Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ – ตอนที่ 434

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.434 – มารโลกา

 

“ฟังดูเหมือนว่าโลกกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแลดูหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

 

“ความสิ้นหวัง … มักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า”

 

เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและผุดลุกขึ้นจากฟูก

 

ขณะที่สองสาวพอได้ฟังก็นิ่งงันไป จมหายเข้าสู่ห้วงความคิด แล้วก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวไม่เพียงตรงกับอุปนิสัยของผู้คนบนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังตรงกับตัวของพวกเธอเองอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อนี่เข้าสู่ช่วงเวลาลางดีแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราสามารถไปที่นิกายกวงหยางกันได้แล้วใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วนายน้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเริ่มออกเดินทางกันเสียที” ฉินรั่วกล่าว

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

 

สองสาวใช้ผุดลุกขึ้น และเริ่มเก็บข้าวของ

 

ว่านเอ๋อปล่อยเรือเหาะออกมา

 

นี่เป็นเรือเหาะขนาดเล็กที่ดูเพรียวลม มีความคล่องตัวสูง เพียงแค่มองก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าความเร็วของมันจะต้องน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภายในเรือเหาะก็ดูจะแคบเกินไป แคบไปมากทีเดียว …

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งสาม แออัดเบียดเสียดกัน ไม่ว่าจะขยับไปซ้ายหรือขวามันก็แลดูไม่งามและเหมาะสมเอาเสียเลย

 

จนในที่สุดเขาก็จำต้องยกมือขึ้นและโอบไหล่สัมผัสเนื้อตัวของคนอื่นๆจึงจะสามารถยืนอย่างสะดวกสบายได้

 

“เรือเหาะนี่ทำไมถึงได้สร้างมันมาให้แคบขนาดนี้กันนะ” เขาบ่น

 

“นายน้อย นี่คือเรือเหาะชั้นสูง และมีเพียงเรือชั้นสูงเท่านั้นที่ครอบครองความเร็วมากพอที่จะสามารถหลบหนีจากร่างแยกไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้” ว่านเอ๋ออธิบาย

 

“ปากใหญ่สีดำที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คือร่างไร้จิตสำนึกสินะ แล้วหากเป็นร่างที่มีจิตสำนึกเล่า?”

 

“ไม่มีใครอยากพบเจอกับร่างที่มีจิตสำนึกหรอก – เพราะมันว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และไม่มีเรือเหาะลำใดสามารถหลบหนีได้ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายถึงความตาย” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว

 

ในขณะนั้นเอง ท่าทีการแสดงออกของฉินรั่วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น

 

“นายน้อย โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ท่านเป็นชายที่มักมากในกาม ฉะนั้นท่านจะต้องไม่เหนียมอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ท่านจะต้องล้วงมือมาจาบจ้วงพวกเราทันที” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานกล่าวรับคำด้วยความกลัดกลุ้ม “เข้าใจแล้ว”

 

เพราะกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่ามือของตนสมควรจะไปอยู่ในตำแหน่งใดดี

 

ฉินรั่วจับมือของเขา ปากเอ่ยเฉียบขาด “ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่ใช่ฉีหยาน และยังรู้ดีว่าเจ้าให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างมาก แต่นี่คือเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต เจ้าจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้”

 

ว่านเอ๋อจับอีกมือหนึ่งของเขา และพยักหน้ากึ่งเตือนกึ่งจริงจัง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “การแสดงออกของข้ามันดูผิดธรรมชาติมากเลยหรือ?”

 

“กล่าวตามตรง เวลานี้เจ้าดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พร้อมจะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“ … เข้าใจแล้ว”

 

“นายน้อย ท่านรีบดูข้างล่างเร็ว” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

 

กู่ฉิงซานโผล่หัวของเขาออกไป และมองลงไปยังใต้เรือเหาะ

 

เห็นแค่เพียงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทว่าเบื้องล่างมัน ไม่มีผืนดินอยู่เลย

 

ผืนดิน ภูเขา แม่น้ำ ที่ราบลุ่ม การดำรงอยู่ของสิ่งพื้นฐานต่างๆ แต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกทั้งสิ้น

 

ทว่าในโลกใบนี้ กลับไม่มีสิ่งที่ว่ามาอยู่เลย

 

ตลอดทั้งผืนดินถูกแทนที่ด้วยมัดกล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา

 

มันคือเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดงที่เรียวบางม้วนรวมกัน

 

กล้ามเนื้อทั้งหมดซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เคลื่อนไหวขึ้นๆลงราวกับคลื่นที่ซัดสาด และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

กู่ฉิงซานมองไกลออกไปจนสุดสายตา และค้นพบว่ากล้ามเนื้อเหล่านี้แพร่ขยายตัวกินพื้นที่กว้างออกไปไร้ที่สิ้นสุด

 

ซึ่งนี่แหละคือร่างหลักของมารโลกา!

 

ตามข้อมูลที่กู่ฉิงซานได้รับมา ไม่เคยมีใครเลยที่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้มัน เพราะมันคือร่างหลักสุดแสนทรงพลัง!

 

แม้ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตจะสามารถโค่นร่างไร้จิตสำนึกและร่างมีจิตสำนึกลงได้

 

ทว่าเมื่อร่างหลักของมารโลกาได้ปรากฏกาย ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น

 

แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบหนีได้

 

แม้จะตระหนักดีว่าอีกฝ่ายมีร่างกายมโหฬาร แต่ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานเห็น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยถึงความประหลาดใจออกมา

 

“ทำไมมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้ … ” เขาบ่นงึมงำ

 

ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากสาวใช้ทั้งสอง ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี  มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อยู่รอบโลกไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

และตอนนี้ มันก็กำลังเริ่มที่จะกลืนกินโลก

 

ผืนดินของโลกล่องเวหาคือการผสานหลอมรวมกันของโลกนับไม่ถ้วน ซึ่งผืนดินนี่แหละคือแหล่งพลังงานของรากฐานโลกล่ะ!

 

สรุปง่ายๆว่าเมื่อมารโลกาได้กินผืนดินจนสิ้นแล้ว  โลกก็จะล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง

 

และนั่นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของโลกล่องเวหา

 

ราวกับถูกแดกดันอย่างแสบสัน , เหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้ยึดครองและแย่งชิงสิ่งต่างๆโดยการพิชิตชัยโลกอื่นๆมามากมาย

 

แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นพวกเขาซะเองที่จะไม่มีโลกให้อาศัยอยู่อีกต่อไป

 

ว่านเอ๋อหยิบเอายันต์สีดำออกมาและมองมันอีกครั้ง

 

อักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียร และเปล่งรังสีแสงออกมาตลอดเวลา

 

พอได้เห็น เธอก็รู้สึกโล่งใจ

 

เมื่อไหร่ที่มารโลกาตื่นขึ้น มันก็จะกลายเป็น ‘ลางร้าย’

 

ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าใครๆก็มิกล้าที่จะปลดปล่อยพลังวิญญาณ เพราะจะเป็นการดึงดูดร่างแยกไร้จิตสำนึกมา จากนั้นก็จะถูกกลืนกิน

 

—เมื่อไหร่ที่มารโลกาหลับไหล นั่นคือช่วงเวลา ‘ลางดี’ และมนุษย์ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณและกระทำการใดๆได้อย่างอิสระ

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังมารโลกา และอดไม่ได้ที่จะลองพิจารณามัน

 

หลังจากการวิเคราะห์และเทียบเปรียบแล้ว กู่ฉิงซานก็ตัดสินได้ว่า มารตนนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าขอบเขตของอสูรกายทั่วๆไป

 

มันมิได้เป็นอสูรกายดัดแปลงชนิดเจาะทะลวงแนวข้าศึก แต่ก็ไม่ใช่อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเช่นกัน … นี่มันยากที่จะคาดเดานัก

 

มารโลกาคงจัดได้ว่าเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากที่สุด

 

มันคือหนึ่งในสามการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด  ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากร่างกายของเทพวิญญาณในสมัยโบราณ

 

ด้วยจิตสัมผัสเทวะและระยะสายตาของมนุษย์ ย่อมไม่สามารถมองเห็นร่างกายทั้งหมดของมันได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่เพียงเพ่งมองส่วนหนึ่งของร่างกายมันเท่านั้น – นี่มันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับผืนดินอันกว้างใหญ่อยู่เลย

 

นี่คือร่างกายที่แท้จริงของเทพโบราณ!

 

เรือเหาะบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ทิ้งระยะห่างจากมารโลกา

 

เกาะทั้งหมดยังต้องพึ่งพาค่ายกลล่องลอย เพื่อพยายามรักษาตนเองไว้ในอากาศ ออกห่างจากมารโลกาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

มีเพียงเฉพาะเกาะที่ศิลาวิญญาณกำลังจะหมดลงในเร็วๆนี้เท่านั้นที่จะต้องลดระดับความสูงของค่ายกลล่องลอยลง เพื่อรักษาศิลาวิญญาณเอาไว้

 

และพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น

 

ท้ายที่สุดนี้ กล่าวได้ว่ายิ่งเข้าใกล้กับโลกมารเท่าใด มันก็จะยิ่งเป็นการง่ายที่จะถูกพบตัวมากขึ้นเท่านั้น

 

บนเรือเหาะ

 

“พวกเรากำลังจะถึงในเร็วๆนี้” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงกระซิบ

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาออก และมองไปยังเบื้องหน้า

 

ภูเขากำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

ที่นั่นคือนิกายกวงหยาง

 

ในที่สุดก็มาถึงที่นี่เสียที

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้น ทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆหลายครั้ง

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“กำลังพยายามเข้าสู่สภาวะนักแสดงอย่างเต็มรูปแบบน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

ณ ขณะนี้ บนภูเขา ได้ปรากฏสองกระแสแสงบินเข้ามา

 

หนึ่งในสองกระแสแสง ภายในมีผู้คนอยู่หลายคน มันค่อยๆบินผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งออกสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกล

 

เมื่อครูู่คือเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บรรทุกวัสดุและสินค้าจำนวนมาก

 

ฉินรั่วอธิบายว่า “นั่นเป็นเรือสินค้าที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาชนิดพิเศษของอาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องพึ่งเม็ดยาพิเศษเหล่านั้นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”

 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม “แล้วมีนิกายใดบ้างที่เรือสินค้าลำนี้มุ่งไป?”

 

“ ‘ลั่วชาเฟิง’ เป็นนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้”

 

“แล้วนิกายใหญ่อื่นๆล่ะ?”

 

“ไม่ตายจากก็หลบหนีไปแล้ว”

 

“หลบหนี?”

 

“มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป นั่นคือการให้เกาะทั้งเกาะทะลุความว่างเปล่าและออกจากอาณาเขตของโลกใบนี้ไป แต่วิธีการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรขนาดใหญ่และผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังมากๆ ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่ทำได้”

 

กู่ฉิงซานเริ่มขบคิด

 

อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต

 

แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าจำเป็นต้องใช้ยารักษาระดับสูง ซึ่งนิกายกวงหยางไม่อาจกลั่นออกมาได้

 

และนิกายก็ทำการจัดส่งเรือสินค้าออกไปยังนิกายลั่วชาเฟิงอยู่เสมอทำการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงกระแสแสงแรกที่บินผ่านไป ขณะที่อีกกระแสแสงหยุดลงตรงหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ

 

พร้อมกับร่างของผู้ฝึกยุทธที่สวมหมวกไม้ไผ่ปรากฏกายขึ้น โค้งคำนับให้แก่เขา

 

“ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี” ผู้ฝึกยุทธกล่าวด้วยความเคารพ

 

พวกเขามองไปทางฉีหยานเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ดวงตาของทั้งหมดจะถูกดึงดูดโดยฉานนู่ที่กำลังปลอมตัวเป็น ‘กู่ฉิงซาน’ อยู่ในขณะนี้

 

คนแปลกหน้า?

 

ปรมาจารย์ตำหนักฉี จู่ๆก็นำคนแปลกหน้ากลับมายังภูเขาอย่างกระทันหัน

 

ชายแปลกหน้าผู้นี้มีสถานะอันใดกัน?

 

ขณะขบคิด ว่านเอ๋อก็ควบคุมเรือเหาะบินผ่านพวกเขาไป

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สติกลับคืน และรีบร้อนใช้ออกด้วยหลายวิชาลับ เพื่อทำการเปิดประตูนิกายที่ถูกปกปักษ์ไปด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาทันที

 

เรือเหาะกลายเป็นกระแสแสงบินผ่านประตูไป มุ่งตรงสู่ส่วนยอดของภูเขาลอยฟ้า

 

ระหว่างทาง ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่พบเห็นเรือเหาะนี้ ต่างหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม โค้งกายคารวะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพทันที “ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี”

 

แต่กู่ฉิงซานกลับมิได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ

 

ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ ขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยร่องรอยจางๆของเจตนาฆ่าออกมา ท่าทีการแสดงออกแลดูมืดมนและหยิ่งผยอง

 

ทุกคนเห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ ที่มองออกไปเบื้องหน้า ขณะที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปคว้าจับมือเล็กๆของฉินรั่วและลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา

 

ฉินรั่วที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาส่งยิ้มกลับมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างยกถ้วยชาวิญญาณขึ้นมาป้อนลงบนริมฝีปากของเขา

 

นี่เป็นฉากธรรมดาที่พบเห็นได้เป็นประจำ

 

ฉีหยานทำเช่นนี้เสมอมา

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คุ้นเคยกับมันดี

 

พวกเขาเพียงเหลือบมอง และเบนสายตาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินฉีหยาน

 

จากนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็หันมาให้ความสนใจกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า คนแล้วคนเล่าเริ่มกวาดจิตสัมผัสเทวะลงใส่เขา

 

—ชายผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดปรมาจารย์ตำหนักฉีจึงถึงขั้นต้องนำพามายังภูเขาด้วย?

 

เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามนี้ขึ้นในจิตใจ

 

พวกเขาเพ่งมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อย่างรอบคอบ เพื่อต้องการที่จะได้ทราบบางสิ่งบางอย่างจากเขา

 

แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ยืนอยู่บนเรือเหาะด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก

 

เรือเหาะบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสายตาและจิตสัมผัสเทวะของเหล่าผู้ฝึกยุทธเอาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ช่วงบนของเกาะลอยฟ้า

 

แล้วว่านเอ๋อก็ทำการเก็บเรือเหาะกลับคืน

 

ที่นี่คือพื้นที่ศูนย์กลางของนิกายกวงหยาง และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน

 

ทั้งสี่คนลดระดับลง เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างหลายหลัง ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง

 

ฉินรั่วโบกมืออย่างอ่อนโยน ใช้ออกด้วยวิชาลับ

 

เหนือลานกว้างขึ้นไปบังเกิดประกายสาดแสงลงมาทันใด

 

“นายน้อย พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว” ฉินรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

กู่ฉิงซานแค่ส่งเสียงรับเบาๆลอดผ่านโพรงจมูก “หึ”

 

เขาก้าวนำไปข้างหน้า ตามด้วยฉานนู่ และสองสาวใช้ที่อยู่หลังสุด

 

เมื่อว่านเอ๋อที่เป็นคนสุดท้ายเข้ามาในประตู เธอเร่งหันหลังกลับไปแล้วจีบเข้าด้วยวิชาลับทันที

 

แสงสวรรค์สาดประกาย ลานกว้างหายไปในความว่างเปล่า

 

ค่ายกลเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง

 

ประตูถูกปิดลง

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อถอนหายใจยาวโล่งอก

 

“พวกเราได้ผ่านด่านแรกเข้ามาโดยสมบูรณ์แล้ว” ว่านเอ๋อตบหน้าอกตนเองด้วยความยินดี

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

All-Heaven Armageddon Online, Chư Giới Tận Thế Online, WAO, 诸界末日在线
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์อาณาจักรทั้งมวลถึงคราวล่มสลาย จอมมารหมายจะเก็บเกี่ยวชีวิตมนุษย์ทุกชีวิต ท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมน ชายคนหนึ่งได้ฉีกเส้นแบ่งของเวลาและมิติ หวนคืนสู่โลกในช่วงเวลาก่อนที่มันจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์ หมายมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตน ทว่า เมื่อวันเวลาได้ผ่านไป เขากลับพบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด … ปล. เนื้อหาทั้งหมดในเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง หากมีส่วนใดคล้ายคลึงกับความเป็นจริงขอให้รู้ไว้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset