War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3379

ตอนที่ 3379 : ตระเวนไปตามระนาบเทวโลกทั้งหลาย
 
“ซูหลี่”
 
ต้วนหลิงเทียน ที่ยืนรอด้านนอกนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็ได้ส่งข้อความไปเรียกหาซูหลี่ เพราะนับตั้งแต่ออกจากนิกายกระบหมื่นหายนะในปีนั้น เขาก็ไม่ได้พบเจอซูหลี่อีกเลย
 
ไม่นานนักซูหลี่ที่เร่งรุดออกมา พอได้พบเจอพวกต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แววตามันก็สั่นไหวไม่น้อย “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินจากผู้นําสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียแล้ว ว่าเจ้ามีธุระสําคัญที่ต้องไปสะสางยังวังเทียนฉือ ทั้งยังกําชับว่าข้าอย่าได้ตามเจ้าไป…ตกลงเป็นเช่นไรบ้าง? ธุระที่เจ้าไปจัดการคืบหน้าไปถึงไหนแล้วเล่า?”
 
“ทุกอย่างคลี่คลายเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นอาศัยหนึ่งห้วงคิดก็ปล่อยเสี่ยวจินออกมาจากโลกใบเล็กทันที “ซูหลี่ เจ้าทายสิว่านี่ใคร?”
 
สตรีในชุดคลุมทองใบหน้าสะสวยแลดูห้าวหาญ พอปรากฏตัวออกมาก็มองซูหลี่ด้วยรอยยิ้มทันที
 
“พี่ใหญ่ซูหลี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย ท่านสบายดีนะ”
 
เสี่ยวจินเป็นฝ่ายทักทายซูหลี่ก่อน
 
อย่างไรก็ตาม ซูหลีได้แต่ชมมองสตตรีในชุดคลุมทองเบื้องหน้าด้วยความงุนงง “เอ่อ…แม่นาง…ท่านรู้จักข้าด้วยรึ?”
 
“อั้ยหยา ดูเหมือนพี่ใหญ่ซูหลี่จะลืมข้าหมดสิ้นแล้วช่างน่าเศร้าแท้”
 
เสี่ยวจินส่ายหัวไปมา พร้อมแสร้งระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน
 
“เอ่อ…”
 
ซูหลี่ชักหน้างุนงงยิ่งมาก็ยิ่งสับสน “แม่นาง…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่? ข้าลองไถ่ถามตัวเองดูก็บอกได้ทันทีว่าหากเป็นคนที่ข้ารู้จักข้าไม่มีทางลืม แต่ในความทรงจําของข้ากลับไม่มีแม่นางท่านอยู่เลย…”
 
เป็นธรรมดาว่ายังมีคําพูดบางอย่างที่ซูหลีไม่ได้พูดออกมา
 
มันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่สตรีที่มันมั่นใจว่าไม่เคยพบเจอคนนี้ กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด
 
“ฮ่าๆๆ…เสี่ยวจิน เลิกล้อพี่ใหญ่ซูหลี่ของเจ้าได้แล้ว”
 
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะขบขัน เพราะนานๆทีถึงจะได้เห็นซูหลี่ผู้มาดนิ่งทําหน้าเอ๋ออะไรแบบนี้
 
“เสี่ยวจิน!?”
 
ได้ยินวาจากระตุ้นความจําของต้วนหลิงเทียน ในหัวซูหลี่พลันปรากฏฉากความทรงจําแล่นย้อนฉับไว ก่อนจะปรากฏร่างเด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทองเด่นหราขึ้นมา
 
“เป็นเจ้าเองหรือเสี่ยวจิน!?”
 
ซูหลีไม่แปลกใจเลยว่าไฉนอีกฝ่ายถึงทําให้มันรู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ ราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน ที่แท้เด็กหญิงตัวน้อยนั่น ก็โตเป็นสาวแล้วนี่เอง!
 
“พี่ใหญ่ซูหลี่ท่านน่าทึ่งมาก…ข้าได้ยินพี่ใหญ่หลิงเทียนเล่าเรื่องของท่านให้ฟังแล้ว จึงรู้ว่าท่านเองก็ประสบผลสําเร็จในระนาบเทวโลกด้วย แถมด่านพลังฝึกปรือยังร้ายกาจไม่ธรรมดาอีก!”
 
เสี่ยวจินยิ้ม
 
“ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอสหายเก่าครั้งยังอยู่ในระนาบเซียนที่ระนาบเทวโลกอีกครั้ง…กล่าวไปในปีนั้นข้าต้องขอบคุณพวกเจ้ากับพวกเสี่ยวเฮยเสี่ยวไปมาก ที่คอยคุ้มภัยข้าช่วงไม่ได้สติ..”
 
ซูหลี่ถอนหายใจ พลางกล่าวด้วยความคิดถึง
 
พอกล่าวจบ ซูหลี่ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และถามว่า “ต้วนหลิงเทียนในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว…คราวนี้คงไม่คิดไปไหนแล้วใช่ไหม?”
 
ถึงแม้ชูหลี่จะได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะ แต่มันก็ได้รับทราบเรื่องราวจากผู้นําสายก้านเจี้ยงกับมอเหยียว่าต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ ไม่ได้คิดถอนตัวออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะแต่อย่างไร
 
วันหน้าสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ
 
ได้ยินคําถามของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาเจ้ากับผู้นําสายทั้ง 2.กับนิกายกระบี่หมื่นหายนะเพื่อร่ำลา อย่างไรก็ตามวันหน้าหากมีเวลาขายอมกลับมาเยี่ยมแน่ แต่ข้าคงไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน”
 
“เพราะตอนนี้ข้าอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนแล้ว”
 
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
 
“อะไร!? พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนรี?!”
 
ซูหลี่อึ้งไปก่อนใดอื่น จากนั้นสองตาพลันทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง “ข้าจําได้ ตอนนั้นเจ้าบอกข้าว่า…มรดกที่เจ้าได้รับสืบทอดในระนาบเซียน ถูกทิ้งไว้โดยผู้อาวุโสฟงชิงหยางที่เป็นอดีตผู้นํา 7 ทวาราเที่ยงแท้ในอดีต”
 
“และผู้อาวุโสฟงชิงหยาง หลังขึ้นสู่สวรรค์สุดท้ายก็ฟันฝ่าจนกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน!”
 
ครั้งล่าสุดที่เจอกัน ซูหลี่ก็ได้ยินเรื่องราวดังกล่าวจากปากต้วนหลิงเทียน
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
 
“เช่นนั้นหมายความว่า ผู้อาวุโสฟงชิงหยางยอมรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการแล้วรึ?”
 
ซูหลี่เอ่ยถามอีกรอบ
 
“ยังไม่ใช่ในตอนนี้
 
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ตอนนี้ผู้อาวุโสฟงชิงหยาง ยังไม่ได้กลับมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ข้าต้องรอให้อาวุโสกลับมาก่อนถึงจะกลายเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของอาวุโสได้”
 
ฟงชิงหยาง เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนยอมรับนับถือ
 
“เช่นนั้น ข้าคงต้องแสดงความยินดีกับเจ้าล่วงหน้าแล้วสิ”
 
ซูหลี่หัวเราะ
 
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาผู้นําทั้ง 2 สายเอง”
 
พอซูหลี่กล่าวจบ มันก็พาต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวเข้าไปยังนิกายกระบี่หมื่นหายนะทันที ยอดเขากระบี่แลดูน่าเกรงขามค้ำฟ้า ปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
 
สําหรับเสี่ยวจินก็ได้มุดกลับเข้าโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย
 
สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนเลิศล้ำมาก มันเหนือกว่าสภาพแวดล้อมใดๆในระนาบเทวโลก กระทั่งให้มีผลึกเทพกองพะเนินก็ไม่สู้เข้าไปบ่มเพาะภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน
 
และตอนนี้ภายในโลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน ก็มีพฤกษาเทพกําเนิดชีพตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง เปล่งรัศมีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงส่งออกมาตลอดเวลา
 
ที่บริเวณโคนต้นพฤกษาเทพกําเนิดชีพ ก็ปรากฏร่างมังกรชั่วร้าย 2 ตัวฝบหมอบอย่างเกียจคร้าน ปล่อยให้แสงพลังศักดิ์สิทธิ์ของพฤกษาเทพกําเนิดชีพอาบไล้ร่างกายอย่างมีความสุข
 
และหากมองสังเกตให้ดี รอบๆพฤกษาเทพกําเนิดชีพ ก็มีพลังหลากสีสันวนเวียนอยู่ เป็นเทพเบญจธาตุของต้วนหลิงเทียน
 
ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 7 ปฐพีแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 7 พฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 7 วารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7 และเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 8!
 
ในบรรดาพลังหลากสี พลังสีแดงเห็นได้ชัดว่าโดดเด่นกว่าใคร เพราะมันก็คือเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 8 ซึ่งสีของพลังมันได้เปลี่ยนจากสีเทากลายมาเป็นสีแดงตั้งแต่บรรลุขั้นที่ 6!
 
ขณะเดียวกันไม่ไกลจากโคนต้นพฤกษาเทพกําเนิดชีพ ที่มีร่าง 4 ร่างนั่งบ่มเพาะพลังกันอยู่อย่างขยันขันแข็ง เป็นเสี่ยวจิน ฮ่วนเอ๋อ เฟิ่งเทียนหวู่ และต้วนซือหลิง
 
และหลังจากต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ โลกใบเล็กภายในกายต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แลดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นอกพื้นที่เขียวขจี ก็ปรากฏทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล
 
อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดีจะพบว่า
 
ตลอดเวลา พื้นที่ทะเลทรายที่ติดกับพื้นที่สีเขียวก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะเต็มไปด้วยความเขียวขจี มีมวลหมู่สกุนาและบุปผานานาพรรณอย่างอุดมสมบูรณ์
 
“คารวะผู้นําสายทั้ง 2”
 
“ผู้อาวุโส”
 
ได้เห็นจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นอีกครั้ง พี่น้องฝาแฝดคู่นี้ก็แลดูเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากวันวาน
 
ฮ่วนเอ๋อเองก็ถูกต้วนหลิงเทียนเรียกให้ออกมาก่อนหน้าที่จะพบเจอทั้งคู่
 
“เรื่องราวเป็นไปด้วยดีกระมัง?”
 
จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “บิดามารดาของฮ่วนเอื้อถูกพวกเราช่วยออกมาได้แล้ว”
 
หลังจากนั้นภายใต้การซักถามด้วยความอยากรู้ของจูเก่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางส่วน นอกจากไม่กล่าวถึงเรื่องเทพเบญจธาตุแล้ว เรื่องสําคัญล้วนถูกเล่าออกมาเป็นฉากๆ
 
“เฮ่อ เจ้าก็คิดมากเกินไป ตอนนั้นแค่เจ้าทักมาพวกเราก็พร้อมไปช่วยเจ้าถึงแม้ยามพวกเราสองพี่น้องร่วมมือกันอาจจะเทียบกับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรไม่ได้ แต่กับอีแค่จ้าววังเทียนฉือ พวกเราไม่มีกลัว!”
 
จูเก่ออวิ๋นมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเชิงตําหนิ ที่มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มาบอกพวกนาง
 
และพอได้ฟังคําพูดเคืองๆของจูเก่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนจึงได้ตระหนักถึงพลังฝีมือของแฝดคู่นี้เพิ่มเติม
 
ที่ท้ามทั้งคู่ร่วมมือกัน ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะหยกกุ้งเมิ่งชวนเลย!
 
“แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าตอนนี้เจ้าจะได้เข้าร่วมกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนแล้ว อีกทั้งฟังจากที่เจ้าพูดมา ก็เหมือนเจ้าถูกกําหนดให้เป็นศิษย์ส่วนตัวของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนแล้วสิ”
 
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนยังเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเขาให้ดูเก่ออวุ่นกับจูเก่อฟัง ทั้งคู่จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอยู่บ้าง
 
“จนแล้วจนรอดพวกเราสองพี่น้องก็ยากจะหาศิษย์ได้จริงๆ สุดท้ายในสายก็เหลือแต่พวกเราอีกแล้ว ช่างหงอยเหงาอะไรเช่นนี้นะ…”
 
จูเก่ออวิ๋นถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
 
“ผู้อาวุโส วันหน้าไม่ว่าพวกท่านมีเรื่องใด ขอเพียงข้าต้วนหลิงเทียนสามารถจัดการได้ ข้าจักไม่ถามอะไรสักคํา!”
 
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาผู้นําสายทั้ง 2 พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแววตาจริงจัง
 
สําหรับจูเก่อฟงและจูเก่ออวิ๋น เขาก็รู้สึกผิดต่อทั้งคู่เช่นกัน
 
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้น ทั้งคู่เสมือนแยกตัวออกมาอย่างสันโดษไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และไม่เคยออกไปไหนเลย จนมาออกหน้าช่วยเหลือเขากับฮ่วนเอ๋อ กระทั่งพวกเขายังได้เข้าร่วมกับสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียไปแล้ว
 
แล้วทั้งคู่ยังเป็นธุระไปหาข่าวให้เขากับฮ่วนเอ๋อที่วังเทียนฉืออีก
 
เรียกว่าทั้งคู่ได้ทําเพื่อเขากับฮ่วนเอ๋อหลายอย่าง แต่วันนี้เขากับถูกลิขิตให้ไม่อาจอยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะ และไม่อาจอยู่เป็นศิษย์ของทั้งคู่ได้ กระทั่งยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณอะไรเลยด้ วยซ้ำ
 
“ฮ่าๆๆๆ…เจ้าหนูน้อยนี่ ทําเป็นหน้าเข้มอะไรของเจ้ากัน ข้าก็แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง”
 
จูเก่ออวิ๋นที่เห็นต้วนหลิงเทียนชักกหน้าเครียด ก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ค่อยกล่าวว่า “คราวนี้พวกเจ้าถือเป็นวาสนาครั้งใหญ่ของพวกเราพี่น้องต่างหาก เพราะเจ้าเป็นถึงศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนเชียวนา”
 
“วันหน้าข้าเผลอๆยังต้องอาศัยหน้าเจ้า ไม่ก็ต้องกอดขาพวกเจ้าแล้ว”
 
จูเก่ออวิ๋นหัวเราะร่าด้ววยความยินดีมีสุข
 
เพราะสําหรับพวกมันแล้ว การได้มีสายสัมพันธ์ประเสริฐเช่นนี้ ก็เสมือนได้รับฟางช่วยชีวิตอีกเส้นยามต้องเผชิญอันตราย สิ่งนี้มีค่ามากกว่าได้ศิษย์ประเสริฐที่ยังไม่เติบโตไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่! เอาแค่หากเรื่องต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของฟงชิงหยางแพร่ออกไป เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ยังไม่กล้าแตะต้องพวกมันทั้งคู่โดยง่ายด้วยซ้ำ!
 
หลังจากใช้เวลาอยู่นิกายกระบหมื่นหายนะสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ลาจูเก่ออวิ๋นและจูเก่อฟง พร้อมกันนั้นเขายังตระหนักได้ว่า คนที่เขากําลังตามหาไม่ได้อยู่ในอวี้หวงเทียน
 
หาไม่แล้วคงไม่ไร้การติดต่อกลับมาเลยแบบนี้
 
แน่นอนว่ายังมีความเป็นได้อื่นอยู่อีก
 
หากลี่เฟย ต้วนเนี่ยนเทียน ต้วนหรูเฟิงและหลัวรวมถึงคนอื่นๆอยู่ในสถานที่ๆปิดกั้นการสื่อสาร ก็อาจเป็นได้ที่จะยังไม่ได้รับการติดต่อจากเขา
 
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนก็ได้เตรียมการรองรับกรณีแบบนี้ไว้แล้วเช่นกัน
 
เช่นนั้นข้อความที่ส่งไปให้ลี่เฟยกับคนอื่นๆ เขาก็แจ้งไปแล้วว่าในปัจจุบันเขาอยู่ที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน หากวันหลังพอได้รับข้อความแล้วติดต่อหาเขาไม่ได้ ก็สามารถไปยังพระราชวังจักรพรรดสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนเพื่อหาเขาได้
 
ถึงตอนนั้นคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ จะต้อนรับเข้าสู้พาทุกคนไปพักในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ เพื่อรอพบเจอเขา
 
“แล้วจุดหมายต่อไปเจ้าคิดไปที่ไหนรึ?”
 
หลังต้วนหลิงเทียนลาซูหลี่ และออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะมาแล้วว ผู้เฒ่าหัวก็เอ่ยถามออกมาทันที
 
“จุดหมายต่อไปหรือ…”
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งกล่าวตอบออกมา “พวกเราจะไปหลิงหลัวเทียนต่อ”
 
หลิงหลัวเทียน ยังเป็นระนาบเทวโลกแห่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนขึ้นมา นอกจากนั้นเขายังใช้เวลาอยู่ในหลิงหลัวเทียนนานไม่น้อย
 
และคราวนี้ต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนย้ายไปยังแดสนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียนทันที ยังเป็นเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว
 
“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ไปหาจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวกันเถอะ”
 
หลังจากส่งข้อความหาทุกๆคนแล้ว ระหว่างรอการตอบกลับ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะพาผู้เฒ่าหัวไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยว
 
คฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากกาลก่อนมากนัก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
 
จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว พอได้พบเจอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง ก็ดีอกดีใจเป็นที่สุด อาการเสมือนผู้ชราได้พบเจอบุตรหลานที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด…อย่างไรก็ตามหลังได้รับทราบพลังฝีมือของตัววนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อในปัจจุบัน มันก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นออกมาด้วยความทิ้ง ถึงแม้มันจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็สุดที่จะจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะก้าวข้ามมันไปไกลถึงขั้นไม่เห็นฝุ่น!
 
“ไปที่อื่นกันต่อเถอะ…”
 
จุดหมายปลายทางใหม่นั้น หลังต้วนหลิงเทียนนิ่งคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจไปอู๋หยาเทียนก่อน
 
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปอู๋หยาเทียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมหันไปบอกกล่าวผู้เฒ่าหัวว่า “ผู้เฒ่าหัว พอดีข้ากับวังเทียนฉือมีเรื่องกันอยู่ แถมยังลามไปถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนด้วยข้าเกรงว่าพวกเราอาจจะไม่ได้รับการต้อนรับสักเท่าไหร่”
 
“พวกเราไปวังเทียนฉือกัน 2 คนแบบนี้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยยถามด้วยความกังวล “หรือ…พวกเราจะย้อนกลับไปจี้เมียเทียนแล้วพาอาวุโสเมิ่งหลัวมาด้วยดี?”
 
หากมีจักรพรรดิอมตะกร่างสวรรค์ เมิ่งหลัว มาด้วย ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าไม่มีเรื่องใดแน่
 
คราวนี้ที่เขาคิดกลับไปเยือนวังเทียนฉืออีกครั้ง เพราะคิดกลับไปขอขมาครูอย่างฉือหล่างรวมถึงเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายสําหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
 

War Sovereign Soaring The Heavens

War Sovereign Soaring The Heavens

Type: Author:
จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้! ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ … ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

Options

not work with dark mode
Reset