Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 73 ข้อมูลที่ไม่คาดคิด

ฝีเท้าของเขาเต็มไปด้วยความเร่งรีบและสีหน้าก็ฉายความวิตกกังวลเล็กน้อย ลูเซียนทำตัวเหมือนคนอื่นๆ ที่เพิ่งพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่า หากเทียบกับคนส่วนใหญ่ที่จะลนลานและร้อนรน เขาดูจะสงบเยือกเย็นกว่ามาก อย่างไรเสีย ตอนที่ลูเซียนพูดคุยกับนักบวชของลัทธินอกรีตผ่านทางจดหมาย เขาก็ได้แสดงท่าทีสงบนิ่งต่อเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ดังนั้น การแสร้งทำเป็นหวาดกลัว แสร้งว่าตื่นตระหนกเกินไป หรือสงบเยือกเย็นเกินไปอาจทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้

ลูเซียนตั้งสมาธิแผ่พลังจิตออกจากตัว คล้ายกับว่าดวงจิตของเขาหลุดออกจากร่าง เฝ้ามองลงมาที่ตนเอง และค่อยๆ ตรวจสอบฝูงชนรอบตัว เขาเร่งรีบไปยังเขตขุนนางเพื่อเป็นการล่อหลอก!

แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เป็นวันอาทิตย์ตอนใกล้เที่ยงวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างวันที่เขตอาเดรอนจะมีชีวิตชีวามากที่สุด และอีฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่าลูเซียนในตอนนี้ ลูเซียนจึงไม่พบอะไรผิดปกติ เขาทำได้เพียงพึ่งพาพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพื่อให้ตำแหน่งของเขาไม่ชัดเจน

แม้ว่าประตูระหว่างเขตอาเดรอนและเขตขุนนางจะเปิดอยู่ ผู้คนกลับบางตาอย่างยิ่ง มีคนจนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำงานหนักค่าแรงถูกอยู่ในคฤหาสน์ขุนนางที่กำลังรีบกลับไปทำหน้าที่หลังจากไปโบสถ์มา

ยามเฝ้าประตูสองนายยืนอยู่ด้วยท่าทางเกียจคร้าน เฝ้ามองกลุ่มคนจนเดินผ่านไปด้วยความรู้สึกเหนือชั้นกว่าผู้อื่นเล็กน้อย พวกเขาคือผู้ที่หมดโอกาสได้เป็นอัศวินอย่างเต็มตัว นับแต่เข้าร่วมเป็นทหารยามรักษาเมือง พวกเขาก็หลงเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งของนครอัลโต้ ลืมเลือนสิ่งที่พวกตนเคยเรียนรู้มาตอนฝึกฝนเป็นอัศวินไปเสียมาก

ฉับพลันนั้น พวกเขาก็เห็นชายตัวค่อนข้างสูงสวมชุดสูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวผู้หนึ่งเดินมาทางพวกตนอย่างเร่งรีบ เป็นลูเซียนที่สวมเสื้อผ้าดูดีและมีท่าทางไม่ธรรมดา ซึ่งดูค่อนข้างแปลกประหลาด พวกเขาจึงเอ่ยรั้งออกไปโดยไม่รู้ตัว “ท่านจะเข้าไปทำอะไรในเขตขุนนางเช่นนั้นหรือ”

“เขตขุนนางจำเป็นต้องตรวจสอบตอนกลางวันด้วยหรือ” แม้ว่าลูเซียนจะบังคับตัวเองให้นิ่งสงบเพียงใด แต่ความวิตกกังวลในใจก็เป็นของจริง ดังนั้นน้ำเสียงและท่าทางในการพูดของเขาจึงค่อนข้างแย่

หลังจากที่แรนเดอร์รั้งตัวลูเซียนไว้ เขาก็พลันตระหนักว่าตนทำผิดพลาดไป จากนั้นยังโดนท่าทาง ‘หยิ่งยโสและร้ายกาจ’ ของลูเซียนกดดันอีก เขาจึงรีบหาข้ออ้างเพื่อขอโทษออกไปโดยเร็ว “ข้าขออภัยขอรับท่าน แต่ช่วงนี้เรากำลังตรวจหาผู้ศรัทธาในปีศาจและนั่นอาจทำให้เราวิตกกังวลจนเกินไป โปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ”

ลูเซียนพยักหน้าเล็กน้อย และทำท่าจะออกเดิน แต่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจ แล้วเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ข้ามาที่เขตขุนนางเพื่อมาหาเพื่อนร่วมชั้นของข้าที่ชื่อเฟลิเซีย เฮย์น บิดาของนางคือเออร์เบน เฮย์น เป็นอาลักษณ์ในศาลาว่าการ พวกเจ้ารู้ไหมว่าคฤหาสน์ของนางอยู่ตรงไหน”

“ท่านเออร์เบน เฮย์น อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 158 ในเขตขุนนาง คฤหาสน์เก่าของตระกูลเฮย์นขอรับ” แรนเดอร์ประทับใจในตัวเออร์เบนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของกงสุลในศาลาว่าการ เพราะว่าทหารยามในนครอัลโต้นั้นถือว่าอยู่ภายใต้การจัดการของเขา

ลูเซียนกล่าวตอบสั้นๆ “ขอบใจ” จากนั้นก็เดินผ่านประตูไป

เมื่อเข้ามาในเขตขุนนางก็จะเจอกับอัศวินมากมาย และมีกระทั่งมหาอัศวินอยู่หลายคน นักบวชลัทธินอกรีตอาจไม่กล้าเข้ามาให้เขาเกินไป เขาจึงบอกจุดหมายเอาไว้ก่อน หากว่าอีกฝ่ายไม่สามารถตามเข้าไปได้และไม่รู้ว่าเขาเข้าไปทำอะไร นั่นหมายความว่าพวกนั้นติดตามเฝ้าดูเขาได้ไม่นาน ในอนาคต ตราบใดที่เขาสลัดฝ่ายนั้นหลุด เขาก็จะเตรียมความพร้อมได้บ้าง แต่ถ้าพวกนั้นตามติดไปได้ ก้าวต่อไปก็คือการทดสอบว่าพวกมันใช้อะไรในการติดตามเฝ้าดูเขา

ขณะมองแผ่นหลังลูเซียน แรนเดอร์ก็บ่นพึมพำว่า “เจ้าหนุ่มนี่แต่งตัวราวกับสุภาพบุรุษคนหนึ่ง แต่กลับไม่รู้แม้แต่ที่อยู่ในเขตขุนนาง นี่เขาใช้ใบหน้าของเขาเพื่อล่อลวงท่านหญิงเฟลิเซียหรืออย่างไรกัน”

นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่ลูเซียนได้เข้ามาในเขตขุนนาง เมื่อเปรียบกับค่ำคืนแห่งพายุฝนเมื่อคืนก่อน เขตขุนนางในตอนนี้ดูงดงามกว่ามาก สองข้างทางมีต้นไม้และดอกไม้ประดับเรียงราย และมีคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สร้างอยู่บนพื้นที่กว้างขวางด้วยสถาปัตยกรรมแตกต่างกันไปตามยุคสมัย มีตั้งแต่สถาปัตยกรรมจากยุคจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณแสนมืดมนทว่าอลังการ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมที่ดูเคร่งขรึมจริงจังจากช่วงที่ศาสนจักรเรืองอำนาจสูงสุด นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมแบบเมือง ‘เทรีย’ แสนซับซ้อนหรูหราที่คล้ายกับสไตล์บารอกซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน และส่วนใหญ่แล้วจะมีคฤหาสน์เพียงหนึ่งหลังบนถนนเส้นหนึ่ง

รถม้าเคลื่อนผ่านไปช้าๆ บนถนนปูด้วยหิน ทุกๆ ครั้งที่รถม้าแล่นผ่านลูเซียน คนในรถก็จะเหลือบมองด้วยความประหลาดใจ เพราะแม้ว่าลูเซียนจะแต่งตัวอย่างเป็นทางการ และไม่อาจตัดสินคุณภาพของเนื้อผ้าได้จากระยะไกล แต่ในเมื่อออกมาข้างนอกโดยไม่ได้นั่งรถม้า เขาย่อมไม่ใช่ชนชั้นขุนนาง!

ทันใดนั้น รถม้าคันหนึ่งก็มาหยุดข้างๆ ลูเซียน แล้วหน้าต่างรถก็เปิดออกพร้อมกับเสียงก๊อกแก๊ก หญิงสาวชนชั้นสูงผู้มีผมยาวสีแดงเบอร์กันดีและหุ่นอวบอัดสง่างามใช้มือข้างหนึ่งเลิกผ้าคลุมหน้าสีดำที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งขึ้น แล้วส่งยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านคือท่านอีวานส์ใช่หรือไม่ การแสดงเมื่อคืนนี้ยอดเยี่ยมมากเลย”

แม้ว่าจะวิตกกังวลอย่างหนัก แต่ลูเซียนก็ยังคงสงบนิ่ง ตอบกลับไปด้วยมารยาทอย่างสุภาพชน “ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับ ท่านหญิง หากไม่รังเกียจ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่”

“โอ้ ข้าคืออีเว็ตต์ ฮิลล์ เพื่อนสนิทของเฟลิเซีย ท่านอีวานส์มาหานางที่นี่งั้นหรือ” อีเว็ตต์มองอัจฉริยะทางด้านดนตรีที่อายุน้อยกว่าสิบแปดปีด้วยความสนใจ

หากไม่นับรวมตระกูลไวโอเล็ต ตระกูลฮิลล์ กับตระกูลเฮย์น และตระกูลราฟาติ ถือว่าเป็นสามตระกูลใหญ่แห่งเขตการปกครองของดยุกแห่งออร์วาริต แต่ละตระกูลต่างมีเขตปกครองประจำตำแหน่งเอิร์ล

หลังจากได้ยินคำแนะนำตัวของอีเว็ตต์ ลูเซียนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นตราประจำตระกูลฮิลล์ที่ประกอบไปด้วยหอกและหมีท่าทางดุร้ายบนรถม้า “ขอรับ ท่านหญิงฮิลล์ ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับเฟลิเซีย”

“เช่นนั้นข้าเกรงว่าท่านคงต้องรออีกสักพัก เฟลิเซียยังอยู่ที่โบสถ์ทองคำอยู่เลย เพราะความสำเร็จของท่านวิกเตอร์เมื่อคืนวาน นางจึงขอสวดภาวนาตามลำพังเพิ่มเติมเพื่อขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าสำหรับพรของพระองค์” อีเว็ตต์แย้มยิ้มอย่างทรงเสน่ห์ “และเรียกข้าว่าอีเว็ตต์ก็พอ ตอนนี้ข้าเป็นผู้ภักดีต่อเสียงเพลงของท่านแล้วล่ะ ท่านอีวานส์”

ลูเซียนเค้นรอยยิ้มออกมา “ท่านหญิงอีเว็ตต์ ท่านก็เรียกข้าว่าลูเซียนก็พอขอรับ ข้าจะรอเฟลิเซียที่ด้านนอกคฤหาสน์ของนางก็แล้วกัน”

“ลูเซียน ท่านอายุน้อยกว่าข้าสองปีแท้ๆ ช่างเป็นอัจฉริยะที่เหนือจินตนาการจริงๆ” อีเว็ตต์ดึงผ้าคลุมหน้าลง เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามของนาง “หากท่านไม่คิดมาก ให้ข้าไปส่งท่านที่ด้านหน้าคฤหาสน์ของเฟลิเซียเถิด”

จากนั้นนางก็โบกมือสั่งสาวใช้ให้เปิดประตูรถม้า แล้วเชื้อเชิญลูเซียนให้ขึ้นไปโดยไม่หวาดเกรงสักนิดว่านี่อาจเป็นการทำลายชื่อเสียงของนาง

ลูเซียนไม่ปฏิเสธ ในเมื่ออีเว็ตต์เป็นสมาชิกของตระกูลฮิลล์ นางเองก็สามารถซื้อกุหลาบแสงจันทร์ได้เช่นกัน หากเฟลิเซียปฏิเสธที่จะช่วย เขาก็จะยังมีอีกทางเลือก

ทันทีที่ลูเซียนขึ้นมาบนรถม้า เขาก็ได้กลิ่นหอมวานที่แฝงไปด้วยความเย้ายวน

อีเว็ตต์เฝ้ามองลูเซียนนั่งลงด้วยความพึงพอใจ “อัจฉริยะนี่ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ท่านไม่เหนียมอายเลยสักนิด ส่วนใหญ่พวกผู้ชายมักเอาแต่คิดอยากทำ แต่ไม่กล้า ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะครหาเอาได้” นางโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ทำให้ช่วงคอคว้านกว้างของชุดกระโปรงยาวเผยอออก เผยให้เป็นเนินเนื้อขาวผ่องอวบอิ่มยวนใจ

ทว่าลูเซียนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมภาพตรงหน้า เขาจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “เดินไปตามทางของตัวเองและปล่อยให้ผู้อื่นพูดไปเถิด”

“เหมือนกับหลักปรัชญาเลย ข้าชอบนะ ลูเซียน ท่านน่าสนใจกว่าที่ข้าคิดเสียอีก” ดวงตาของอีเว็ตต์เปล่งประกายสดใส แต่นางกลับนั่งตัวตรง ไม่เข้าใกล้ลูเซียนจนเกินไป

รถม้าแล่นไปช้าๆ ในขณะที่อีเว็ตต์พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องดนตรีกับลูเซียนด้วยท่าทางสบายๆ บางครั้งบางคราว ขณะพูดอยู่ นางก็จะเข้ามาใกล้หรือแตะตัวลูเซียนเล็กน้อย ดูคล้ายกับว่านางกำลังเล่นเกมที่เรียกว่ายั่วยวน แต่น่าเสียดายที่นางได้พบกับลูเซียนในตอนนี้ เพราะลูเซียนกำลังอารมณ์เสียและจิตใจร้อนรน ดังนั้นเขาจึงแสดงออกเหมือนกับสุภาพบุรุษผู้เถรตรงและแข็งทื่ออย่างยิ่ง เพิกเฉยต่อเสน่ห์ของอีเว็ตต์โดยสิ้นเชิง ทำให้นางผิดหวังไม่น้อย

รถม้าของอีเว็ตต์ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์สามชั้นแสนหรูหราของเฟลิเซีย และในขณะเดียวกันนั้น รถม้าของเฟลิเซียก็มาถึงหน้าประตูรั้วพอดี

“ลูเซียน ทำไมเจ้าถึงมากับอีเว็ตต์กันเล่า” สีหน้าเฟลิเซียดูแปลกประหลาด

ลูเซียนลงมาจากรถม้า “ตอนที่ข้ากำลังมาหาเจ้า ข้าบังเอิญพบกับท่านหญิงอีเว็ตต์ และนางก็ใจดีช่วยพาข้ามาส่งน่ะ”

สีหน้าเฟลิเซียยิ่งดูประหลาดไปกันใหญ่ ผสมกับความโกรธเคืองเล็กน้อย “อีเว็ตต์ เจ้าทำอะไรลงไปกัน”

“ข้าจะไปทำอะไรได้กันเล่า ข้าเพียงใจดีพาลูเซียนมาส่งเท่านั้น” อีเว็ตต์มองไปทางเฟลิเซียด้วยรอยยิ้มกว้างจากหน้าต่างรถ “อย่าห่วงเลย เฟลิเซีย ระยะนี้ข้าชอบนักเวทย์ผู้ลึกลับมากกว่านักดนตรี” นางไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่านางยั่วยวนไม่สำเร็จ

“เจ้าเปลี่ยนความชอบไปตั้งแต่เมื่อไรกัน” เฟลิเซียนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

อีเว็ตต์ตอบด้วยท่าทางเต็มไปด้วยความปรารถนา “เมื่อคืนก่อน ตอนที่ข้าได้ยินข้อถกเถียงระหว่างอาร์ชบิช็อปซาร์ดกับเจ้าฟ้าหญิง พวกท่านพูดถึงนักเวทย์ลึกลับแปลกประหลาดที่ชื่อ ‘ศาสตราจารย์’ ซึ่งทำให้ข้าสนใจยิ่ง ข้าไม่เคยได้ลิ้มลองชายในเงามืดที่มักปิดบังใบหน้าไว้ใต้หมวกเสื้อคลุมมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาจะดูเป็นอย่างไรยามเปลือยกาย เขาจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไรเมื่อได้เห็นหญิงงาม ตอนนั้นจะเป็นอย่างไรกัน…”

สีหน้าของนางฉายชัดถึงความพยศ

ในฐานะลูกสาวคนเล็กของเอิร์ลฮิลล์ แม้ว่านางจะไม่มีทางได้รับสืบทอดตำแหน่ง แต่นางก็ยังมีสิทธิที่จะนั่งใกล้กับแกรนด์ดยุก

“เจ้า…” เฟลิเซียพูดอะไรไม่ออก แม้ว่านางกับอีเว็ตต์จะเป็นสหายสนิทกัน แต่งานอดิเรกเกี่ยวกับผู้ชายของอีเว็ตต์นั้นก็ไม่อาจรับได้จริงๆ สำหรับนาง ความเปิดเผยของอีเว็ตต์นั้นมีมากกว่าหญิงสาวชนชั้นสูงจากเมืองเทรียเสียอีก ทั้งๆ ที่นางเป็นชนชั้นสูงในนครอัลโต้แท้ๆ

ลูเซียนแทบจะเก็บอาการรักษานิ่งสงบไว้ไม่อยู่

นี่ทางโบสถ์กับแกรนด์ดยุกรู้นามแฝง ‘ศาสตราจารย์’ ของเขาแล้วงั้นหรือ

มีผู้ฝึกใช้มนตราใครไหนถูกจับตัวไปเมื่อคืนหรือไม่ หรือว่าจะมีสายลับในหมู่นักเวทย์กันนะ

‘ข้อมูลนี้มาได้จังหวะพอดีจริงๆ!’ ลูเซียนกำลังวางแผนจะซื้อวัตถุดิบเวทมนตร์ผ่านทางกลุ่มผู้ฝึกใช้มนตราและนักเวทย์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองและไปช่วยเหลือโจเอลกับครอบครัว ‘น่าประหลาดใจเสียจริง ฉันไม่คิดเลยว่าการฟังหญิงชนชั้นสูงสองคนคุยกันจะทำให้ฉันได้รับรู้เรื่องนี้ นี่มันข้อมูลสำคัญชัดๆ ดูเหมือนว่าฉันจะมาอยู่ในวงสังคมที่แตกต่างออกไปสิ้นเชิง สิ่งที่แตะต้องได้ช่างแตกต่างกัน! ไม่แปลกใจเลยที่พวกลัทธินอกรีตต้องการให้ฉันเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าหญิงไปนานๆ’

อีเว็ตต์เฝ้ามองสีหน้านิ่งเฉยของเฟลิเซียและสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยของลูเซียนอย่างสุขใจ ก่อนจะโบกผ้าคลุมหน้าในมือเพื่อบอกลา

เฟลิเซียชินชากับใบหน้างดงามของอีเว็ตต์ จึงได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองลูเซียนที่ยังคงมองไปทางรถม้า อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างประชดประชันลูเซียน ‘เจ้าอยากจะเป็นผู้ชายของอีเว็ตต์อีกคนหนึ่งล่ะสิ หรืออยากจะหาผลประโยชน์จากนางกันล่ะ’

จากนั้นนางก็ได้สติ “ลูเซียน เจ้ามาหาข้าทำไมงั้นหรือ”

……………………………………….

Throne of Magical Arcana

Throne of Magical Arcana

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’ ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset