผจญภัยที่อาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อเหมือนโดนพลังและการควบคุมของคังชอลอินสะกดจิต พวกเขาต่างมองไม่เห็นถึงความน่ากลัวที่รออยู่ข้างหน้า แม้จะเป็นการกระทำที่เสี่ยงถึงความตายแต่ความเชื่อมั่นในตัวของพวกเขาได้ลบล้างข้อเท็จจริงนั้นไปจนหมดสิ้น สิ่งที่คังชอลอินต้องการก็คือการมีอยู่ของผู้พิชิตกลุ่มนี้

 

“เอาล่ะ”

 

คังชอลอินเผยรอยยิ้มพอใจก่อนจะพยักหน้า

 

“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้อยู่ร่วมต่อสู้กับพวกเจ้าทุกคน”

 

เขาพูดด้วยใจจริง

 

คังชอลอินเคยคิดว่าจะมีใครยอมกระโดดเข้ากองไฟเพียงเพื่อความทะเยอทะยานของตนเองบ้างหรือไม่ และนี่ก็พิสูจน์ให้เขาได้เห็นถึงความคิดนั้น

 

“สัตว์ประหลาดที่เราจะออกล่ากันในคราวนี้มีชื่อว่า … มังกรพีคอค”

 

ด้วยเหตุนี้ ทีมผู้พิชิตที่นำโดยคังชอลอินก็เริ่มออกเดินทางจากป่าปีศาจและมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาดราโกเนียเพื่อออกตามล่าตัวมังกรพีคอค

 

มังกรพีคอคเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถหาติดตามได้ง่าย

 

มันเป็นมังกรที่มีรูปแบบมาจากมังกรเอเชีย สัตว์ประหลาดตัวนี้จะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ผสมผสานกันระหว่างมังกรและนกยูงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นขนหางของมันจึงมักร่วงหล่นไปตามสถานที่ที่มันคงอยู่และเป็นการเปิดเผยตำแหน่งโดยที่มันไม่รู้ตัว

 

“มีแอ่งน้ำในป่าไซเปรสอยู่ตรงหน้าอีกประมาณ 7 กม. ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรังของมังกรพีคอคขอรับ”

 

พาชเชอร์เมอร์ นักล่าทหารผ่านศึกจากดินแดนลาพิวต้าที่ได้รับคำสั่งจากคังชอลอินให้มาติดตามหาตัวมังกรพีคอคล่วงหน้ากล่าวรายงานเป็นผลทำให้คังชอลอินไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหาตามพื้นที่กว้างของเทือกเขาดราโกเนียให้เสียเวลาเปล่า

 

“เจ้าเคยเห็นมันมาก่อนหรือไม่?”

 

“ข้ายังไม่เคยเห็นมันมาก่อนขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าคงเข้าใกล้ความตาย… ”

 

พาชเชอร์เมอร์ไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคเพราะดูเหมือนว่าเขากลัวการลงโทษอะไรบางอย่างจากคังชอลอิน

 

“ทำได้ดีมาก”

 

“…!”

 

“…!”

 

“แน่นอนว่าแค่การออกตามหารังมันเช่นนี้จำเป็นต้องใช้ความกล้าอย่างมาก ข้าจะตอบแทนเจ้าในไม่ช้าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ตอนนี้จงกลับไปที่รอที่ดินแดนเสีย”

 

“ข ขอรับ!”

 

“รีบไปซะ”

 

“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติและตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่งขอรับองค์ราชันย์!”

 

หลังจากได้รับสัญญาว่าจะให้รางวัลแก่พาชเชอร์เมอร์ เขาได้คำนับขอบคุณคังชอลอินอยู่หลายสิบครั้งก่อนจะเดินทางกลับดินแดนไป

 

‘วันนี้เราน่าจะได้พบกัน’

 

มันผ่านมาเกือบสิบชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่เขาโกหกกับนักผจญภัยว่าให้แอบสุ่มเพื่อโจมตี คังชอลอินรู้สึกว่าการได้เผชิญหน้ากับมังกรพีคอคกำลังใกล้เข้ามา

 

ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ แต่คังชอลอินมีสิ่งที่มักเรียกกันว่า “สัมผัสที่หก” อยู่กับตัว และในที่สุด…ความรู้สึกนั้นก็ได้เกิดขึ้นในไม่ช้าอย่างที่เขาคาดการณ์

 

พึ่บ! พั่บ!

 

เสียงปีกโบกสะบัดดังก้องเข้ามาจากที่ไกล ๆ

.

The Overlord of Blood and Iron

The Overlord of Blood and Iron

Author:
มหาศึกจอมราชันย์ The Overlord of Blood and Iron บทนำ คังชอลอิน จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าจนใครต่างต้องสยบ เหตุสูญเสียทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อพิชิตกับความท้าทายอีกครั้งในการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่และผู้ควมคุมทวีปแพนเจีย คังชอลอินจะสามารถเอาชนะจอมราชันย์ทั้งเก้าเพื่อปกครองทวีปแพนเจียได้หรือไม่?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset