Winner is king ผู้ชนะเลิศคือราชา – ตอนที่ 228 ใช้คนทั้งตระกูล เพื่อทำร้ายคนคนเดียว ?

เต้นรำ ?

กู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็ปรากฏอาการของความประหลาดใจจนถึงขีดสุด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เฉินตงไม่ทันที่จะสังเกตเห็น

เขาเรียกทีมช่างภาพให้เข้ามาจัดเตรียมอุปกรณ์การถ่ายภาพเรียบร้อยแล้ว

กู้ชิงหยิ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

“เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ?”

เสียงอันอ่อนโยนของเฉินตงดังขึ้นข้างๆ หู

กู้ชิงหยิ่งตั้งสติกลับมาได้ ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอสั่นเทา จากนั้นจึงพยักหน้า

เสียงเพลงดังขึ้น

แสงไฟส่องสลัวๆ

สาดส่องลงไปยังกู้ชิงหยิ่งและเฉินตง ทั้งสองคนดึงดูดสายตาของคนที่อยู่โดยรอบในทันที

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเต้นรำกันอย่างแผ่วเบา

ทีมช่างภาพเองก็เริ่มการถ่ายภาพ

ทั้งแสง มุมกล้อง และความละเอียดในการถ่ายภาพ ล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบจริงๆ

“นี่เป็นการถ่ายภาพแต่งงานหรือ ?”

“สวยจริงๆ ทั้งวิวและการเต้นรำแบบนี้ ถ่ายออกมาจะต้องสวยมากแน่นอน ?”

“อิจฉาผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ถ้าอีกหน่อยแฟนของฉันถ่ายภาพแต่งงานให้ฉันแบบนี้ก็คงจะดี”

……

คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ต่างก็อุทานออกมาด้วยความรู้สึกอิจฉา

ในนั้นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ถือแท่งไฟและลูกโป่งเรื่องแสงเดินเข้ามารวมตัวกัน และโบกไม้โบกมืออย่างเป็นธรรมชาติ

เพื่อเป็นการอวยพรให้แก่คู่รักแปลกหน้าคู่นี้

ช่างภาพเองก็สามารถถ่ายภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ได้อย่างสวยงาม

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนและมีฉากหลังเป็นทะเล

แสงสว่างถูกถ่ายออกมาเป็นแสงระยิบระยับเหมือนแสงดาว ราวกับทะเลดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้า

เป็นภาพที่งดงาม

และมีสีสันจริงๆ

ส่วนกู้ชิงหยิ่งและเฉินตงที่อยู่ท่ามกลางทะเลดวงดาว ก็ยังคงเต้นรำกับอย่างแผ่วเบาราวกับเทวดาและนางฟ้าที่เป็นคู่รักกัน

ไม่เพียงแค่หน้าตาและรูปร่างของกู้ชิงหยิ่งเท่านั้น แต่ยังมีความสูงและรูปลักษณ์ของเฉินตง ที่เพียงพอจะสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้อย่างล้นหลาม

เพลงบรรเลงสิ้นสุดลง

เสียงเพลงค่อยๆ แผ่วเบาลง

ฝูงชนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ยังรู้สึกเพลิดเพลินอยู่กับเสียงเพลงและไม่อยากให้จบลง

กู้ชิงหยิ่งและเฉินตงแยกตัวออกจากกัน

เฉินตงขมวดคิ้วแล้วก้มลงไปมองกู้ชิงหยิ่ง : “เสี่ยวหยิ่ง คุณรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่า ? ทำไมผมรู้สึกว่าคุณจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ?”

“ค่ะ สงสัยจะเป็นไข้แดด รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า เสียงของเธอเบาจนอู้อี้เหมือนกับยุง

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับโรงแรมกันก่อนเถอะ คุณไปพักที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมจะให้คนส่งอาหารไปที่ห้องของคุณ”

“ค่ะ”

หลังจากกลับไปถึงห้องพักแล้ว

เฉินตงก็พาคุนหลุน กูหลังและทีมช่างภาพไปทานมื้อเย็น

กู้ชิงหยิ่งนอนอยู่ในห้องที่มืดสนิท มีเพียงโคมไฟหัวเตียงเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงสลัวๆ อยู่

แสงไฟสาดส่องลงบนใบหน้าที่งดงามของกู้ชิงหยิ่ง แต่กลับเผยให้เห็นความสงสัยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่ง

ตอนนี้คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

แววตาของเธอเต็มไปด้วยความงุนงงและสงสัย รวมไปถึงความสับสน

มือของเธอพันกันไปมาและบิดกระโปรงไม่หยุด

อาหารที่บริกรนำมาส่งให้วางอยู่บนหัวเตียง

แต่เธอกลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

ในความมืด

เธอพึมพำออกมาเบาๆ ว่า : “คุณบอกเองว่าเต้นรำไม่เป็น อีกทั้งยังรู้สึกเขินอายที่จะต้องเต้นรำต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนั้น แต่ทำไมเมื่อครู่ถึงทำเช่นนั้น ?”

เธอไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัว

แต่เป็นเพราะการเต้นรำบนชายหาดกับเฉินตงเมื่อครู่ ทำให้เธอเกินความสงสัยขึ้นมาในใจ

ดังนั้นเฉินตงจึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เธอจึงพูดเออออไปว่าตนเองนั้นไม่สบาย

แต่เมื่อกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้องพักใหญ่ ยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกถึงความไม่พอชอบมาพากลเพิ่มขึ้น

แต่เฉินตงที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ก็ยังคงเป็นใบหน้าของเฉินตง ความสูงก็เท่ากัน แม้กระทั่งลักษณะนิสัยก็เหมือนกัน

ถ้าหากคาดเดาเพียงเพราะความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ……

กู้ชิงหยิ่งออกแรงส่ายหัว : “ไม่แน่ว่าการหนีรอดจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อคืนนี้ อาจจะทำให้นิสัยบางอย่างของเขาเปลี่ยนไปก็ได้ เขาอาจจะอยากมอบความทรงจำในการถ่ายภาพแต่งงานที่พิเศษที่สุดให้แก่ฉันก็ได้ ดังนั้นจึงได้แสร้งทำเป็นใจกล้า เต้นรำกับฉันต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ?”

ขณะที่พูด เธอก็ตีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด : “เฮ้อ กู้ชิงหยิ่ง ทำไมเธอถึงได้สงสัยสามีตัวเองแบบนี้นะ ? นี่คือสามีตัวจริงของเธอนะ !”

……

ภายใต้ความมืด

ยังคงเป็นความมืดที่มืดสนิท

เฉินตงลืมตาขึ้น แต่เขากลับรู้สึกราวกับตนเองนั้นไม่มีดวงตา

พื้นที่ที่คับแคบและอึดอัด ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้แท้กระทั่งแขนขา

เขารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว

หัวของเขายังคงรู้สึกเจ็บอยู่ แต่เลือดหยุดไหลไปแล้ว

โชคยังดีที่บาดแผลจากการกระแทกเมื่อครู่ไม่ใหญ่มาก มิเช่นนั้นเขาคงสูญเสียเลือดไปมากจนถึงแก่ชีวิตแล้วก็ได้ ?

ฟิ่ว……

ลมหนาวจับขั้วหัวใจพัดผ่านกล่องไม้และพัดเข้ามาด้านใน

ทำให้เฉินตงรู้สึกหนาวจนตัวสั่นและขนลุก

“ทำไมถึงได้หนาวขนาดนี้ ?”

เฉินตงขมวดคิ้ว และรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา

ด้านนอกเงียบสงัด

เงียบจนสามารถได้ยินเสียงพัดของลมทะเล และเสียงของเกลียวคลื่น

ขณะที่เรือกำลังแล่นไปในทะเล ยิ่งแล่นผ่านเกลียวคลื่น การเคลื่อนไหวขึ้นลงก็ยิ่งชัดเจนเพิ่มมากขึ้น

นี่……กำลังจะไปที่ไหนกันแน่ ?

ตระกูลฉินจับฉันไว้แต่ไม่ยอมฆ่าฉัน แล้วยังเนรเทศฉันไปอีก เพื่อที่จะให้คนเข้ามาแทนที่ฉันอย่างนั้นหรือ ?

หลังจากความกลัวปะทุขึ้นในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ในที่สุดเฉินตงก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

คุนหลุนเคยบอกว่า

ยิ่งเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ยิ่งต้องทำจิตใจให้สงบ

มีเพียงความสงบเท่านั้น ที่จะพาเราข้ามผ่านวิกฤตไปได้

เฉินตงนอนขดตัวอยู่ในกล่องไม้ แล้วคิดวิเคราะห์อย่างใจเย็น

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้นอกจากสมองของเขาที่พอจะขยับได้แล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขานั้นแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ขยับได้เลย

ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของเรือคือที่ไหน เขาก็จะต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นอยู่ดี

จึงต้องอาศัยช่วงเวลาที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้ ใช้ความคิดให้ได้มากที่สุด นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้

“ตัวแทน คิดที่จะเข้ามารับช่วงต่อทุกอย่างของเขา เรื่องนี้คงจะมีเพียงแค่ตระกูลเฉินเท่านั้น เพราะตระกูลฉินคงไม่กล้าอย่างแน่นอน”

คิ้วของเฉินตงยิ่งขมวดแน่นขึ้น

ตระกูลฉินกล้าลงมือสังหารเขา นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีตัวตนในตระกูลเฉิน ถึงแม้พ่อจะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกให้แก่เขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกนอกคอกอยู่ดี

ถึงแม้ก่อนหน้านี้พ่อจะจัดการกับตระกูลหลี่ แต่ตระกูลฉินกับตระกูลหลี่นั้น ใครเหนือกว่าใครก็ยากที่จะตัดสินได้ การที่ตระกูลฉินกล้าท้าทายกับความโกรธของพ่อ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ความโกรธที่เกิดจากการสังหารลูกนอกคอก ตระกูลฉินพอจะรับได้

แต่การส่งตัวแทนเขาไปรับช่วงการเป็นเจ้าบ้านต่อในตระกูลเฉิน

นี่ถือเป็นแผนการของคนนอกที่ตั้งใจจะล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลเฉินชัดๆ !

อย่าว่าแต่พ่อเลย แม้แต่คนในตระกูลเฉินคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมแน่นอน !

ทันใดนั้นเอง !

เฉินตงก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ? !”

เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ

ข่าววงในที่พ่อส่งมาก่อนหน้านี้ก็คือ ช่วงระยะเวลาใกล้ๆ ที่ผ่านมา คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเดินทางไปยังตระกูลฉิน ให้เขาระวังตัว

ถ้าหากตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินร่วมมือกัน หากตระกูลฉินมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่

คนที่เป็นตัวแทนคงจะต้องมีความกล้าหาญอย่างแน่นอน !

แล้วจะเลือกใครเป็นตัวแทนล่ะ ?

ความคิดของเฉินตงแล่นอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ทำให้เขาเกิดสมาธิขึ้นอย่างมากในสภาพที่มืดมิดเช่นนี้

เพียงไม่กี่วินาที

ตัวของเฉินตงก็สั่นเทา

ราวกับมีพลุจุดขึ้นในสมองอันมืดมิดของเขา

“หรือว่า……คนที่ฉินเย่บอกคนนั้น ?”

เสียงของเฉินตงเคร่งเครียด เขารู้สึกตัวสั่น และปากของเขาเย็นยะเยือก : “แต่ตระกูลโจวถูกจัดการไปแล้ว แล้วคนของตระกูลโจวคนนั้น……”

เมื่อพูดได้เพียงครึ่งหนึ่งเขาก็หยุด

ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา

เขารู้สึกเหมือนตัวเองหล่นลงไปสู่ถ้ำน้ำแข็งทันที

แม้กระทั่งลมหนาวที่พัดเข้ามาจากด้านนอกในตอนนี้ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าได้กับความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจของเขา

“ฉันคิดผิดเสียแล้ว แผนการของตระกูลฉินไม่ได้เริ่มตั้งแต่ปล่อยข่าวเรื่องนั้นออกมา”

“แต่เริ่มตั้งแต่การลอบฆ่าที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นในหมู่ตึกยู่ฉวน แผนการทุกอย่างก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นแผนการของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน !”

“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารก็คือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดังนั้นหลังจากที่เธอเดินทางไปซีสู่เพื่อร่วมมือกับตระกูลฉิน เธอก็ใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลฉินเพื่อบังหน้า และเริ่มดำเนินแผนการของเธออย่างชัดเจน”

ตอนนี้ ความสงสัยทุกอย่างที่เคยวนเวียนอยู่ในสมองก่อนหน้านี้ กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ราวกับบานประตูที่ถูกเปิดออก

ความหนาวเหน็บบนร่างกายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

“ถึงแม้ตระกูลโจวจะจบสิ้นลงแล้ว การที่พวกเขากลายเป็นแพะรับบาปถือเป็นเรื่องที่สมควร ! เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้มา ก็คงคุ้มค่ากับการที่ตระกูลโจวยอมลงทุนเป็นแพะรับบาปสินะ ?”

“ใช้คนทั้งตระกูล เพื่อทำร้ายคนคนเดียว !”

Winner is king ผู้ชนะเลิศคือราชา

Winner is king ผู้ชนะเลิศคือราชา

บทนำ เฉินตงกับหวางหนันหนันแต่งงานกัน3ปี ถูกภรรยาที่ยกน้องชายเป็นหัวแก้วหัวแหวนบีบคั้น แล้วยังถูกดูถูกเหยียดหยาม วันหนึ่งได้กลับตระกูลมหาเศรษฐี เขาสาบานว่าต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ต้องทำให้คนที่ดูถูกเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำ ให้คนที่เหยียดหยามเขาต้องชดใช้อย่างสาสม เรื่องย่อ “ขอโทษครับคุณเฉิน ระยะมะเร็งตับของแม่ของคุณ…..” มองคุณหมอที่อยู่ตรงหน้าส่ายหน้า เฉินตงมึนงงไปชั่วขณะ ในพริบตาดวงตาก็กลายเป็นสีแดง ตั้งแต่เล็กจนโต เขากับแม่พึ่งพาอาศัยกัน เพื่อที่จะส่งให้เขาเรียนหนังสือ แม่ทำงานจนป่วย ไม่ทันที่จะได้สะดวกสบาย ก็ตกลงมาอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้แล้ว “คุณหมอ ขอร้องล่ะครับ ช่วยแม่ผมด้วย แค่หนทางสักนิดก็ไม่มีแล้วเหรอครับ?” เสียงของเฉินตงแหบแห้งยังมีเสียงสะอื้นปนอยู่ คุณหมอลังเลอยู่ชั่วครู่ กล่าวขึ้น “ยังมีวิธีสุดท้ายอยู่ ก็คือทำการเปลี่ยนถ่ายตับ ตอนนี้ทางแพทย์มีของอยู่พอดี…..” ชะงักไปชั่วครู่ เขาก็มองเฉินตงตั้งแต่หัวจรดเท้า การรักษาที่ยาวนาน ทำให้เขารู้สถานการณ์ตอนนี้ของเฉินตงดี แต่ เขาก็ยังพูดออกมา “แต่ว่า…..ค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยนะครับ อย่างน้อยๆในช่วงแรกก็ประมาณสองแสน” สองแสน? ดวงตาของเฉินตงวาววับ รีบจับมือของคุณหมอเอาไว้ “รักษา จะต้องรักษานะครับ ผมยังมีอีกสองแสน!” เงินไม่มีแล้วยังหาได้ แต่ว่าไม่มีแม่แล้ว ก็ไม่สามารถหาได้อีกแล้ว “อย่างนั้นคุณก็รีบๆรวบรวมเงิน ถ้าเกิดว่ายังประวิงเวลาออกไปอีก วิธีปลูกถ่ายตับก็หมดหนทางแล้ว” นายแพทย์พยักหน้า ถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วก็หมุนตัวจากไป เดินออกมาจากโรงพยาบาล ท้องฟ้ามีฝนเม็ดเล็กๆโปรยลงมา เฉินตงรีบร้อนกลับบ้าน ภรรยา หวางหนันหนันกำลังนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา แถมในปากยังกินขนมมันฝรั่งทอดอยู่อีกด้วย เธอเหลือบมองเฉินตง หวางหนันหนันว่าขึ้น “แม่ดีขึ้นบ้างไหม?” “หมอบอกว่า ถ้าเกิดว่าสามารถเข้ารับการปลูกถ่ายตับได้ ก็ยังมีทางรักษา” เฉินตงพูดขึ้นอย่างดีใจราวกับคว้าเอาหญ้ากอสุดท้ายที่ใช้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ “ต้องใช้สองแสน ยังดีที่บ้านของเรายังพอมีอยู่ แม่ยังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง” พูดไป เขาก็หมุนตัวเข้าไปหยิบเอาบัตรธนาคารในห้อง ในพริบตาสีหน้าของหวานหนันหนันก็เปลี่ยนไป รีบร้องขึ้น “เฉินตง คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เฉินตงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ราวกับว่านึกอะไรขึ้นได้ หมุนตัวหันกลับมามองหวางหนันหนัน “เงินล่ะ?” หวางหนันหนันวิตกกังวล อึกๆอักๆไม่พูดออกมา “เอาไปให้ที่บ้านคุณอีกแล้วเหรอ?” เฉินตงเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่แสดงออกมานั้นช่างดูขมขื่นจนหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ ฝีเท้าของเขาก้าวลงไปนั่งบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง หยิบซองบุหรี่ที่ยับยู่ยี่ออกมา “แช๊ะ” จุดบุหรี่มวนนึงขึ้น ดูดบุหรี่เข้าปอดแรงๆ ทิ้งร่างนอนพาดอยู่บนโซฟา แต่งงานมาสามปี เรื่องซ้ำ ๆเดิม ๆ และมันไม่ใช่ครั้งแรก “หนันหนัน นี่เป็นเงินที่เอาไว้ใช้รักษาแม่ผม” เฉินตงพูดขึ้นอย่างอ่อนล้า “ขอคืนมาได้ไหม?” “ขอคืนมา?” คิ้วของหวางหนันหนันกระตุกขึ้น ตวาดออกมาเสียงแหลม “เฉินตง คุณหมายความว่ายังไง? ฉันเอาเงินเล็กๆน้อยๆไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ฉัน จะมีหน้าที่ไหนไปขอกลับมาห้ะ?” เฉินตงข่มสีหน้าและอารมณ์ให้เย็นลง แล้วว่าขึ้น “โรงพยาบาลบอกว่าตอนนี้มีตับที่เข้ากันได้อยู่พอดี ถ้าสามารถเอาเงินไปให้โรงพยาบาลได้ในทันที โรงพยาบาลก็สามารถที่จะเริ่มทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับให้แม่ผมได้เลย จากสถานการณ์ของแม่ผมในตอนนี้ คงจะทนได้อีกไม่นาน” “ฉันไม่สนใจ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเอง คุณก็ไปหาทางเอาเอง” ในทันใดหวางหนันหนันก็ร้องเริ่มร้องไห้เสียงดัง น้ำตาไหลนอง “ภายในเวลาสั้นๆผมจะไปหาเงินสองแสนมาจากไหน?” เฉินตงรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว กึ่งหนึ่งคือการขอร้อง “หนันหนัน ช่วยผมครั้งหนึ่ง ขอคืนมาเถอะนะ แม่ของผมยังรอเงินสองแสนนั่นมาช่วยชีวิตอยู่นะ!” “เฉินตง! เงินนั่นให้แม่ฉันไปแล้ว ฉันไม่มีทางที่จะไปขอกลับมา” หวางหนันหนันร้องไห้ไปแล้วทรุดนั่งลงบนพื้น ทั้งน้ำมูกทั้งน้ำตาไหลออกมา “แม่ของคุณก็กำลังจะตายอยู่แล้ว คุณยังจะเอาเงินไปผลาญทิ้งที่โรงพยาบาลอีก ตกลงคุณเคยคิดถึงครอบครัวพวกเราบ้างหรือเปล่า?” ร่างกายของเฉินตงสั่น ความโกรธมากระจุกรวมกันอยู่ที่ลำคอของเขา เขาหยิบโทรศัพท์ของหวางหนันหนันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คุณไม่โทร ผมโทร!” ไม่รอให้หวางหนันหนันขัดขวาง สายโทรออกก็โดนรับสาย “แม่ครับ หนันหนันเพิ่งจะให้เงินแม่ไปสองแสนใช่ไหมครับ?” เฉินตงขอร้อง “ขอร้องล่ะครับช่วยคืนเงินสองแสนให้ผมได้ไหม นั่นเป็นเงินที่จะใช้รักษาแม่ผม แม่ผมท่านยังรอรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่นะครับ” อีกฝั่งของสาย อยู่แม่ยายก็ตวาดขึ้น “เฉินตงแกพูดจาบ้าบออะไรออกมา? เงินนั่นเป็นเงินที่หนันหนันแสดงความกตัญญูต่อพวกเรา แกยังมีหน้าจะมาขอเงินกลับไปอีก? ในตอนนั้นหนันหนันอยากจะแต่งงานกับแก พวกเราก็ไม่เห็นด้วย จากสภาพของแก ก็เป็นเพราะหนันหนันหน้ามืดตามัวถึงได้ยอมแต่งงานกับแก” “ในตอนนี้หนักกว่านั้นอีก หนันหนันมีใจอยากจะกตัญญูต่อพ่อแม่ เอาเงินมาให้พวกเราสองคนใช้ ชายหงส์(ผู้ชายที่เกิดในบ้านยากจนและเข้ามหาวิทยาลัยโดยความพยายาม จบเรียนแล้วก็ดำเนินชีวิตที่เมือง)อย่างแกยังกล้าที่จะบากหน้ามาขอเงินกลับไป ฉันจะบอกแกให้นะ หวางเห้ากำลังจะแต่งงานแล้ว เงินนั่นพวกเราเตรียมจะเอาไปวางดาวน์ค่าบ้านงวดแรกให้หวางเห้า อยากได้เงิน? แค่แดงเดียวก็ไม่มี!” ปัง! สายตัดไปแล้ว เฉินตงแน่นิ่งไป แม่ยายนี่ฟังในสิ่งที่ฉันพูดไม่เข้าใจหรือยังไง? “เฉินตง คุณเป็นบ้าเหรอ?” หวางหนันหนันกระชากคอเสื้อของเฉินตงราวกับคนบ้า “คุณทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ลงไปได้ยังไง ฉันเอาเงินไปให้พ่อแม่ฉัน ทำไมคุณต้องทำเหมือนมันฟ้ามันจะผ่าลงมาให้ได้?” เฉินตงมองหวางหนันหนันอย่างหดหู่ ดวงตาแดงก่ำ “ในสายตาของพวกคุณ ชีวิตของแม่ผม ยังไม่มีค่าเท่ากับเงินดาวน์บ้านงวดแรกของน้องชายคุณอย่างนั้นเหรอ?” “ไร้สาระ!” หวางหนันหนันปล่อยมือจากเฉินตง หยิบของในห้องขึ้นมาแล้วก็เขวี้ยงปาข้าวของจนเละเทะ ในพริบตา ห้องรับแขกก็รกและยุ่งเหยิงไปหมด หวางหนันหนันร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา “เฉินตงคุณมันคนใจดำ ตอนนั้นทำไมฉันถึงได้แต่งงานกับคุณนะ เพื่อแม่ของคุณ คุณทุ่มเททิ้งเงินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว? ฉันยอมอดทนลำบากมากับคุณ แม้แต่บ้านที่อยู่ก็ต้องเช่า คุณเคยสงสารฉันบ้างไหม? เสี่ยวเห้าเป็นน้องชายของฉัน แล้วก็เป็นน้องของคุณด้วย เขากำลังจะแต่งงานแล้ว ฉันเป็นถึงพี่สาว จะช่วยฉันบ้าง ไม่ได้เลยเหรอ?” “ช่วยคุณสักครั้ง?” เฉินตงโมโหสุดขีด “พวกเราแต่งงานกันมาสามปี คุณช่วยหวางเห้าไอ้สวะนั่นไปตั้งเท่ากี่ครั้งแล้ว? ไอ้สวะหวางเห้ามัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบจนชีวิตไม่ก้าวหน้า ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านเกาะพ่อแม่กิน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพวกคุณ!” “อย่ามาพูดถึงน้องชายฉันแบบนั้นนะ!” หวางหนันหนันใบหน้าบิดเบี้ยว ยืนชี้หน้าเฉินตงด้วยท่าทางป่าเถื่อนพร้อมพูดข่มขู่ เฉินตงพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ทำไมถึงจะพูดไม่ได้? เรียนมหาลัยก็ไปทำคนอื่นท้อง เงินที่ชดใช้ก็เป็นเงินของผม เขาอยากจะซื้อรถก็เป็นผมที่จ่ายเงินซื้อให้เขา ในสามปีนี้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งผมจ่ายเงินให้เขาไปตั้งเท่าไหร่? คุณมันปีศาจฝูตี้(ผู้หญิงที่มีน้องชายและต้องช่วยน้องชายในทุกด้านเพราะพ่อแม่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว) คุณต่างหากที่ไม่เคยคิดถึงครอบครัวของเรา!” “กรี๊ด! แกหุบปากเดี๋ยวนี้นะ” หวางหนันหนันหวีดร้องออกมาเสียงแหลม “แกหมายความว่ายังไง? แกไม่อยากจะอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหม?” “พวกคุณเอาเงินที่จะใช้รักษาแม่ผมไปซื้อบ้านให้ไอ้สวะ ไม่สนใจไยดีแม่ผม คนที่ไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกันต่อมันเป็นคุณต่างหาก!” เฉินตงยักไหล่ พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หย่ากันเถอะ!” หวางหนันหนันนิ่งไปในทันที “มึง มึงพูดว่าอะไรนะ?” แต่งงานมาสามปี ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเฉินตงไม่เคยพูดจาอะไรแบบนี้ออกมา “หย่ากันเถอะ” เฉินตงบอก “แต่งงานกับผมมันทำให้คุณลำบากมาก ผมเองก็ไม่เหมาะกับคุณ ครอบครัวนี้ของคุณ ผมแบกไม่ไหว” พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไป เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง สามปีที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่อดทน ก็เป็นเพราะคิดว่าในตอนนั้นหวางหนันหนันแต่งกับเขา ความจริงแล้วก็นับว่าเธอยอมลดตัวลงมาแต่งกับเขา อีกอย่างหวางหนันหนันก็ยังมีความรู้สึกดีๆต่อเขาบ้าง แต่ว่าครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว รอจนเฉินตงออกไปจากบ้านแล้ว ในที่สุดหวางหนันหนันก็ได้สติ เธอรีบพุ่งตัวไปหยิบโทรศัพท์มาโทรหามารดาด้วยความวิตกและไร้สติ ร้องไห้ฟูมฟายแล้วว่าขึ้น “แม่…..เฉินตงอยากจะหย่ากับหนู” “ไอ้ชั่วนั่นอยากจะขอหย่ากับแก?” อีกฝั่งของสาย เสียงตวาดของมารดาดังขึ้น “หย่าก็หย่า! มันก็แค่ไอ้คนจน ยังจะกล้ายกหางตัวเองอวดเบ่ง คิดว่าตัวเองแน่นักนะ! เงินสองแสนสุดท้ายนั่นยังไงก็อยู่ที่พวกเราแล้ว มันจะหย่ากับแก อย่างนั้นก็สงเคราะห์มันไป ให้มันไปนั่งร้องไห้กับแม่แก่ใกล้ตายของมันไปเสีย” ณ ขณะนี้ เวลานี้ เฉินตงออกเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ท้องฟ้าในตอนกลางคืน มีฝนเม็ดเล็กๆโปรยปรายลงมา ทำให้ตัวของเขาเปียกไปทั้งตัว เขาส่ายหัวอย่างกลัดกลุ้ม เอาเท้าเตะน้ำที่ขังนองอยู่ข้างทาง เงิน เงิน เงิน แม่งทะเลาะกันก็เพราะเงิน! ตอนนี้มีเรื่องกับตระกูลหวางจนต่อกันไม่ติดแล้ว กูแม่งจะไปหาเงินสองแสนนั่นมาจากไหนกันวะ? ฝืด……. ในเวลานี้ รถโรลส์-รอยซ์ แฟนท่อมคันหนึ่งก็หยุดลงตรงข้างตัวของเฉินตง กระจกของรถถูกเลื่อนลง ชายชราคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดราชวงศ์ถังมีมองมาที่เฉินตงด้วยใบหน้าที่แต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม “เป็นคุณชายเฉินตงใช่ไหมครับ? เชิญขึ้นรถครับ ไปโรงพยาบาลลี่จิงกับผม” คุณชาย ?! เฉินตงมองชายชราตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงง นานนับชั่วขณะหนึ่งที่ชะงักไป ชายชรายิ้มออกมาเล็กน้อย “คุณแม่ของคุณกำลังเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”

Options

not work with dark mode
Reset