World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 16

ตอนที่ 16 หวังจินหยาง

วันพุธที่ 9 เมษายน

เมื่อฟางผิงมาถึงหน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง เขาก็เห็นอู๋จื้อเห่าและหลิวรั่วฉีมารออยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังรอหยางเจี้ยนคนเดียว

มีชายกลางคนยืนอยู่ข้างๆพวกเขาโดยมีรถตู้เจ็ดที่นั่งจอดอยู่ข้างๆ

พอฟางผิงมาถึง อู๋จื้อเห่าก็รีบแนะนำ “ฟางผิง ท่านนี้คืออาจารย์จางจากโรงเรียนของเรา อาจารย์จางจะเป็นคนขับรถให้เรา…”

ชายกลางคนเป็นคนขับรถที่โรงเรียนจัดมาให้ ฟางผิงทักทายเขาสั้นๆ อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างสุภาพ

หลังทักทายกันสั้นๆ อู๋จื้อเห่าก็กวาดสายตามองฟางผิงตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว เขาถึงกับตกใจและอุทานออกมา “ฟางผิง นายดูสดใสจังนะ? ฉันคิดว่านายจะเหมือนฉันซะอีก ฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย”

ฟางผิงดูกระฉับกระเฉงมาก แววตาเขาก็เปล่งประกายสดใส

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางผิงก็อดยิ้มไม่ได้ “ฉันเหรอ? มันคงเป็น’เมื่อใจมีความสุข กายก็ย่อมสุข’ แต่ฉันตื่นสายด้วยแหละ ฉันเลยนอนพอ”

อู๋จื้อเห่าไม่ได้สนใจฟางผิงอีก เขากลับไปคุยเรื่องจัดการต้อนรับต่อ

หลังจากนั้นสักครู่ ในที่สุดหยางเจี้ยนก็มาถึง เหมือนกับคนอื่นๆ สหายคนนี้ก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ วันนี้เขาเลยตื่นสาย

ทุกคนไม่อยากเสียเวลาอีก จากนั้นพวกเขาก็นั่งรถแล้วมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ

…..

ณ สถานีรถไฟเมืองหยางเฉิง

ขณะที่คนขับรถอยู่นอกสถานี ฟางผิงและพวกก็เข้าไปรอหวังจินหยางที่สถานีแล้ว

เนื่องจากยังมีเวลาก่อนรถไฟจะมาถึง พวกเขาจึงยืนคุยกันอยู่ที่ทางออก

ขณะที่พวกเขาคุยกัน ฟางผิงก็เปิดหัวข้อ “พวกเรากำลังพยายามเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ”

“แต่จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธตัวจริงเลย”

“ฉันพึ่งไปหาข้อมูลสอบวิชายุทธมาเหมือนกัน รวมถึงบนเน็ตด้วย แต่ไม่มีใครพูดถึงเลยว่าทำยังไงถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง”

“อู๋จื้อเห่า นายรู้อะไรบ้างไหม?”

อู๋จื้อเห่าเอาคำพูดของฟางผิงไปคิดแล้วตอบ “นายไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้มาก่อน นายไม่รู้ก็ไม่แปลก”

“สำหรับนักเรียนมัธยมปลายอย่างเรา เป้าหมายหลักของเราคือการสอบวิชายุทธให้ผ่าน ส่วนการเป็นผู้ฝึกยุทธ มันเป็นเรื่องหลังเข้ามหาลัย”

“ส่วนวิธีเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง เราหาคำตอบบนอินเตอร์เน็ตไม่ได้แน่นอน”

“เท่าที่ฉันรู้ การเป็นผู้ฝึกยุทธ นายต้องมีสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้ฝึกยุทธมาสอน”

“หรือนายต้องเข้าคลาสฝึกฝนวิชายุทธ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อู๋จื้อเห่าก็กล่าวเสริม “ฉันไม่ได้พูดถึงพวกคลาสสอนวิชายุทธในเมืองหยางเฉิง ฉันพูดถึงคลาสสอนวิชายุทธที่จดทะเบียนจริงๆ”

“เมืองหยางเฉิงไม่มีคลาสแบบนั้น ตามกฏแล้ว อย่างน้อยนายต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลางถึงเปิดคลาสสอนวิชายุทธได้”

“ชิ ไม่ต้องพูดถึงเมืองหยางเฉิงเลย ทั้งมณฑลหนานเจียงก็มีคลาสวิชายุทธแบบนั้นไม่มาก”

อู๋จื้อเห่าพูดต่อ “วิธีที่สาม เป็นเส้นทางหลักเหมือนกัน เข้ามหาลัยวิชายุทธ”

“ส่วนวิธีอื่นนอกจากสามวิธีนี้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อีกอย่าง ทั้งสามวิธีที่ฉันพึ่งพูดถึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราหรอก อย่างน้อยก็ก่อนที่เราจะเข้ามหาลัยวิชายุทธ ก่อนเกาเข่า เราไม่มีหวังเป็นผู้ฝึกยุทธเลย”

ฟางผิงพยักหน้าเล็กๆ “แล้วนายคิดยังไงกับผู้สอบเกาเข่าปีนี้ จะมีผู้ฝึกยุทธมากี่คน?”

ก่อนที่อู๋จื้อเห่าจะได้เปิดปาก หยางเจี้ยนก็หัวเราะ “เมืองหยางเฉิงไม่มีหวังหรอก ไม่ใช่แค่เมืองหยางเฉิง ฉันเกรงว่าไม่มีเมืองไหนหรอกที่มีผู้สมัครสอบเป็นผู้ฝึกยุทธ”

“ทั้งมณฑลหนานเจียง ก่อนเกาเข่าปีที่แล้ว มีสามคนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ปีนี้ก็น่าจะเหมือนกัน”

“คนพวกนี้เป็นบุตรของสวรรค์อย่างแท้จริง!”

หยางเจี้ยนค่อนข้างอิจฉา การเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงก่อนเข้ามหาลัยเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง

ฟางผิงมีคำถามอยากถามเพิ่ม แต่ก่อนที่เขาจะได้ถาม ก็มีเสียงหัวเราะจากข้างๆมาขัดจังหวะพวกเขา “นายไม่ต้องเสียใจกับตัวเองหรอก มันเป็นความจริงที่นักเรียนมัธยมปลายที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้นั้นเป็นอัจฉริยะ แต่จุดเริ่มต้นของคนเราต่างกัน”

ทุกคนเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง

เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา เขาแต่งกายชุดลำลอง มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า

เขาไม่ได้สะดุดตานัก แม้รูปลักษณ์และผมทรงสกินเฮดจะธรรมดา แต่แววตาเขาสดใสเป็นพิเศษ

เมื่อตระหนักว่าตนเองเป็นที่สนใจ ชายหนุ่มที่พูดเมื่อกี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา “นายเป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู๋จื้อเห่าก็รีบตอบ “ท่านคือรุ่นพี่หวังใช่หรือไม่?”

หวังจินหยางยิ้มกว้าง เขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “อย่าใช้คำพูดให้เกียรติกันแบบนั้นเลย จะเรียกชื่อฉันหรือจะเรียกพี่หวังก็ได้ เราอายุใกล้กัน ฉันแค่นำหน้าไปหนึ่งก้าวเฉยๆ”

คำพูดของเขายืนยันว่าเขาเป็นหวังจินหยาง คนที่พวกเขากำลังรอคอยอยู่

หวังจินหยางมีอายุมากกว่าหนึ่งปีเท่านั้น ถ้าเป็นนักเรียนจากห้องอัจฉริยะปีที่แล้ว อู๋จื้อเห่าก็คงรู้จักอยู่

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้จักหวังจินหยาง เขาเคยเห็นหน้าหวังจินหยางจากรูปถ่ายในหอเกียรติยศของโรงเรียน

เมื่อได้ยินคำตอบของหวังจินหยาง อู๋จื้อเห่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบกล่าวเสริม “สวัสดีครับพี่หวัง พวกผมเป็นนักเรียนปีสามจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง…”

อู๋จื้อเห่าเริ่มแนะนำทุกคน หวังจินหยางก็ฟังอย่างอดทน

หลังทุกคนแนะนำตัว เขาก็พูดถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อ “พวกนายรู้ใช่ไหม ที่ฉันบอกจุดเริ่มต้นของคนเราต่างกัน มันหมายความว่าอะไร?”

“นักเรียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธได้ตอนมัธยมปลายทุกคนแน่นอนว่ามาจากครอบครัวมีฐานะ เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยเลย”

“ไม่งั้น พวกเขาก็มีพ่อแม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธหรือได้รับการสนับสนุนจากผู้ฝึกยุทธ”

“ฉันกำลังพูดถึงผู้ฝึกยุทธอย่างน้อยขั้นสี่ขึ้นไป”

“ถ้าคนธรรมดาอย่างเราผ่านการสอบวิชายุทธ เราก็จะเป็นคนที่อ่อนด้อยที่สุดในห้อง”

“เราควรยอมรับพรสวรรค์และความสามารถของคู่แข่ง แต่เราไม่ควรใช้เรื่องนี้ดูถูกตัวเอง เราไม่ควรคิดว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น!”

“ถ้าแค่นี้ก็ทำไม่ได้ เส้นทางในอนาคตของเราคงเต็มไปด้วยขวากหนาม!”

นี่ถือเป็นการแบ่งปันประสบการณ์เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงขอบคุณเขา

ฟางผิงสังเกตหวังจินหยางตลอดเวลา เขาตระหนักว่าหวังจินหยางเป็นคนช่างพูดและเป็นคนที่ไม่เลวเลย ฟางผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทุกคนคุยกันไปพลางเดินออกสถานีไปพลาง

หวังจินหยางถามคำถามสองสามข้อ เมื่อเขาพบว่าพวกนี้เป็นนักเรียนที่มีค่าปราณและเลือดมากกว่า 110 เขาก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “มาตรฐานสูงขึ้นทุกปี!”

“ถ้าเป็นปีที่แล้ว มันไม่ใช่ปกติเลยที่เห็นคนที่มีค่าปราณและเลือดถึง 110 แคล”

เมื่อเขาพูดถึงหัวข้อนี้เอง อู๋จื้อเห่าจึงถามตามน้ำ “พี่หวัง พอถึงเวลามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเปิดรับนักศึกษา พี่หวังคิดว่าพวกเขาจะกำหนดมาตรฐานปราณและเลือดกี่แคล?”

หวังจินหยางยิ้ม เป็นไปตามคาด นี่เป็นคำถามที่นักเรียนมัธยมปลายปีสามทุกผู้คนให้ความสนใจ

เขาไม่แปลกใจเลย เมื่อปีที่แล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเขา

หลังคิดอยู่พักนึง หวังจินหยางก็ตอบอย่างลังเล “มาตรฐานจะต่างกันทุกปี”

“ปีก่อน ค่าปราณและเลือดของทุกคนไม่สูงเท่าปีนี้”

“ที่เมืองหยางเฉิงคงไม่เป็นไร ที่เมืองเอกกับเมืองริมแม่น้ำ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงได้ตรวจค่าปราณและเลือดที่นั่นครั้งนึง ฉันได้ยินมาว่ามีนักเรียนมากมายที่มีค่าปราณและเลือดเกิน 120 แคล”

“ปีนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ฉันว่าจำกัดขั้นต่ำสุดจะเป็น 110 แคล”

“ส่วนเรื่องรับเข้า มากกว่า 115 แคลก็ปลอดภัยแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู๋จื้อเห่าก็ยิ้มแย้มด้วยความโล่งอก ส่วนหยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีเศร้าเล็กน้อย

หวังจินหยางไม่ได้ตั้งใจปล่อยให้ทุกคนผิดหวังนานนัก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน พวกนายสูงกว่า 110 แคลแล้ว พวกนายยังมีโอกาสเพิ่มค่าปราณและเลือดก่อนการประเมิณร่างกาย”

“ทำไมนายถึงคิดว่าสอบวิชายุทธมักจะจัดเวลาใกล้เคียงกับเกาเข่าวัฒนธรรมศึกษาล่ะ?”

“นั่นเป็นเพราะทุกคนยังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนร่างกาย เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสมากขึ้น สอบวิชายุทธถูกเลื่อนไปเป็นวันก่อนเกาเข่าเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสแข่งขันกันอย่างยุติธรรม”

“วันนี้นายอาจมี 110 แคล บางทีพรุ่งนี้อาจ 111 แคล มันเป็นไปได้มาก”

ทุกคนพยักหน้าอีกครั้งยอมรับการปลอบใจของหวังจินหยาง

เมื่อพวกเขาออกจากสถานีรถไฟ หวังจินหยางไม่ได้รีบขึ้นรถ เขากวาดสายตามองภายนอกของสถานีรถไฟแล้วถอนหายใจ “ช่วงเกาเข่า สิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือผ่านการสอบวิชายุทธ ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันต้องผ่านการสอบวิชายุทธ!”

“ฉันเสียสละหลายอย่างเพื่อสอบวิชายุทธ”

“แต่เมื่อฉันสอบผ่าน ฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งที่ฉันไม่เคยตระหนัก ตอนนี้ฉันตระหนักว่าการมีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้มีค่าแค่ไหน!”

หวังจินหยางเป็นแค่เด็กใหม่ เขาอายุมากกว่าพวกเขาปีเดียวเท่านั้น

ถ้าเขาเป็นนักศึกษามหาลัยในโลกก่อน เขาคงไม่รู้สึกสะเทือนใจแบบนี้

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาวิชายุทธโลกนี้มีอารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน

ในโรงเรียนมัธยมปลาย พวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อสอบวิชายุทธ

หลังสอบวิชายุทธผ่าน พวกเขาก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ

หลังเป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาก็ต้องพยายามต่อเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น

เหล่าคนที่มาจากครอบครัวฐานะดีจะสบายกว่า ส่วนคนที่มาจากครอบครัวยากจนอย่างหวังจินหยาง ความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นจินตนาการไม่ได้เลย

หลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังจินหยางก็หันไปมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าว “พวกเราจะไม่นั่งรถ! ฉันนั่งนานเกินไปจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด ถ้านายไม่ว่าอะไร เราเดินไปด้วยกันเถอะ”

ทุกคนยิ้มให้กับคำพูดเขา ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลที่ทำไมทุกคนถึงแย่งโอกาสมารับหวังจินหยางที่สถานีก็เพื่อได้พูดคุยและได้รับประสบการณ์จากเขา

ปีที่แล้วหวังจินหยางก็เป็นนักเรียนมัธยมปลายเช่นกัน เขาจึงเห็นใจคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงใส่ใจเด็กพวกนี้เป็นพิเศษ

อู๋จื้อเห่าวิ่งไปที่รถตู้แล้วแจ้งให้อาจารย์จางที่เป็นคนขับรถทราบ จากนั้นเขาก็วิ่งกลับมารวมกลุ่ม

…..

ทุกคนเดินไปตามถนนนอกสถานีรถไฟ หวังจินหยางยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมากระทันหัน “มาหาที่นั่งพักกันเถอะ เราแค่ต้องไปให้ถึงโรงเรียนตอนบ่าย เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ อู๋จื้อเห่ารับหน้าที่พาทุกคนไปร้านกาแฟข้างหน้า

เมื่อเห็นว่าหวังจินหยางคุยด้วยง่ายแค่ไหน ฟางผิงก็ใช้โอกาสนี้เอ่ยถาม “พี่หวัง ถ้าคุณไม่คิดมาก ผมขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นไหนแล้ว?”

ไม่มีนักเรียนวิชายุทธคนไหนที่ไม่สนใจคำถามนี้!

เมื่อได้ยินแบบนั้น แม้แต่อู๋จื้อเห่าก็อดหันมามองหวังจินหยางไม่ได้ พวกเขาต่างก็สนใจรุ่นพี่ในตำนานท่านนี้มาก!

หวังจินหยางตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็รีบตั้งสติอย่างรวดเร็วแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะดีกว่า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวได้”

“ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ พอนายเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงได้ นายจะรู้เอง”

“แต่ฉันเล่าข่าวซุบซิบของคนอื่นได้…”

รอยยิ้มทะเล้นปรากฏบนใบหน้าหวังจินหยาง “เคยได้ยินชื่อหลี่หยวนเจียงไหม?”

อู๋จื้อเห่าตอบทันที “ผมรู้! เขาเป็นรุ่นพี่จากห้องอัจฉริยะที่เข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงได้เช่นกัน!”

หวังจินหยางตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก เล่าเรื่องเจ้าหมอนี่ ฉันไม่คิดมากหรอกนะ”

“อย่าโทษฉันเลยที่ฉันทำเขาขายหน้าต่อหน้ารุ่นน้อง เขาเป็นคนที่จองหองที่สุดในหมู่คนสมัครสอบจากห้องอัจฉริยะ”

“พวกเราเป็นนักเรียนเหมือนกัน แต่เขาเยาะเย้ยฉันดูถูกฉันตลอด ลองคิดดูสิ เจ้าหมอนี่ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ?”

“เราสองคนสมัครมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง เขาบอกฉันว่าเขารู้สึกอายที่เข้ามหาลัยเดียวกับฉัน เวรเอ้ย คนแบบนี้สมควรถูกทุบตีสักรอบ!”

คำพูดของหวังจินหยางทำให้ทุกคนตกใจ

รุ่นพี่หวังที่ดูนิสัยดีไม่ได้สุภาพอย่างที่พวกเขาคิด

หวังจินหยางไม่ได้สนใจเช่นกันว่าพวกเขาคิดอะไร เขาปรากฏสีหน้าทะเล้นอีกครั้ง “หลี่หยวนเจียงกับฉันเข้ามหาลัยพร้อมกัน แต่ตอนนี้เราจบปีหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหมอนี่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธเลย”

“ดูท่าแล้วปีสองเขาก็คงยังไม่ได้เป็น บางทีตอนปีสามโอกาสอาจสูงขึ้นก็ได้”

ฟางผิงเข้าใจความหมายโดยนัย หวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนเขาอยู่ขั้นไหน ฟางผิงสงสัยว่ามันคงไม่ได้เรียบง่ายอย่างการบรรลุขั้นแรก ไม่งั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องปิดบังหรอก

ในขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับหลี่หยวนเจียงที่เข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ในมหาลัย หวังจินหยางก็ไม่ได้อ่อนแอ

เวลานี้ แม้แต่ฟางผิงก็สนใจรุ่นพี่ตำนานท่านนี้…แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความสนใจแนวนั้น

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Global Gaowu, Global Martial Arts, Quan Qiu Gao Wu, Toàn Cầu Cao Võ, WBMA, 全球高武
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2018 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง World’s Best Martial Artist เรื่องย่อ ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว! หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย! นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ “สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?” อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset