War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3215

WSSTH ตอนที่ 3,215 : ค่ายกล มหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง
 
 
ไฉฉงอี้ เหลี่ยนชิวเหอ เห่าวั่ง
 
“ถงจิน 2 ท่านนี้มิใช่คนนอก”
 
หลังชายหนุ่มเบื้องล่างตะคอกจบคำ ไฉฉงอี้ก็เอ่ยออกเสียงเรียบ “ทั้งคู่คือผู้อาวุโสทรงเกียรติที่พึ่งจักเข้าร่วมกับนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเราเมื่อไม่นานมานี้”
 
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ส่วนท่านนี้คืออาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ”
 
ไฉฉงอี้เกริ่นเล็กน้อย ค่อยผายมือแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อออกมาให้ทั้ง 4 เบื้องล่างที่แต่ละคนกำลังชักสีหน้าอัปลักษณ์ได้รู้จัก
 
“อาวุโสทรงเกียรติทั้งสอง พวกมันล้วนเป็นคนของตระกูลถง…ตระกูลถงก็คือ 1 ใน 4 ขุมกำลังระดับ 6 ของทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือ ถงจินผู้นั้นก็คือผู้นำตระกูล ส่วนอีก 3 คนที่เหลือเป็นชนชั้นอาวุโสระดับสูง”
 
หลังกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้อีกฝ่ายรู้จักแล้ว ไฉฉงอี้ ก็กล่าวบอกความเป็นมาของทั้ง 4 ให้ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อรับทราบต่อ
 
“ฮ่วนเอ๋อ พวเรามาโยนพวกมันออกไปข้างนอกกันเถอะ”
 
เมื่อเห็นว่าทั้ง 4 เบื้องล่างไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองพวกมันด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ
 
“ได้เลยพี่หลิงเทียน”
 
ฮ่วนเอ๋อขานรับเร็วไว สองตากลมฉายแววจ้า จากนั้นพลังวิญญาณมหาศาลขุมหนึ่งก็กำจายออกจากร่างนางเร็วไว ปกคลุมไปยังร่างทั้ง 4 ในฉับพลัน!
 
และทันทีทั้ง 4 ถูกพลังวิญญาณของฮ่วนเอ๋อปกคลุม ลูกตาพวกมันก็หดเล็กลงทั่วร่างเสมือนถูกผนึกแข็ง และทันใดนั้นเองร่างต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบวูบมาผุดโผล่ด้านหลังพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็หวดเตะใส่ก้นพวกมันเต็มข้อ!
 
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
 

 
กว่าที่ทั้ง 4 จะเคลื่อนไหวร่างได้อีกครั้งพวกมันก็ถูกเตะโด่งลอยละลิ่วปลิดปลิวออกมานอกหุบเขาน้ำแข็งแล้ว ร่างยังกระแทกพิ้นกลิ้งหลุนๆไปพักหนึ่ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวว โดยเฉพาะก้นพวกมันที่ระบบนัก คงยากจะนั่งลงได้อีกหลายวัน!
 
จังหวะนี้สีหน้าทั้ง 4 เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
 
มองไปยังฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในหุบเขาน้ำแข็งอีกครั้ง ดวงตายังฉายแววหวาดกลัวถึงที่สุด
 
“บ้าไปแล้ว! ทั้ง 2 นั่นจากกลิ่นอายพลังยังไม่ใช่จอมราชันอมตะด้วยซ้ำ ไฉนพวกมันถึงได้น่ากลัวนัก เมื่อครู่นางทำอะไรกันแน่? และเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น หากมันไม่ยั้งมือเอาไว้ พวกเราไม่ถูกมันเตะตายคาเท้าไปแล้วหรือ!?”
 
ชายชราของตระกูลถงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงหวาดผวาเสียขวัญ
 
“สตรีนางนั้นเมื่อครู่นางใช้พลังวิญญาณอันใดกัน แถมระดับพลังของนางยังเป็นแค่ราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น…ที่สำคัญเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นยังเป็นแค่ราชาอมตะ 9 ตำหนักด้วยซ้ำ แต่ไฉนถึงได้ร้ายกาจนักเล่า!?”
 
สีหน้าชายวัยกลางคนตอนนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหลือเกิน เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณของฮ่วนเอ๋อกับกลิ่นอายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือของทั้งคู่ออกมาหมดสิ้น
 
ที่แท้คนที่เตะโด่งจอมราชันอมตะเช่นพวกมันทั้ง 4 ออกนอกหุบเขาน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย ยังเป็นเพียงราชาอมตะ!
 
หากเมื่อก่อนมีผู้ใดมาบอกพวกมันว่ามีราชาอมตะที่ร้ายกาจถึงขั้นเตะตูดพวกมันจนปลิวได้ง่ายๆแบบนี้ ให้ตายพวกมันก็ไม่มีวันเชื่อแน่นอน!
 
แต่ตอนนี้ พอมาโดนดีกับตัว ต่อให้ไม่อยากจะเชื่อแค่ไหนก็ต้องเชื่อ!
 
“ข้าว่าเป็นพวกเราประมาทพวกมันมากเกินไปมากกว่า! หาไม่แล้วไฉนอยู่ๆจะโดนพวกมันเล่นงานได้ง่ายๆแบบนี้?”
 
ถงจินเอ่ยออกเสียงหนัก
 
“ข้าก็คิดแบบนั้น”
 
ชายวัยกลางคนอีกคน ก็เอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วย
 
ครู่ต่อมาพวกมัน 2 คนก็เหินร่างขึ้นไปในอากาศทีละคน เห็นได้ชัดว่าคิดลุยกลับเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งอีกรอบ
 
“หากยังกล้าเข้ามาอีก…ถ้างั้นวันนี้ก็อย่าหวังจะได้ไปไหน
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเย็น
 
“ฮ่าๆๆๆ…ข้าขอบังอาจแนะนำพวกเจ้าทั้ง 4 สักครา ว่าอย่าได้ลองดีเสียประเสริฐกว่า กระทั่งข้ากับสหายเหลี่ยนร่วมมือกัน ยังมิใช่คู่มือผู้อาวุโสทรงเกียรติคนใหม่ของนิกายอมตะเสวี่ยหยาสักท่านเลย”
 
เห่าวั่งกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
 
แน่นอนว่าที่มันกล่าวออกมาก็เพราะคิดจะขู่ให้ทั้ง 4 หวาดกลัวโดยเฉพาะ และทั้ง 4 ก็หวาดกลัวจริงๆ สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปในฉับพลัน จากนั้นก็เลือกจะถอนตัวจากไป
 
“ไฉฉงงอี้ เหลี่ยนชิวเหอ เห่าวั่ง…เวลาในหุบเขาน้ำแข็งของนิกายอมตะเสวี่ยหยาพวกเจ้า มิใช่แค่ตระกูลถงของข้าเท่านี้ที่กำหนด หากพวกเจ้าคิดจะทวงคืนเวลาทั้ง 3 เดือนกลับคืน เจ้าต้องได้รับความยินยอมจากพวกเรา 3 ขุมกำลังทั้งหมด!”
 
ก่อนจากไป ถงจินกวาดตาเย็นชามองไฉฉงอี้กับพวก พร้อมเอ่ยทิ้งท้ายเสียงเข้ม “พวกเราจักไปเยือนนิกายอมตะเชียนฉวิน กับตระกูลซือถูเดี๋ยวนี้…ข้าหวังว่าพวกเจ้านิกายอมตะเสวี่ยหยาจักสามารถโน้มน้าวพวกเรา 3 ขุมกำลังได้สำเร็จ!”
 
กล่าวจบคำทั้ง 4 ก็เหินร่างจากไปเร็วไว
 
“หึ! พวกมันไปขนจอมราชันอมตะทั้งหมดมาแล้วะจะอย่างไร? มีผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 อยู่ หากพวกมันยังกล้าโอหัง ก็อย่าได้โทษที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาเราจักยึดหุบเขาน้ำแข็งไว้แต่เพียงผู้เดียว!”
 
เหลี่ยนชิวเหอสบถกล่าวออกมาเสียงเย็น
 
“ไฉนท่านพูดแบบนั้นเล่า…ไม่ใช่ว่าเดิมทีท่านบอกจะให้พวกข้าช่วยทวงคืนเวลา 2 เดือนของนิกายอมตะเสวี่ยหยากลับมาก็พอหรือไร?”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวแซว
 
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ไฉฉงอวี้กับพวกที่กำลังคึกคักก็คลี่ยิ้มเขินอายออกมาทันที
 
หลังกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาให้ความสนใจหุบเขาน้ำแข็ง เพราะเขาเองก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่หนาแน่นบรูณ์จริงๆ หากเขาบ่มเพาะพลังที่นี่พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาต้องเพิ่มขึ้นแน่
 
นอกจากนั้นในหุบเขาน้ำแข็งแห่งนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายยะเยือกเสียดกระดูก กลิ่นอายดังกล่าวช่างลึกลับเหลือเกิน เพราะบางครั้งเขาก็รู้สึกเสมือนว่ามันดำรงอยู่ แต่วินาทีต่อมากลับหายไปแล้ว ยากเข้าใจได้จริงๆ
 
‘กฏน้ำแข็งงั้นรึ’
 
พอฉุกคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของพวกไฉฉงอี้ทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก  ว่านี่สมควรเป็นพลังอำนาจของกฏน้ำแข็งแน่นอน
 
สิ่งที่เป็นดั่งนามธรรมเช่นกฏนั้น ไม่อาจจับต้องได้ มีเพียงต้องบรรลุความเข้าใจมันด้วยตัวเองเท่านั้น
 
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ที่นี่ล่ะ กลิ่นอายของมันมาจากตรงนั้น!”
 
ทันใดนั้นเองเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูเขา
 
ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทันที จึงตระหนักถึงสิ่งที่ฮ่วนเอ๋อบอก “นั่นสมควรเป็นค่ายกลประหลาดที่ทั้ง 3 เคยบอกไว้…ค่ายกลที่จอมราชันอมตะทั้งหมดในแถบนี้ร่วมมือกันยังไม่อาจทำลายมันได้”
 
“พี่หลิงเทียนค่ายกลนี้ทรงพลังมากจริงๆ…อย่างไรก็ตามในมรดกความทรงจำของข้าดูเหมือนจะมีเรื่องราวของค่ายกลนี้บันทึกเอาไว้ด้วย เหมือนมันจะเรียกว่า ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง…เป็นค่ายกลที่มีไว้กักเก็บ สิ่งเย็นจัด โดยเฉพาะ”
 
ฮ่วนเอ๋อกล่าวอต้วนหลิงเทียน
 
“ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็ง?”
 
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทวนคำด้วยความสงสัย จากนั้นจึงลองกล่าวถามเทพเบญจธาตุในร่างทั้ง 3 ดู “พวกท่านมีผู้ใดรู้จักค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งบ้างหรือไม่?”
 
เทพเบญจธาตุทั้ง 3 ในร่างเขา จะทองเทพสุดลี้ลับก็ดี เพลิงเทพโกลาหลก็ดี หรือจะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทุกคนล้วนมีความทรงจำอันเก่าแก่โบราณผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน ไม่ต่างอะไรกับสารานุกรมเดินได้ เขาเชื่อว่าถ้าค่ายกลหหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งทรงพลังมากพอ ทั้ง 3 ต้องรู้จักแน่…
 
“หืม? ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งรึ?”
 
“เจ้าหนู ไฉนเจ้าถามเรื่องนี้…หรือเจ้าพบเจอมัน?”
 
เสียงเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงฟังแล้วูเหมือนจะแปลกใจกันไม่น้อย
 
“หากที่เจ้าพบเจอเป็นค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งจริงๆ เช่นนั้นมันต้องกำลังกักเก็บบางสิ่งที่เย็นจัดอยู่แน่ๆ…โดยทั่วไปแล้วสมบัติฟ้าดินที่มีคุณสมบัติเย็นจัดถึงขั้นต้องใช้ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งกักเก็บเอาไว้ จักมีคุณค่าสูงล้ำสำหรับจิตวิญญาณศาสตรา…ดูท่าคงมีใครพบเจอสมบัติฟ้าดินเย็นจัดแต่ยังไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกจะใช้ จึงตั้งค่ายกลนี่เพื่อกักเก็บเอาไว้ก่อน หมายกลับมาใช้ในภายหลัง…”
 
เสียงเด็กยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นตบท้าย และฟังดูมันก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน
 
“เฮ่ เจ้าหนู! หากที่เจ้ากำลังพบเจอเป็นค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งจริงๆ อย่างน้อยๆผู้ที่จัดตั้งมันได้ก็ต้องเป็นชนชั้นยอดฝีมือของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม…เจ้าอย่าได้ทะลึ่งใช้กำลังเด็ดขาด ไม่งั้นมีหงายเงิบแน่! สิ่งที่เจ้าทำได้คือปล่อยให้หวงเอ้อเข้าไปตรวจสอบดูว่านางใช้ประโยชน์ขากของด้านในได้รึเปล่า อย่างไรเสียนางก็คือจิตวิญญาณกระบี่ ค่ายกลมหาวัฎจักรฟ้าเยือกแข็งย่อมไม่ปิดกั้นนาง”
 
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวสืบต่อ
 
“หวงเอ้อ?”
 
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง ก่อนจะกล่าววเห็นด้วย “ตามนั้น”
 
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกไฉฉงอี้ทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ยกมือขึ้นและตบฟาดพลังฝ่ามือออกไปยังพื้นเบื้องล่างจนก่อให้เกิดหลุมน้ำแข็งขนาดใหญ่ทั้งลึกไม่ใช่เล่นๆ แต่ไม่ทันไรก็ปรากฏไอเย็นยะเยือกทั้งแสงสว่างสาดส่องออกมาจากก้นหลุมน้ำแข็งที่ว่า
 
“ขออาวุโสทรงเกียรติโปรดระวัง นั่นเป็นค่ายกลที่พวกเราเคยกล่าวถึง!”
 
ไฉฉงอี้เอ่ยออกเสียงขรึม “ท่านอาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ค่ายกลนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง! ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะสมญานาม ข้าเกรงว่าคงไม่อาจทะลวงฝ่าได้ ท่าน…”
 
ในขณะที่ไฉฉงอี้คิดกล่าวเกลี้ยกล่อมต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้สนใจจะฟังมัน เลือกที่จะโดดลงไปในหลุมน้ำแข็งหน้าตาเฉย
 
เห็นฉากดังกล่าวสีหน้าคนนิกายอมตะเสวี่ยหยาทั้ง 3 ก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าพวกมันพึ่งจะก้าวเท้าเดินออกไปได้ไม่ทันไร ฮ่วนเอ่อกลับก้าวเข้ามาหยุดขวางพวกมันเอาไว้ก่อน
 
“ผู้อาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ พวกเรามิได้มีเจตนาใดเพียงแค่อยากเตือนผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนว่าอย่าได้วู่วามโจมตีค่ายกลเด็ดขาด! เพราะค่ายกลนี้มิใช่ค่ายกลธรรมดา ยิ่งใช้พลังจู่โจมมันมากเท่าไหร่ ก็จักยิ่งถูกพลังสะท้อนทำร้ายกลับรุนแรงมากเท่านั้น!!”
 
เหลี่ยนชิวเหอคลี่ยิ้มเจื่อนๆ
 
“อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียนโปรดระวังด้วย ตรวจสอบค่ายกลให้แน่ชัดเสียก่อน อย่าได้วู่วามลงมือเต็มกำลัง!”
 
เห่าวั่งเร่งตะโกนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนที่โดดลงหลุมออกมาด้วยความหวังดี
 
อย่างไรก็ตาม ด้านต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะลงมือจู่โจมค่ายกลที่ว่าแม้แต่นิดเดียว หลังโดดลงมาหยุดยืนที่ก้นหลุมน้ำแข็งแล้วเขาก็ก้มลงมองม่านพลังของค่ายกลด้านล่าง ที่แลไม่ต่างอะไรจากกระจกแก้วเลย
 
อย่างไรก็ตามด้านหลังม่านพลังดั่งกระจกแก้วที่ว่านั้น คล้ายฟุ้งตลบไอด้วยหมอกยะเยือก ยากจะแลเห็นสถานการณ์เรื่องราวภายใน
 
“หวงเอ้อ เจ้าลองไปดู”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยทักหวงเอ้อภายในร่าง “ลองดูว่ามันมีประโยชน์อะไรกับเจ้ารึเปล่า…ถ้ามีก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเจ้า”
 
“ข้ารู้ว่าด้านในมีสิ่งใด ข้าจักนำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเข้าไปในนั้น”
 
ครู่ต่อมาเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏเงาร่างหนึ่ง เป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามไม่ใช่ชั่ว และบัดนี้ชุดที่นางสวมใส่ก็เปลี่ยนจากเดิมกลายเป็นสีรุ้ง สง่างามประหนึ่งเทพธิดาจากฟ้าเบื้องบนมาเยือนแดนดิน
 
“ได้”
 
ได้ยินคำกล่าวของหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนก็นำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมายื่นส่งให้นาง
 
“หากไม่มีเหตุผิดพลาดใด…คราวนี้ข้าสามารถใช้สิ่งที่ถูกสะกดไว้ในค่ายกลแห่งนี้เพื่อทำให้ข้าสามารถผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นข้าก็จักทำให้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้!”
 
หวงเอ้อที่รับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมา กล่าวกับต้วนหลิงเทียนเล็กนอย จากนั้นร่างนางก็จมหายลงไปในค่ายกลเบื้องล่างพร้อมกระบี่ทันที
 
ม่านพลังจากค่ายกลที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่อาจเข้าไปได้ แต่หวงเอ้อที่ถือกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไปด้วยกลับผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่ต้นจนจบไม่ได้ถูกขัดขวางอะไรเลย ราวกับนางกำลังเดินกลับเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น
 
แน่นอนว่านอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดแลเห็นฉากนี้
 
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะโดดลงมา เขาได้ส่งเสียงผ่านพลังบอกฮ่วนเอ๋อเอาไว้แล้ว ว่าอย่าให้คนของนิกายยอมตะเสวี่ยหยาเข้ามาใกล้ เพราะเขาไม่อยากให้พวกมันเห็นหวงเอ้อ และกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน
 
ฟุ่บ!
 
หลังหวงเอ้อนำกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจมหายไปในค่ายกลแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็โดดขึ้นมาจากก้นหลุมน้ำแข็ง จนกลับมายืนอยู่บนพื้นหุบเขาน้ำแข็งอีกครั้ง
 
ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือคราหนึ่ง รวบรวมเศษน้ำแข็งที่กระจายออกมาจากการขุดหลุมก่อนหน้า ไปกลบหลุมน้ำแข็งดังกล่าว
 
และเมื่อจัดการกลบหลุมอะไรเสร็จแล้ว พอไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านขึ้นมาอีกระลอก หลุมน้ำแข็งที่พึ่งถูกกลบก็ควบแน่นกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ไม่อาจเห็นร่องรอยว่ามันเคยเป็นหลุมเป็นบ่ออะไรมาก่อน
 
‘หากหวงเอ้อผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์…เช่นนั้นพลังของกระบี่ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน!’
 
‘นอกจากนั้นต่อไปหวงเอ้อก็สามารถแยกตัวออกจากกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและสร้างร่างอวตารขึ้นมาได้ พลังฝีมือของนางต้องไม่ใช่ชั่วแน่นอน!’
 
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวูบวาบ มากล้นไปด้วยความคาดหวัง!

War Sovereign Soaring The Heavens

War Sovereign Soaring The Heavens

Type: Author:
จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้! ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ … ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset