The Overlord of Blood and Iron – ตอนที่ 5: ทำงานให้ฉันซะ

ตอนที่ 5: ทำงานให้ฉันซะ

 

คังชอลอิน ผู้จัดการปาร์คและลูกน้องของเขากำลังเผชิญหน้ากันอยู่บนดาดฟ้าที่มีสายลมแรงพัดผ่าน

 

‘หืม… นี่เรายังปวดหัวอยู่อีกงั้นเหรอเนี่ย สงสัยต้องกลับไปนอนพักสัก 2 – 3 วัน’

 

คังชอลอินยุ่งอยู่กับการคิดถึงสิ่งอื่นแม้จะอยู่ต่อหน้าแก๊งนักเลงที่มีร่างกายสมบุกสมบัน

 

ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้…

 

ราชสีห์จะไม่หวั่นกลัวหรือกระสับกระส่ายเพียงเพราะแมลงวันที่บินมารบกวน และเพราะแบบนั้นคังชอลอินจึงไม่ได้สนใจอะไรกับกลุ่มคนตรงหน้า

 

‘ก่อนอื่นก็ต้องพักอย่างน้อยสัก 2 วัน จากนั้นเราควรทำอะไรก่อนดี? ควรไปออกกำลังกายอีกครั้ง … โอ้! ควักจอง ต้องตามหาตัวควักจองก่อน!’

 

คังชอลอินได้ตัดสินใจออกตามหาตัวนักยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถเทียบเคียงพอกับลีกงมยองก่อนเป็นอย่างแรก จากภารกิจทั้งหมดของคังชอลอิน การออกตามหาตัวควักจองเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก มันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วเพราะในช่วงนี้ลีกงมยองกำลังเข้าศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สหรัฐฯอยู่กับอเล็กซ์ รอสต์ไชลด์ มิตรภาพของพวกเขาที่สร้างขึ้นมาแล้วคงยากที่จะแทรกแซงได้ ขณะที่การตามหาตัวควักจองน่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมากกว่า ตามคำพูดที่เคยได้ยินมา ควักจองคือคนจากกรุงโซล ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้อมูลที่แม่นยำอะไรแต่ก็เพียงพอแล้วที่จะนำไปดำเนินการต่อ

 

‘เราต้องตามหาตัวเขาให้เจอให้ได้’

 

การตามหาคนที่เกาหลีใต้ไม่ใช่เรื่องที่ยากมากมายอะไร หากมีชื่ออยู่แล้วก็สามารถค้นหาผ่านทาง Facebook หรือ Twitter และหากหาจากทั้งสองทางนี้ไม่ได้ก็ค้นที่ Google และหากวิธีการเหล่านี้ยังไม่ได้ผลอีกก็สามารถไปจ้างนักสืบให้มาช่วยตามหาได้

 

แม้ว่ามันจะมีค่าใช้จ่าย แต่การตามหาคนให้เจอในระยะเวลาอันสั้นก็นับว่าเป็นวิธีที่คุ้มค่าดี

 

‘ใช้วิธีตามสืบนี่แหละ’

 

การจ่ายเงินไปเลยน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการติดอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์เพื่อตามหาที่อยู่ของควักจองผ่านอินเทอร์เน็ต

 

อืม…ถ้าเป็นสำนักงานนักสืบหรือที่พวกรับงานตามสืบก็มักจะดำเนินการโดยพวกแก๊งอันธพาล…

 

เมื่อความคิดนั้นแล่นผ่านเข้ามาในจิตใจ คังชอลอินก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับพวกนักเลงที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

 

“หึ ช่างเหมาะเจาะอะไรขนาดนี้นะชีวิต”

 

คังชอลอินยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเป็นประกาย

 

“อะไรของไอ้เวรนี่วะ?”

 

เมื่อผู้จัดการปาร์คหันไปสบตากับคังชอลอินเขาก็เกิดอาการสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกหนาวเย็นแล่นผ่านไปทั่วร่างกายอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกเป็นกระวนกระวายราวกับว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อและกำลังถูกทำลายอีโก้ที่เขามีลงไปอย่างช้า ๆ ลางสังหรณ์ที่บอกว่าเขาจะได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บโผล่ขึ้นมาในความคิดเฉียบพลัน

 

“นี่ หัวหน้าแก๊ง”

 

คังชอลอินเอ่ยเรียกผู้จัดการปาร์ค

 

“หัวหน้าแก๊ง?”

 

“ก็ใช่น่ะสิ เป็นหัวหน้าแก๊งไม่ใช่หรือไง? จะให้เรียกอะไรได้อีก หัวหน้าประชาชน?”

 

“ไอ้เวรนี่!”

 

“ฉันไม่กลัวพวกแกหรอกไม่ต้องมาขู่ ฉันมีอะไรบางอย่างอยากให้ไปทำหน่อย”

 

ผู้จัดการปาร์ครวมถึงลูกน้องของเขาพากันตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นคังชอลอินก็พูดต่อว่า

 

“มาทำงานให้ฉันซะ”

 

ผู้จัดการปาร์คหมดคำพูดเมื่อจ้องมองคังชอลอินที่ทำให้ต้องงงงันกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากการอยากเอาชนะความหยาบคายของไอ้เด็กเวรคนนี้แต่ปัญหาคือคนที่พูดอะไรแบบนี้มักจะมีความมั่นใจและฝีมืออยู่เสมอ

 

“เป็นบ้าหรือไงวะไอ้เวรเอ๊ย!”

 

ลูกน้องของผู้จัดการปาร์คไม่สามารถข่มอารมณ์ความโกรธของตัวเองได้อีกต่อไป เขาคำรามและแกว่งหมัดพุ่งเข้าหาคังชอลอิน

 

“จะทำอะไร?”

 

คังชอลอินสามารถหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาพร้อมเตะเข้าที่เข่าของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ด้วยเสียงกระดูกหักที่ดังลั่น ลูกน้องของผู้จัดการปาร์คล้มลงไปกับนอนกับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ไม่สามารถยืนได้

 

“บ…บอส!”

 

ลูกน้องอีกคนของแก๊งนักเลงเรียกผู้จัดการปาร์คจากนั้นก็พุ่งตัวเข้าหาคังชอลอินไปอีกคน

 

“เห้ย ไอ้สวะ!”

 

นักเลงคนนี้พยายามที่จะตรึงร่างของคังชอลอินไว้โดยใช้แรงจากน้ำหนักตัวเองที่เหมือนจะมีมากกว่า 100 กิโลกรัม อย่างไรก็ตามคังชอลอินคือคนที่แข็งแรงที่สุดในแพนเจีย แม้จะไม่มีทักษะแต่พลังของเขาไม่มีทางเปรียบกับมนุษย์โดยทั่วไปได้

 

ปึก! ปึก!

 

หมัดสองหนึ่งพุ่งชนใบหน้า

 

แคร่ก!

 

และจังหวะหมัดที่ตามหลังมาก็เสยเข้าที่คางของนักเลงอย่างจัง

 

นักเลงตัวใหญ่ล้มลงไปกับพื้นเสียงดังราวกับก้อนหินที่ถูกแบ่งครึ่งและจากนั้นก็เงียบไป เขาถูกน็อคเอาท์โดยสมบูรณ์

 

“ไว้เวรนี่มัน…นักสู้มืออาชีพหรือไงวะ?”

 

ผู้จัดการปาร์คที่เห็นลูกน้องของตัวเองล้มลงไปกับพื้นทีละคนเพียงพริบตาก็รู้แล้วว่าเขากำลังเล่นงานผิดคน

 

“นักสู้อะไร” คังชอลอินยิ้มเยาะตอบกลับ

 

“เห็นแบบนี้แล้วทำไมไม่ยอมตอมรับข้อเสนอที่น่าสนใจของฉันสักทีล่ะ? ทำงานให้ฉันซะสิ”

 

“ไอ้เวรเอ๊ย!”

 

“หึ ถึงยังไงก็ต้องทำให้อยู่ดี”

 

“หุบปาก!”

 

ผู้จัดการปาร์คพุ่งตัวเขาหาคังชอลอินด้วยความโกรธในทันที

 

คังชอลอินสังเกตได้ว่าผู้จัดการปาร์คกำลังจะใช้ทักษะการต่อสู้ภาคพื้นดินเมื่อเขาเริ่มย่อตัวทำท่าเตรียมพร้อม ดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะมีพื้นฐานด้านกีฬาอยู่บ้าง

 

“วันนี้แกได้พบคู่ต่อสู้ที่สูสีกับแกแล้วไอ้สวะ!”

 

ผู้จัดการปาร์คคำราม

 

สามารถรับรู้ความรู้สึกที่มุ่งมั่นและตั้งใจในน้ำเสียงที่เขามีต่อคังชอลอินได้อย่างชัดเจน

 

แต่น่าเสียดายที่ความมุ่งมั่นของผู้จัดการปาร์คเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน

 

คังชอลอินได้รับพรสวรรค์จากความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เกิดและเขาก็ยังเป็นคนที่ทำงานหนักมามากอีก

 

ในชีวิตที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้และศึกษาศิลปะการต่อสู้ร่วมสมัยมาเกือบทั้งหมดด้วยตัวเอง

 

แม้ผู้จัดการปาร์คจะเป็นมือสมัครเล่นที่ฝีมือดีที่สุดแล้วก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเขา

 

‘ได้ ถ้าต้องการแบบนั้น’

 

คังชอลอินหันร่างเข้าอีกฝ่ายแล้วเจาะหมัดเข้าใส่ผู้จัดการปาร์คอย่างแรง

 

“ฮุก!”

 

ไม่มีเวลาให้ได้ส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ คังชอลอินคว้าเข้าที่เอวของผู้จัดการปาร์คแล้วยกเขาขึ้นไปด้านหลังเพื่อทุ่มลงพื้นเพื่อใช้ท่าซูเพลกซ์แบบที่เห็นได้ทั่วไปในมวยปล้ำ

 

“อะ … เอื้อ!”

 

ผู้จัดการปาร์คร้องโอดครวญด้วยความเจ็บหลัง

 

“ยืนขึ้น มันไม่เจ็บขนาดนั้นด้วยซ้ำ”

 

คังชอลอินพูดด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น

 

ความจริงแล้วท่าซูเพลกซ์ไม่ใช่ทักษะที่สร้างความเสียหายอะไรมากมายหากเป็นในกรณีที่ใช้บนเสื่อหรือมีพื้นเวทีรองรับ แต่การใช่ท่านี้บนพื้นเปล่ามันจะไม่เป็นการพูดเกินจริงเลยว่าเป็นท่าที่อาจนำความเสียหายจนมาถึงตายได้

 

“ไอ้เวร ไอ้สวะ ฉันจะฆ่าแก!”

 

ความคิดริเริ่มของผู้จัดการปาร์คที่ตั้งใจจะขู่คังชอลอินเพียงเท่านั้นเป็นอันสูญหายไป

 

“แกตายแน่!”

 

ผู้จัดการปาร์คลุกขึ้นยืนและเข้ามาหาคังชอลอินอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะทนความเจ็บปวดและความอดทนได้ดีพอสมควร อาจเป็นเพราะเขาคือหัวหน้าที่ต้องคุมแก็งทั้งหมด

 

‘ไม่เลว แต่ต้องหัดรู้จักที่ยืนของตัวเองซะบ้าง…’

 

คังชอลอินยอมรับการอดทนของผู้จัดการปาร์คแต่ตัดสินใจที่จะสอนบทเรียนบางอย่างให้กับเขาต่อ หากต้องการให้ใครสักคนมาทำงานให้อย่างเชื่อฟัง เราก็ต้องแสดงความสามารถในการควบคุมออกไป

 

“ตึก!”

 

คังชอลอินปั่นลูกเตะมุมต่ำเข้าชนน่องทางซ้ายของผู้จัดการปาร์คอย่างแรง

 

“โอ๊ย!”

 

ผู้จัดการปาร์คส่งเสียงร้อง

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ยอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้จัดการปาร์คเข้าหาคังชอลอินอีกครั้งโดยปิดระยะห่างระหว่างพวกเขา มันคือความภาคภูมิใจของผู้จัดการปาร์คที่ไม่ยอมพ่ายให้กับคังชอลอิน

 

‘โอ้? ดูสิจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน?’

 

คังชอลอินคิดเมื่อโจมตีไปที่น่องทางซ้ายของผู้จัดการปาร์คอีกครั้ง เขาโจมตีไปที่จุดเดิมซ้ำอีกหน!

 

“ตึก!”

 

เสียงดังชัดเจนเกิดขึ้นลั่นทั่วดาดฟ้า

 

“อั่ก…”

 

ผู้จัดการปาร์คคุกเข่าล้มลงอย่างหมดแรง

 

“หืมม…มันคงไม่แตกหรอกใช่ไหม?”

 

คังชอลอินมองผู้จัดการปาร์คราวกับว่าเขาเป็นงานศิลปะที่จงใจสร้างขึ้นมาขณะพึมพำกับตัวเอง ผู้จัดการปาร์คผู้ที่ได้ยินทุกอย่างก็เลือกที่จะเติมเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟอีกครั้ง

 

“ไอ้สารเลว! ไอ้ปีศาจ!”

 

ผู้จัดการปาร์คอุทานราวกับว่าเขากำลังบ่นเรื่องสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม

 

“แกโจมตีที่เดียวกันซ้ำ ๆ! ไอ้ชาติชั่วโสมมเอ้ย!”

 

ขณะที่เขากำลังกรีดร้องโวยวาย น้ำตาก็พลันไหลท่วมท้นใบหน้าพร้อมกับน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูก บนชั้นดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่งในย่านซอโช ผู้ใหญ่ที่โตแล้วและมีหน้าที่การงานเป็นถึงหัวหน้าคุมแก๊งนักเลงกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอย่างไม่อายตัวเอง

 

“อืม…ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยสินะ”

 

คังชอลอินมองดูด้วยความไม่พอใจ

 

“นี่ ไม่ได้เรียนรู้อะไรไปบ้างเลยหรือไง?”

 

ผู้จัดปาร์คสะดุ้งตัวโหยง นี่มันยังไม่จบอีกงั้นเหรอ?

 

“ได้ งั้นฉันจะนวดให้แกไปอีกสักพักก็แล้วกัน!”

 

คังชอลอินยิ้มแบบชั่วร้ายพลางก้าวเข้าใกล้ผู้จัดการปาร์ค

 

“มะ…แม่!!”

 

ผู้จัดการปาร์คยอมรับว่าความอดทนและความภาคภูมิใจของเขาในฐานะนักเลงได้แตกสลายสิ้นแล้วในขณะร้องเรียกหาแม่ที่เขาทิ้งไว้ที่บ้านเกิด

 

และจากนั้นไม่นาน เสียงร้องดั่งโรงเฉือนสัตว์ก็ดังขึ้นบนชั้นดาดฟ้าจนลอยล่องขึ้นไปในอากาศ

The Overlord of Blood and Iron

The Overlord of Blood and Iron

Author:
มหาศึกจอมราชันย์ The Overlord of Blood and Iron บทนำ คังชอลอิน จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าจนใครต่างต้องสยบ เหตุสูญเสียทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อพิชิตกับความท้าทายอีกครั้งในการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่และผู้ควมคุมทวีปแพนเจีย คังชอลอินจะสามารถเอาชนะจอมราชันย์ทั้งเก้าเพื่อปกครองทวีปแพนเจียได้หรือไม่?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset